xs
xsm
sm
md
lg

ประหารนักมวยอะโกโก้ ฆ่าชิงทรัพย์เกย์หนุ่มคู่ขา

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

ศาลสั่งประหารสถานเดียว นักมวยอะโกโก้เมืองพัทยา ฆ่าชิงทรัพย์เกย์หนุ่มคู่ขาหมกห้องพัก เชื่อเจตนาฆ่าโดยปราศจากข้อสงสัย

วันนี้ (7 มิ.ย.) ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ สนามหลวง ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านมีคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสมคิด หรือคิด ทีเทศ อายุ 30 ปี ชาวมหาสารคาม อาชีพนักมวยชกโชว์ในบาร์อะโกโก้ เป็นจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นเพื่อปกปิดความผิดของตน ชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และขอให้นับโทษต่อจากคดีค้ายาบ้าที่จำเลยถูกจำคุก 5 ปี ตามคำพิพากษาของศาลอาญาคดีดำที่ 2460/43

โจทก์บรรยายคำฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 12 เม.ย.2548 จำเลยใช้ของมีคมเชือดคอและแทงนายโสภา ชัยชิด จนถึงแก่ความตาย และชิงทรัพย์สินไปหลายรายการ โจทก์มีแม่บ้านของอาคารศรีบำเพ็ญอพาร์ทเม้นท์ ถ.สารทร เขตลุมพินี กทม. เบิกความว่าได้กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงจากห้องพักเลขที่ 603 จึงโทรศัพท์แจ้งตำรวจมาตรวจสอบ พบศพนายโสภา หรือเซนท์ ชัยชิด อายุ 28 ปี อาชีพขายตั๋วเครื่องบิน และให้บริการเช่ารถยนต์ลิมูซีน ที่ท่าอากาศยานกรุงเทพ (ดอนเมือง) นอนตายในลักษณะคว่ำหน้าบนเตียงมีผ้าห่มคลุม ร่างเปลือยและมีรอยถูกแทงด้วยของมีคมที่ลำคอ สะบ้า จนเส้นเลือดใหญ่ฉีกขาด สภาพศพเน่าเพราะตายมา 96 ชั่วโมง ในห้องมีขวดเบียร์ 3 ขวดจึงพิมพ์ลายนิ้วมือเป็นหลักฐาน

จากการตรวจสอบพบว่า บรรดาเครื่องเพชรทองรูปพรรณ โทรศัพท์ กระเป๋าสตางค์และเงินสดของผู้ตายหายไปรวมมูลค่า 119,000 บาท พยานโจทก์เป็นพนักงานบาร์เกย์ ชื่อนายสุเทพ ทองนำ เบิกความว่ารู้จักกับผู้ตายเพราะผู้ตายเป็นชายรักร่วมเพศที่ชอบมาเที่ยวที่บาร์เกย์ย่านพัทยาเป็นประจำ โดยผู้ตายได้ถูกใจกับนายสมคิด จำเลยคดีนี้ซึ่งมีอาชีพเป็นนักมวยที่ชกโชว์ตามบาร์เบียร์และนักเต้นอะโกโก้

จนวันที่ 4 เม.ย.2548 ตนกับจำเลยได้นั่งรถบัสจากพัทยามาที่หมอชิต แล้วนั่งแท็กซี่ไปพบผู้ตายที่ท่าอากาศยานดอนเมืองเพื่อทำธุระ จากนั้นผู้ตายกับจำเลยพบกันก็ตกลงไปนอนค้างกันที่ห้องพักของผู้ตาย จนวันที่ 12 เม.ย.2548 นายสมคิดจึงกลับพัทยา ซึ่งตนพบว่านายสมคิดสวมแหวนเพชรของผู้ตาย และมีบาดแผลที่นิ้ว นอกจากนี้ยังพบว่าหลานชายจำเลยได้ใส่นาฬิกาเรือนทองประดับเพชรของผู้ตายด้วย

ศาลพิเคราะห์ว่า พยานหลักฐานนำสืบแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยาน แต่ก็มีพยานแวดล้อมกรณีฟังได้ว่าผู้ตายรู้จักกับจำเลยและอยู่ด้วยในกันในเวลาเกิดเหตุ แสดงว่าจำเลยเป็นผู้ใกล้ชิดของผลการกระทำผิด นอกจากนี้ พยานโจทก์ยังให้การสอดคล้องลำดับเหตุการณ์เป็นขั้นตอน ไม่เชื่อว่าจะกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลย นอกจากนี้ ตำรวจยังพบสิ่งของทรัพย์สินของผู้ตายที่จำเลยอีก

คดีจึงฟังโดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยคือคนร้ายในคดีนี้ พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ลงโทษประหารชีวิต ที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อศาลเห็นว่าเมื่อศาลลงโทษประหารชีวิตอันเป็นบทหนักแล้ว จึงไม่อาจนำโทษจำคุกมานับโทษต่ออีกได้ คงให้ประหารชีวิตสถานเดียว
กำลังโหลดความคิดเห็น