โฆษก ตร.มั่นใจสรุปสำนวนคดีสังหารโหด “ส.ส.กอบกุล” ได้เสร็จสิ้นภายใน 2 สัปดาห์ พร้อมโอนคดีให้กองปราบฯ เพื่อตัดปัญหาผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ เชื่อมีผู้บงการเพียงแต่ขาดหลักฐานเอาผิด เพราะทีมฆ่ายึดระบบอุปถัมภ์
วันนี้ (5 มิ.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผช.ผบ.ตร.) ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดีการสังหารนางกอบกุล นพอมรบดี อดีต ส.ส.ไทยรักไทย จ.ราชบุรี ว่า ขณะนี้การสอบสวนคืบหน้าไปมากประมาณ 80-90 เปอร์เซ็นต์แล้ว ในทางปฏิบัติการการจับกุมผู้ต้องหากระทำอย่างครบถ้วน และผู้ต้องหารับสารภาพนำไปที่จุดเกิดเหตุ คดีนี้ทางพนักงานสอบสวนมั่นใจว่าสามารถส่งสำนวนฟ้องศาลได้ และในชั้นศาลก็มั่นใจว่าพยานหลักฐานต่างๆ ที่ได้ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธปืนที่ใช้สังหาร ปลอกกระสุน รถที่ใช้ในการก่อเหตุ และผลพิสูจน์ปลอกกระสุนปืนก็พบว่าตรงกับที่มีการไปฝึกซ้อมที่สนามยิงปืน เพียงพอที่จะเอาผิดผู้ต้องหาทั้งหมด
พล.ต.ท.อชิรวิทย์ กล่าวอีกว่า สำหรับผู้ที่อยู่เบื้องหลังนั้น ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาบางรายหลุดปากออกมาว่า ถ้ามีอะไรนายจะเป็นคนรับผิดชอบ ซึ่งการสอบสวนอย่างละเอียดเพิ่มเติมพบว่า “นาย” ที่ว่าคือ นายอนันตศักดิ์ ศรีสวัสดิ์ หรือ ส.ท.ต่าย อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวนจะสอบเพิ่มเติม นายจำรณ และนายศุภฤกษ์ อ่วมทอง สองพ่อลูกอีกครั้ง เพราะแน่ชัดว่าช่วงเกิดเหตุได้เข้าไปในเมืองไปพบกับกลุ่มผู้ต้องหา และคนบางคน ซึ่งทั้งสองอ้างว่าไปพบและคุยกันเรื่องธุรกิจ ซึ่งทางตำรวจเชื่อแต่ก็คิดว่ามีเรื่องอื่นด้วย แต่เมื่อพยานหลักฐานบอกว่าทั้งสองไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุระหว่างวันเวลาดังกล่าว จึงไม่ได้คัดค้านการประกันตัว ให้ปล่อยตัวชั่วคราวไป แต่อาจจะต้องเรียกมาสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อหารายละเอียดบางอย่าง สำหรับคดีนี้จากการสอบพบว่าไม่มีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นการทำงานทดแทนบุญคุณ
“คดีนี้น่าจะมีผู้ที่อยู่เบื้องหลังอีก แต่เมื่อการสอบสวนยังไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ความผิด ปัจจุบันนี้ตำรวจได้เน้นชัดเจนว่าในชั้นพนักงานสอบสวน และในชั้นศาลต้องมีประสิทธิผล พยานหลักฐานที่ไปถึงชั้นศาลต้องเพียงพอในการเอาผิด เพราะฉะนั้น ตำรวจยุคนี้ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ผบ.ตร. ได้กำชับว่าถ้ายังไม่มีพยานหลักฐานจนถึงที่สุดที่สามารถเอาผิดได้ก็ยังไม่ต้องดำเนินการ เพราะเราไม่ได้ทำงานตามกระแสหรือตามความกดดัน เราทำคดีไปตามพยานหลักฐานที่ไปถึง” โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าว
โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวอีกว่า สำหรับคดีนี้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มอบหมายให้กองปราบปรามเป็นผู้รับผิดชอบ เพื่อตัดปัญหาเรื่องของอิทธิพลต่างๆ คาดว่าประมาณ 2-3 สัปดาห์น่าจะส่งสำนวนฟ้องศาลได้ ตำรวจยืนยันว่าคดีนี้ถ้าหลักฐานสาวไปถึงใครไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือใครก็ตาม ก็สามารถที่จะออกหมายเรียกหรือออกหมายจับเพิ่มได้ทันที ส่วนนายสงัด พันธ์เพ็ง ผู้ชี้เป้าซึ่งเสียชีวิตจากการดื่มยาพิษนั้น ตอนนี้อยู่ระหว่างรอผลการชันสูตรและผลพิสูจน์จากกองพิสูจน์หลักฐานเกี่ยวกับรอยนิ้วมือที่พบที่ซองยา และที่พบที่รถ ซึ่งอาจเป็นรอยนิ้วมือของผู้ส่งยาให้ หรือคนขายของก็ได้
(0303)