จารบุรุษ
คำสั่งย้ายด่วน พ.ต.อ.อภิชาติ เรือนทิพย์ รอง ผบก.น. 7 ซึ่งรับผิดชอบท้องที่ สถานีตำรวจนครบาลตลิ่งชัน พ.ต.อ.ปราโมทย์ บุญดำเนิน ผกก.สน.ตลิ่งชัน พ.ต.ท.มนัส รุ่งนาค รอง ผกก.ป. พ.ต.ท.ภัทรพล เล่าเปี่ยม รอง ผกก.สส. พ.ต.ต.โอภาศ ศักดี สวป. และร.ต.อ.ประเดิม จินวัฒนาภิรมย์ รักษาการ สว.สส.สน.ตลิ่งชัน ไปช่วยราชการที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ต่อกรณีชุดคณะอนุกรรมการปราบปรามอบายมุขของพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส จเรตำรวจแห่งชาติ เข้าจับกุมบ่อนลอยฟ้า บนชั้น 8 อาคารปิ่นเกล้าคอนโดมิเนียม ซอยโรงพยาบาลเจ้าพระยา เขตบางกอกน้อย กทม. พื้นที่รับผิดชอบของ สน.ตลิ่งชัน ในฐานะบกพร่อง หรือปล่อยปละละเลยให้มีการลักลอบเล่นการพนันในพื้นที่ขึ้นนั้น ในมุมมองหนึ่งถือว่า สมควรแล้วที่จะต้องมีการเด้งเข้ากรุไว้ก่อน โดยไม่ต้องสอบถามว่าได้บกพร่อง หรือปล่อยปละละเลยจริงหรือไม่ อันเนื่องจากบ่อนลอยฟ้าที่ว่า ถูกจับถูกทลายมาซ้ำซาก และครั้งนี้ ก็ถือว่า เป็นการจับกุมในครั้งที่ 3 ภายในระยะเวลาไม่ถึง 2 ปี
คำถามที่ว่า คำสั่งย้ายด่วนบรรดา 5 เสือโรงพัก ซึ่งประกอบด้วย ผกก. รอง ผกก.ป. รอง ผกก.สส. สวป. และสว.สส. ภายหลังจากถูกตำรวจนอกหน่วยเข้าไปจับกุมบ่อนการพนันนั้น จะถือเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุหรือไม่ เหตุผลข้อนี้ขึ้นอยู่กับที่ผู้บังคับบัญชาเป็นผู้พิจารณา แต่ส่วนใหญ่แล้วล้วนไม่รอด
อันว่า “บ่อนลอยฟ้าปิ่นเกล้า” นั้น ไม่ใช่เพียงแค่เพิ่งเปิดขึ้นมา แต่เป็นที่รู้กันดีในหมู่นักเล่นว่า ค่อนข้างปลอดภัย และถือเป็นหนึ่งในอภิมหาบ่อนของเมืองกรุง มีชื่อชั้นเทียบเท่าบ่อนเตาปูน, บ่อนประตูน้ำ, บ่อนเจ๊ง้อ บางรัก, บ่อนหวิน บางนา และบ่อนเจ๊เป้า อุดมสุข โดยบ่อนลอยฟ้าที่ว่า เมื่อมีการจับกุมกันขึ้นมา ก็มักที่จะบอกต่อๆกันมาจากปากของตำรวจว่า เป็นบ่อนที่ “จ่ามานัส” หรือ “ดาบมานัส” เป็นผู้ดูแล แต่ก็ไม่เคยที่จะมีหลักฐานสาวไปถึงดาบมานัส หรือมีการจับกุมสักครั้งหนึ่ง
ว่าถึงการย้ายด่วนรองผู้การ บก.น.7 และ 5 เสือโรงพักตลิ่งชันเข้ากรุในครั้งนี้นั้น มีข้อน่าสังเกตว่า การจับกุมบ่อนลอยฟ้าเมื่อ 2 ครั้งก่อนที่ผ่านมา พ.ต.อ.ปราโมทย์ บุญดำเนิน คนเป็นผกก. อยู่รอดปลอดภัยมาได้ทั้ง 2 ครั้ง ทว่ามาเที่ยวนี้ไม่สามารถประคองตัวได้อีกต่อไป โดยเป็นที่รู้กันดีว่า พ.ต.อ.ปราโมทย์นั้น เป็นเพื่อนนักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) รุ่นที่ 26 รุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ส่วนจะสนิทชิดเชื้อกับ “บิ๊กแม้ว” ขนาดไหนนั้น กระจอกข่าวรายงานมาตามสายเสียงใสแจ๋วว่า “หนิดหนมๆ ครับพี่”
พ.ต.อ.ปราโมทย์ ใช่ว่าจะถูกเด้งเกี่ยวกับเรื่องอบายมุขในพื้นที่ครั้งนี้เป็นครั้งแรก แต่เมื่อสมัยที่ดำรงตำแหน่ง ผกก.สน.วังทองหลาง ถูกเด้งด้วยพิษการออกมาเปิดโปงเกี่ยวกับส่วยอาบอบนวดของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตเจ้าพ่ออ่างทองคำ ซึ่งครั้งนั้น พ.ต.อ.ปราโมทย์ ถูกเด้งไปเป็น ผกก.สน.ตลิ่งชัน ซึ่งถือว่าดวงแข็งพอสมควร ส่วนเที่ยวนี้จะไปตกใกล้ตกไกลที่ไหนนั้น ต้องจับตาดู เพราะเมื่อครั้งกองปราบปรามบุกทลายบ่อนเตาปูนนั้น พ.ต.อ.ช่วงศักดา บูรณศิริ ผกก.สน.เตาปูนในขณะนั้น ถูก ผบ.ตร.เตะโด่งไปปลูกกุหลาบเป็น ผกก.สภ.อ.อุ้มผาง จ.ตากโน่น
คำสั่งดังกล่าวเบื้องต้น ไม่ปรากฏว่ามีการเด้งพล.ต.ต.บุญส่ง พานิชอัตรา ผบก.น.7 เหมือนเมื่อครั้งที่กองปราบทลายบ่อนเตาปูน ซึ่งเด้ง พล.ต.ต.วิบูลย์ บางท่าไม้ ผบก.น. 2 ในขณะนั้นไปเป็น ผบก.ประจำสำนักงานผบ.ตร. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า “บุญ” จะ"ส่ง"ให้ พล.ต.ต.บุญส่ง อยู่ยงคงกระพันในตำแหน่ง ผบก.น.7 ได้อีกต่อไปยาวนานแค่ไหนหรือไม่ แต่สุดท้ายแล้ว "บุญ"ก็ไม่"ส่ง" ผบ.ตร.มีคำสั่งด่วนให้ พล.ต.ต.บุญส่ง พานิชอัตรา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 7 (ผบก.น.7) มาช่วยราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) อย่างไม่มีกำหนดเสียแล้ว
ได้ยินมาว่า พล.ต.ต.บุญส่งนั้น เป็น นรต. 28 เพื่อนร่วมรุ่นเดียวกับ พล.ต.ท.ปานศิริ ประภาวัต ที่ปรึกษา สบ.9 อดีต ผบช.น. อดีต ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.สุเมธ เรืองสวัสดิ์ ผบก.ตปพ. อดีต ผบก.น.7 พล.ต.ต.บุญส่ง พอจะมีชื่อชั้นกับเขาบ้างก็เมื่อครั้งจับกุม “แดง เลาขวัญ” หรือนายอุทัย แซ่ลี้ คนร้ายตัวฉกาจที่ก่อคดีฆ่าข่มขืน และหลบหนีการจับกุมของตำรวจมานาน และเมื่อถูกจับก็รับสารภาพว่าทำไปเพราะแค้นที่พ่อถูกโกงที่ดิน น้องสาวก็ถูกข่มขืน คนทำผิดไม่ถูกลงโทษก็เลยฆ่าทิ้งเสียแล้วติดคุก 10 ปี พอออกมาก็ฆ่ามาเรื่อยประชดชีวิตที่ถูกรังแกและได้รับความยุติธรรมน้อย โดยครั้งนั้น พล.ต.ต.บุญส่ง ดำรงตำแหน่ง ผบก.ชัยนาท ซึ่งมี พล.ต.ท.ปานศิริ เป็นผบช.ภ.1 อยู่ ก่อนที่จะย้ายไปเป็น ผบก.อ่างทอง
พล.ต.ต.บุญส่ง ย้ายจากอ่างทอง มาเป็น ผบก.น.7 พื้นที่ซึ่งต้องดูแลบ้านจันทร์ส่องหล้า ของ พ.ต.ท.ทักษิณครั้งนั้น ค่อนข้างจัดว่าเซอร์ไพรส์พอสมควร ด้วยมีการว่ากันมาปากต่อปากว่า นรต.26 นั้น เข้ากันทาง พ.ต.ท.ทักษิณได้โดยตรง ส่วน นรต. 28 ซึ่งเป็นรุ่นน้อง 2 ปีนั้นเขาเข้ากันทางหลังบ้าน และดูเหมือนอนาคตค่อนข้างยาวไกลกันหลายคน
ยังกังขาว่า เหตุไฉน พล.ต.ต.บุญส่ง ให้สัมภาษณ์หลังถูกชุดจเรตำรวจแห่งชาติเข้าจับกุมบ่อนในพื้นที่ว่า “ปกติตำรวจพื้นที่ได้มีการกวดขันอยู่แแล้ว แต่เนื่องจากไม่รู้ทางเข้าออกของบ่อนที่แน่ชัด ทำให้การดำเนินการยากลำบาก ทั้งนี้ เคยมาตรวจสอบและประสานให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายโยธาธิการเขตบางกอกน้อยเข้าไปทำการรื้อถอนชั้นดาดฟ้าที่มีการต่อเติมผิดกฎหมาย แต่ก็ยังมีการเปิดให้เล่นการพนันที่บริเวณชั้น 8 อีก” คำกล่าวที่ว่า “ไม่รู้ทางเข้าออกของบ่อนที่แน่ชัด” จึงไม่น่าที่จะนำมาเป็นเหตุผลหลักในการปล่อยให้มีบ่อนการพนันขนาดใหญ่เกิดขึ้นในพื้นที่ได้ ดังนั้น คำสั่งย้าย พล.ต.ต.บุญส่ง เช่นเดียวกับ พล.ต.ต.วิบูลย์ กับกรณีบ่อนเตาปูน จึงเห็นว่า เหมาะสมเช่นเดียวกัน เพียงแต่อย่าลืมว่า นรต.28 นั้น มักเข้ากันทางหลังบ้านอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น
ก็ให้สงสัยอีกเช่นกันว่า กับกรณีบ่อนเตาปูน ไม่มีการสั่งย้ายนายตำรวจระดับรอง ผบก. แต่กับกรณีบ่อนลอยฟ้า มีคำสั่งย้ายพ.ต.อ.อภิชาติ เรือนทิพย์ รอง ผบก.น. 7 ซึ่งรับผิดชอบท้องที่ สน.ตลิ่งชัน เก็บเข้ากรุเช่นเดียวกัน และเมื่อมองดูว่า พ.ต.อ.อภิชาตินั้น เป็นน้องชายสายโลหิตของพล.ต.ท.กิตติธัช เรือนทิพย์ จเรตำรวจ (สบ.8) ซึ่งพล.ต.ท.กิตติธัช เป็นเพื่อนร่วมรุ่นของพล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ผบ.ตร. ซึ่งมักถูกมองว่าไม่ค่อยสนองรัฐเท่าที่ควร จึงทำให้ดูว่า เป็นการสบโอกาสที่จะเด้ง พ.ต.อ.อภิชาติ เสียเลยก็ไม่น่าเกลียดแต่อย่างใด
กรณีคำสั่งย้ายนายตำรวจที่ถูกตำรวจนอกหน่วยเข้าทลายและจับกุมบ่อนการพนันในพื้นที่เท่าที่ผ่านมานั้น ทำให้ดูเหมือนว่าไม่มีมาตรฐานเดียวกัน หรือขึ้นอยู่กับว่า “เด็กใคร-สายใคร-เส้นใคร” หากเป็น ผกก.โนเนมที่ขึ้นมาด้วยผลงานการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแท้จริง แค่ถูกชุดเฉพาะกิจจับบ่อนไพ่ป๊อกแปด-เก้า บ่อนเล็กๆ เท่านั้น เชื่อขนมกินก่อนได้เลยว่า ต้องเก็บข้าวของภายในวันนั้นทันที
หากเป็นเช่นนี้แล้ว การแก้ปัญหาการปราบปรามบ่อนการพนันให้สัมฤทธิ์ผล จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ขวัญกำลังใจจะมาจากที่ไหน หากนายตำรวจเจ้าของพื้นที่ถือว่าเป็น “เด็กเส้น” และ “เด็กของนายหญิง” ข้างหลังบ้านผู้ทรงอำนาจแล้ว ความเสมอภาค และความเท่าเทียมต่างๆ ซึ่งหาได้ยากยิ่งอยู่แล้วในวงการสีกากี ก็คงจะไม่มีวันโผล่ขึ้นมาได้เห็นแสงรำไรของอรุณรุ่งเป็นแน่แท้



คำสั่งย้ายด่วน พ.ต.อ.อภิชาติ เรือนทิพย์ รอง ผบก.น. 7 ซึ่งรับผิดชอบท้องที่ สถานีตำรวจนครบาลตลิ่งชัน พ.ต.อ.ปราโมทย์ บุญดำเนิน ผกก.สน.ตลิ่งชัน พ.ต.ท.มนัส รุ่งนาค รอง ผกก.ป. พ.ต.ท.ภัทรพล เล่าเปี่ยม รอง ผกก.สส. พ.ต.ต.โอภาศ ศักดี สวป. และร.ต.อ.ประเดิม จินวัฒนาภิรมย์ รักษาการ สว.สส.สน.ตลิ่งชัน ไปช่วยราชการที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ต่อกรณีชุดคณะอนุกรรมการปราบปรามอบายมุขของพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส จเรตำรวจแห่งชาติ เข้าจับกุมบ่อนลอยฟ้า บนชั้น 8 อาคารปิ่นเกล้าคอนโดมิเนียม ซอยโรงพยาบาลเจ้าพระยา เขตบางกอกน้อย กทม. พื้นที่รับผิดชอบของ สน.ตลิ่งชัน ในฐานะบกพร่อง หรือปล่อยปละละเลยให้มีการลักลอบเล่นการพนันในพื้นที่ขึ้นนั้น ในมุมมองหนึ่งถือว่า สมควรแล้วที่จะต้องมีการเด้งเข้ากรุไว้ก่อน โดยไม่ต้องสอบถามว่าได้บกพร่อง หรือปล่อยปละละเลยจริงหรือไม่ อันเนื่องจากบ่อนลอยฟ้าที่ว่า ถูกจับถูกทลายมาซ้ำซาก และครั้งนี้ ก็ถือว่า เป็นการจับกุมในครั้งที่ 3 ภายในระยะเวลาไม่ถึง 2 ปี
คำถามที่ว่า คำสั่งย้ายด่วนบรรดา 5 เสือโรงพัก ซึ่งประกอบด้วย ผกก. รอง ผกก.ป. รอง ผกก.สส. สวป. และสว.สส. ภายหลังจากถูกตำรวจนอกหน่วยเข้าไปจับกุมบ่อนการพนันนั้น จะถือเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุหรือไม่ เหตุผลข้อนี้ขึ้นอยู่กับที่ผู้บังคับบัญชาเป็นผู้พิจารณา แต่ส่วนใหญ่แล้วล้วนไม่รอด
อันว่า “บ่อนลอยฟ้าปิ่นเกล้า” นั้น ไม่ใช่เพียงแค่เพิ่งเปิดขึ้นมา แต่เป็นที่รู้กันดีในหมู่นักเล่นว่า ค่อนข้างปลอดภัย และถือเป็นหนึ่งในอภิมหาบ่อนของเมืองกรุง มีชื่อชั้นเทียบเท่าบ่อนเตาปูน, บ่อนประตูน้ำ, บ่อนเจ๊ง้อ บางรัก, บ่อนหวิน บางนา และบ่อนเจ๊เป้า อุดมสุข โดยบ่อนลอยฟ้าที่ว่า เมื่อมีการจับกุมกันขึ้นมา ก็มักที่จะบอกต่อๆกันมาจากปากของตำรวจว่า เป็นบ่อนที่ “จ่ามานัส” หรือ “ดาบมานัส” เป็นผู้ดูแล แต่ก็ไม่เคยที่จะมีหลักฐานสาวไปถึงดาบมานัส หรือมีการจับกุมสักครั้งหนึ่ง
ว่าถึงการย้ายด่วนรองผู้การ บก.น.7 และ 5 เสือโรงพักตลิ่งชันเข้ากรุในครั้งนี้นั้น มีข้อน่าสังเกตว่า การจับกุมบ่อนลอยฟ้าเมื่อ 2 ครั้งก่อนที่ผ่านมา พ.ต.อ.ปราโมทย์ บุญดำเนิน คนเป็นผกก. อยู่รอดปลอดภัยมาได้ทั้ง 2 ครั้ง ทว่ามาเที่ยวนี้ไม่สามารถประคองตัวได้อีกต่อไป โดยเป็นที่รู้กันดีว่า พ.ต.อ.ปราโมทย์นั้น เป็นเพื่อนนักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) รุ่นที่ 26 รุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ส่วนจะสนิทชิดเชื้อกับ “บิ๊กแม้ว” ขนาดไหนนั้น กระจอกข่าวรายงานมาตามสายเสียงใสแจ๋วว่า “หนิดหนมๆ ครับพี่”
พ.ต.อ.ปราโมทย์ ใช่ว่าจะถูกเด้งเกี่ยวกับเรื่องอบายมุขในพื้นที่ครั้งนี้เป็นครั้งแรก แต่เมื่อสมัยที่ดำรงตำแหน่ง ผกก.สน.วังทองหลาง ถูกเด้งด้วยพิษการออกมาเปิดโปงเกี่ยวกับส่วยอาบอบนวดของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตเจ้าพ่ออ่างทองคำ ซึ่งครั้งนั้น พ.ต.อ.ปราโมทย์ ถูกเด้งไปเป็น ผกก.สน.ตลิ่งชัน ซึ่งถือว่าดวงแข็งพอสมควร ส่วนเที่ยวนี้จะไปตกใกล้ตกไกลที่ไหนนั้น ต้องจับตาดู เพราะเมื่อครั้งกองปราบปรามบุกทลายบ่อนเตาปูนนั้น พ.ต.อ.ช่วงศักดา บูรณศิริ ผกก.สน.เตาปูนในขณะนั้น ถูก ผบ.ตร.เตะโด่งไปปลูกกุหลาบเป็น ผกก.สภ.อ.อุ้มผาง จ.ตากโน่น
คำสั่งดังกล่าวเบื้องต้น ไม่ปรากฏว่ามีการเด้งพล.ต.ต.บุญส่ง พานิชอัตรา ผบก.น.7 เหมือนเมื่อครั้งที่กองปราบทลายบ่อนเตาปูน ซึ่งเด้ง พล.ต.ต.วิบูลย์ บางท่าไม้ ผบก.น. 2 ในขณะนั้นไปเป็น ผบก.ประจำสำนักงานผบ.ตร. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า “บุญ” จะ"ส่ง"ให้ พล.ต.ต.บุญส่ง อยู่ยงคงกระพันในตำแหน่ง ผบก.น.7 ได้อีกต่อไปยาวนานแค่ไหนหรือไม่ แต่สุดท้ายแล้ว "บุญ"ก็ไม่"ส่ง" ผบ.ตร.มีคำสั่งด่วนให้ พล.ต.ต.บุญส่ง พานิชอัตรา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 7 (ผบก.น.7) มาช่วยราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) อย่างไม่มีกำหนดเสียแล้ว
ได้ยินมาว่า พล.ต.ต.บุญส่งนั้น เป็น นรต. 28 เพื่อนร่วมรุ่นเดียวกับ พล.ต.ท.ปานศิริ ประภาวัต ที่ปรึกษา สบ.9 อดีต ผบช.น. อดีต ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.สุเมธ เรืองสวัสดิ์ ผบก.ตปพ. อดีต ผบก.น.7 พล.ต.ต.บุญส่ง พอจะมีชื่อชั้นกับเขาบ้างก็เมื่อครั้งจับกุม “แดง เลาขวัญ” หรือนายอุทัย แซ่ลี้ คนร้ายตัวฉกาจที่ก่อคดีฆ่าข่มขืน และหลบหนีการจับกุมของตำรวจมานาน และเมื่อถูกจับก็รับสารภาพว่าทำไปเพราะแค้นที่พ่อถูกโกงที่ดิน น้องสาวก็ถูกข่มขืน คนทำผิดไม่ถูกลงโทษก็เลยฆ่าทิ้งเสียแล้วติดคุก 10 ปี พอออกมาก็ฆ่ามาเรื่อยประชดชีวิตที่ถูกรังแกและได้รับความยุติธรรมน้อย โดยครั้งนั้น พล.ต.ต.บุญส่ง ดำรงตำแหน่ง ผบก.ชัยนาท ซึ่งมี พล.ต.ท.ปานศิริ เป็นผบช.ภ.1 อยู่ ก่อนที่จะย้ายไปเป็น ผบก.อ่างทอง
พล.ต.ต.บุญส่ง ย้ายจากอ่างทอง มาเป็น ผบก.น.7 พื้นที่ซึ่งต้องดูแลบ้านจันทร์ส่องหล้า ของ พ.ต.ท.ทักษิณครั้งนั้น ค่อนข้างจัดว่าเซอร์ไพรส์พอสมควร ด้วยมีการว่ากันมาปากต่อปากว่า นรต.26 นั้น เข้ากันทาง พ.ต.ท.ทักษิณได้โดยตรง ส่วน นรต. 28 ซึ่งเป็นรุ่นน้อง 2 ปีนั้นเขาเข้ากันทางหลังบ้าน และดูเหมือนอนาคตค่อนข้างยาวไกลกันหลายคน
ยังกังขาว่า เหตุไฉน พล.ต.ต.บุญส่ง ให้สัมภาษณ์หลังถูกชุดจเรตำรวจแห่งชาติเข้าจับกุมบ่อนในพื้นที่ว่า “ปกติตำรวจพื้นที่ได้มีการกวดขันอยู่แแล้ว แต่เนื่องจากไม่รู้ทางเข้าออกของบ่อนที่แน่ชัด ทำให้การดำเนินการยากลำบาก ทั้งนี้ เคยมาตรวจสอบและประสานให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายโยธาธิการเขตบางกอกน้อยเข้าไปทำการรื้อถอนชั้นดาดฟ้าที่มีการต่อเติมผิดกฎหมาย แต่ก็ยังมีการเปิดให้เล่นการพนันที่บริเวณชั้น 8 อีก” คำกล่าวที่ว่า “ไม่รู้ทางเข้าออกของบ่อนที่แน่ชัด” จึงไม่น่าที่จะนำมาเป็นเหตุผลหลักในการปล่อยให้มีบ่อนการพนันขนาดใหญ่เกิดขึ้นในพื้นที่ได้ ดังนั้น คำสั่งย้าย พล.ต.ต.บุญส่ง เช่นเดียวกับ พล.ต.ต.วิบูลย์ กับกรณีบ่อนเตาปูน จึงเห็นว่า เหมาะสมเช่นเดียวกัน เพียงแต่อย่าลืมว่า นรต.28 นั้น มักเข้ากันทางหลังบ้านอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น
ก็ให้สงสัยอีกเช่นกันว่า กับกรณีบ่อนเตาปูน ไม่มีการสั่งย้ายนายตำรวจระดับรอง ผบก. แต่กับกรณีบ่อนลอยฟ้า มีคำสั่งย้ายพ.ต.อ.อภิชาติ เรือนทิพย์ รอง ผบก.น. 7 ซึ่งรับผิดชอบท้องที่ สน.ตลิ่งชัน เก็บเข้ากรุเช่นเดียวกัน และเมื่อมองดูว่า พ.ต.อ.อภิชาตินั้น เป็นน้องชายสายโลหิตของพล.ต.ท.กิตติธัช เรือนทิพย์ จเรตำรวจ (สบ.8) ซึ่งพล.ต.ท.กิตติธัช เป็นเพื่อนร่วมรุ่นของพล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ผบ.ตร. ซึ่งมักถูกมองว่าไม่ค่อยสนองรัฐเท่าที่ควร จึงทำให้ดูว่า เป็นการสบโอกาสที่จะเด้ง พ.ต.อ.อภิชาติ เสียเลยก็ไม่น่าเกลียดแต่อย่างใด
กรณีคำสั่งย้ายนายตำรวจที่ถูกตำรวจนอกหน่วยเข้าทลายและจับกุมบ่อนการพนันในพื้นที่เท่าที่ผ่านมานั้น ทำให้ดูเหมือนว่าไม่มีมาตรฐานเดียวกัน หรือขึ้นอยู่กับว่า “เด็กใคร-สายใคร-เส้นใคร” หากเป็น ผกก.โนเนมที่ขึ้นมาด้วยผลงานการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแท้จริง แค่ถูกชุดเฉพาะกิจจับบ่อนไพ่ป๊อกแปด-เก้า บ่อนเล็กๆ เท่านั้น เชื่อขนมกินก่อนได้เลยว่า ต้องเก็บข้าวของภายในวันนั้นทันที
หากเป็นเช่นนี้แล้ว การแก้ปัญหาการปราบปรามบ่อนการพนันให้สัมฤทธิ์ผล จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ขวัญกำลังใจจะมาจากที่ไหน หากนายตำรวจเจ้าของพื้นที่ถือว่าเป็น “เด็กเส้น” และ “เด็กของนายหญิง” ข้างหลังบ้านผู้ทรงอำนาจแล้ว ความเสมอภาค และความเท่าเทียมต่างๆ ซึ่งหาได้ยากยิ่งอยู่แล้วในวงการสีกากี ก็คงจะไม่มีวันโผล่ขึ้นมาได้เห็นแสงรำไรของอรุณรุ่งเป็นแน่แท้