ขมวดปมชีวิต “กำนันเป๊าะ-กำนันเซียะ” 2 เจ้าพ่อ จาก 2 ทิศ ที่ดำเนินธุรกิจจนเติบโต จนได้รับฉายาว่า “ฉลามบูรพา-พยัคฆ์ประจิม” ก่อนตัดสินกระโจนเข้าสู่ถนนทางเมือง แต่เหตุไฉนบั้นปลายชีวิตของเจ้าพ่อในวัยชรา จึงโรยราจนสิ้นลาย จึงกลายเป็นตำนานชีวิตที่น่าศึกษายิ่ง
เกือบ 2 สัปดาห์ หลังศาลฎีกามีคำพิพากษาลับหลังให้จำคุก นายสมชาย คุณปลื้ม หรือกำนันเป๊าะ 3 ปี 4 เดือน ตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 151 ประกอบมาตรา 86 ในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องกำนันเป๊าะพร้อมพวก ทุจริตซื้อที่ดินทิ้งขยะเมืองพัทยา ตามหมายเลขดำที่ 229/2540 คดีหมายเลขแดงที่ 843/2546 ฐานความผิดต่อเจ้าพนักงาน, ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดเกี่ยวกับเอกสาร ตั้งแต่วันที่ 10 พ.ค.ที่ผ่านมา
ยังไม่มีใครรู้เบาะแสว่า “กำนันเป๊าะ” หรือฉลามบูรพา อยู่ ณ ที่แห่งหนตำบลใด มีเพียงข้อมูลที่น่าเชื่อถือจาก พล.ต.ท.จงรัก จุฑานนท์ ผบช.ภ.2 ที่ระบุว่า ขณะนี้ศาลได้ออกหมายจับทั่วราชอาณาจักรกลุ่มบุคคล และอาจเป็นไปได้ว่ากำนันเป๊าะได้หลบหนีไปอยู่ ต่างประเทศแล้ว เช่น เกาะกง เวียดนาม หรือสิงคโปร์ ซึ่งคาดว่าเส้นทางหลบหนีอาจจะไปทางอ่าวไทย เนื่องจาก ง่ายต่อการหลบหนี
กำนันเป๊าะคิดจะหลบไปตลอดอายุความ 10 ปี จริงหรือ!? เพราะยังตกเป็นผู้ต้องคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีการจ้างวานฆ่ากำนันประยูร สิทธิโชติ ซึ่งตัดสินจำคุก 25 ปี และหากศาลฎีกาพิพากษายืนลงโทษตามศาลอุทธรณ์ จะมีอายุความยาวถึง 20 ปี ดังนั้น หากกำนันเป๊าะคิดจะหนีคงต้องหนีไปตลอดชีวิต เนื่องจากขณะนี้อายุก็ปาเข้าไป 69 ปีแล้ว
วิบากกรรมฉลามบูรพาผู้นี้ดูจะไม่ต่างจาก กำนันเซียะ “พยัคฆ์ประจิม” ที่กำลังเผชิญในบั้นปลายแห่งชีวิต
นายประชา โพธิพิพิธ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กาญจนบุรี เขต 5 พรรคประชาธิปัตย์ ผู้กว้างขวางแห่งเมืองกาญจนบุรี ถูกตำรวจบุกค้นบ้านพัก และที่ตั้งเครือข่ายทางธุรกิจ-การเมือง ณ บ้านพักที่ 281 หมู่ 1 ต.ตะคร้ำเอน อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี รวมทั้งสิ้น 7 จุด เมื่อเช้ามืดวันที่ 4 ก.ค.2546 ตามแผนปฏิบัติการ “พิทักษ์ประจิมเพื่อสันติสุข”
ก่อนถูกส่งฟ้องต่อศาลพร้อม นางเขมพร หรือ" “จ้าแม่แดง” ภรรยา พร้อมพวกรวม 4 คน ฐานมีพฤติกรรมเป็นผู้มีอิทธิพลในการฮั้วประมูลหลายครั้ง ในความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ หน่วงเหนี่ยวกักขัง และพระราชบัญญัติว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานราชการ พ.ศ.2542
กระทั่งศาลมีคำพิพากษาให้จำคุกกำนันเซียะ 5 ปี ส่วนเจ้าแม่แดงจำคุก 4 ปี แม้ว่าคดีของกำนันเซี๊ยะยังไม่ถึงที่สุด เพราะคดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ โดยกำนันเซี๊ยะได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินใน ต.ท่าเสา อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี เนื้อที่ 64 ไร่ ราคาประเมิน 4,391,400 บาท จนได้รับการประกันตัวระหว่างการต่อสู้คดี
นอกจากคดีอาญาแล้ว พยัคฆ์ประจิมอาจจะถูกศาลมีคำสั่งให้ยึดทรัพย์มูลค่า 30 ล้านบาท เนื่องจาก ปปง.ตรวจพบว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำผิด ซึ่งขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลแพ่ง
สุดท้ายแห่งคดี ผลคำพิพากษาศาลฎีกาคดีกำนันเซียะ จะลงเอยอย่างไร ยังยากที่จะคาดเดา ส่วนจะใช้บรรทัดฐานของกำนันเป๊าะเป็นตัวอย่างหรือไม่ คงต้องจับตาดูกันต่อไป
แต่บารมี 2 เจ้าพ่อจาก 2 ทิศ แต่เหตุไฉน 2 ชีวิตกับอิทธิพลที่เคยสั่งสมมา จึงมาบรรจบในบั้นปลายชีวิตที่คล้ายคลึงกัน
“ฉลามบูรพา-กำนันเป๊าะ” และ “พยัคฆ์ประจิม-กำนันเซี้ยะ” มีตารางการดำเนินชีวิตที่คล้ายคลึงกัน เพราะต่างคนต่างทำธุรกิจตีคู่เป็นเส้นขนานขัดกับหลักกฎหมาย และเติบโตจากผู้นำท้องถิ่นในตำแหน่ง “กำนัน” เหมือนกัน กระโจนเข้าสู่ถนนการเมืองหลังทรงอิทธิพลท้องถิ่นเหมือนกัน มีฐานะร่ำรวยในระดับมหาเศรษฐีเหมือนกัน เป็นที่นับหน้าถือตาและวางทายาททางการเมืองไว้สืบทอดเหมือนกัน สุดท้ายตกเป็นจำเลยอาญาแผ่นดินด้วยข้อหาฉกรรจ์เหมือนกัน!!
ย้อนรอยทำเนียบ “กำนันเป๊าะ” ถือเป็นเจ้าพ่อเมืองชลในยุคแรกก่อน “เสี่ยจิว” นายจุมพล สุขภารังษี เจ้าพ่อภาคตะวันออก จะถูกดักถล่มด้วยอาวุธสงครามจนสิ้นชื่อคารถเบนซ์คู่ชีพ เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.2524 หลังจากนั้นบารมีของ “กำนันเป๊าะ” ขึ้นเทียบรัศมีแทนพร้อมสยายปีกครอบคลุมดูแลธุรกิจ การค้า การเมือง จนถูกขนานนาม “เจ้าพ่อแห่งภาคตะวันออก” นาม “ฉลามบูรพา”
โดยฐานกำลังส่วนใหญ่มาจากผู้นำชุมชนและบรรดาคนการเมืองจากสภาท้องถิ่น โดยกำนันเป๊าะได้จัดระบบ การวางตัวบุคคลที่เป็นหัวคะแนน ร่วมกันหาเสียงที่จัดชั้นลำดับเอาไว้ จนกระทั่งมีการจัดตั้ง องค์การบริหารส่วนตำบล กำนันเป๊าะก็เข้าไปมีส่วนจัดวางกำลังคนเอาไว้อีก
เช่นเดียวกันกับการจัดระบบตัวคนลงรับการเลือกตั้งเทศบาลต่างๆ รวมทั้งเมืองพัทยา หรือแม้แต่สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด รวมกันแล้วเป็น 105 องค์กร กำนันเป๊าะถือเป็นผู้นำองค์กรท้องถิ่นที่มีบทบาทสูงสุดมาโดยตลอดเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้เพราะ “กำนันเป๊าะ” มีหลักในการดำเนินธุรกิจการเมืองตามยุทธศาสตร์ “ผลประโยชน์ร่วมกันคืออุดมการณ์ที่ลงตัว”
ขณะที่ “กำนันเซียะ” เติบโตในยุทธจักรธุรกิจการเมือง เริ่มจากการอาชีพทำไร่อ้อยกว่าพันไร่และเป็นเจ้าของเขมประชาฟาร์ม เนื้อที่กว่า 2 พันไร่ ที่ ต.ช่องด่าน อ.บ่อพลอย กาญจนบุรีก่อนจะเริ่มมีชื่อเสียงในยุค พ.ต.อ.ราชศักดิ์ จันทรัตน์ ผกก.ภ.จ.กาญจนบุรี (ยศตำแหน่งในขณะนั้น) เพราะช่วยเหลือโดยการเจรจาสยบปัญหาไร่อ้อยและร่วมคลี่คลายคดีปล้นจี้รถ 10 ล้อเผานั่งยาง ก่อนผันตัวเองเข้าสู่คณะกรรมการสมาคมชาวไร่อ้อยเขต 7 และเป็นนายกสมาคมชาวไร่อ้อยเขต 7 ในเวลาต่อมา
ปี 2520 กระโจนเข้าสู่เวทีการเมืองท้องถิ่นโดยเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 1 ต.ท่าเรือ อ.ท่ามะกา 4 ปีต่อมาได้รับเลือกเป็นกำนัน ต.ท่าเรือพระแท่น ปี 2534ได้ เป็นนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลท่าเรือพระแท่นปี 2538 ลงสนามการเมืองระดับชาติ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เขต 2 กาญจนบุรี ตามคำชักชวนของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ชนะเลือกตั้ง ส.ส.เขต 5 ก่อนจะมาพ่ายแพ้ พล.ต.ศรชัย มนตริวัต ผู้สมัครจากพรรคไทยรักไทย ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2544
เส้นทางธุรกิจการเมืองของกำนันเซียะที่เริ่มต้นและจบลงที่พรรคประชาธิปัตย์ ประเภทรักเดียวใจเดียวที่พยัคฆ์ประจิม ยึดหลัก “อุดมการณ์มาก่อนธุรกิจ” หลังลงสู่ถนนการเมืองอย่างเต็มตัว
แต่ 2 ผู้ยิ่งใหญ่จาก 2 ทิศ ที่คร่ำหวอดในยุทธจักรนักเลง เมื่อลงสู่สนามการเมือง จำต้องกลายสภาพเป็น “เสือติดจั่น” เพราะยังไม่เข้าใจนิยามคำว่า “ไม่มีมิตรแท้และศัตตรูถาวร” นั่นเอง ยุทธวิธีเปิดแผลเก่านำคดีเข้าสู่กระบวนการพิจารณา ถือกระบวนท่าสุดท้ายที่คู่แข่งทางการเมือง หวังใช้กำจัด “กำนันเป๊าะ-กำนันเซียะ” สุดท้ายก็ได้ผลตามเป้าหมายที่วางไว้เสียด้วย


เกือบ 2 สัปดาห์ หลังศาลฎีกามีคำพิพากษาลับหลังให้จำคุก นายสมชาย คุณปลื้ม หรือกำนันเป๊าะ 3 ปี 4 เดือน ตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 151 ประกอบมาตรา 86 ในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องกำนันเป๊าะพร้อมพวก ทุจริตซื้อที่ดินทิ้งขยะเมืองพัทยา ตามหมายเลขดำที่ 229/2540 คดีหมายเลขแดงที่ 843/2546 ฐานความผิดต่อเจ้าพนักงาน, ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดเกี่ยวกับเอกสาร ตั้งแต่วันที่ 10 พ.ค.ที่ผ่านมา
ยังไม่มีใครรู้เบาะแสว่า “กำนันเป๊าะ” หรือฉลามบูรพา อยู่ ณ ที่แห่งหนตำบลใด มีเพียงข้อมูลที่น่าเชื่อถือจาก พล.ต.ท.จงรัก จุฑานนท์ ผบช.ภ.2 ที่ระบุว่า ขณะนี้ศาลได้ออกหมายจับทั่วราชอาณาจักรกลุ่มบุคคล และอาจเป็นไปได้ว่ากำนันเป๊าะได้หลบหนีไปอยู่ ต่างประเทศแล้ว เช่น เกาะกง เวียดนาม หรือสิงคโปร์ ซึ่งคาดว่าเส้นทางหลบหนีอาจจะไปทางอ่าวไทย เนื่องจาก ง่ายต่อการหลบหนี
กำนันเป๊าะคิดจะหลบไปตลอดอายุความ 10 ปี จริงหรือ!? เพราะยังตกเป็นผู้ต้องคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีการจ้างวานฆ่ากำนันประยูร สิทธิโชติ ซึ่งตัดสินจำคุก 25 ปี และหากศาลฎีกาพิพากษายืนลงโทษตามศาลอุทธรณ์ จะมีอายุความยาวถึง 20 ปี ดังนั้น หากกำนันเป๊าะคิดจะหนีคงต้องหนีไปตลอดชีวิต เนื่องจากขณะนี้อายุก็ปาเข้าไป 69 ปีแล้ว
วิบากกรรมฉลามบูรพาผู้นี้ดูจะไม่ต่างจาก กำนันเซียะ “พยัคฆ์ประจิม” ที่กำลังเผชิญในบั้นปลายแห่งชีวิต
นายประชา โพธิพิพิธ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กาญจนบุรี เขต 5 พรรคประชาธิปัตย์ ผู้กว้างขวางแห่งเมืองกาญจนบุรี ถูกตำรวจบุกค้นบ้านพัก และที่ตั้งเครือข่ายทางธุรกิจ-การเมือง ณ บ้านพักที่ 281 หมู่ 1 ต.ตะคร้ำเอน อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี รวมทั้งสิ้น 7 จุด เมื่อเช้ามืดวันที่ 4 ก.ค.2546 ตามแผนปฏิบัติการ “พิทักษ์ประจิมเพื่อสันติสุข”
ก่อนถูกส่งฟ้องต่อศาลพร้อม นางเขมพร หรือ" “จ้าแม่แดง” ภรรยา พร้อมพวกรวม 4 คน ฐานมีพฤติกรรมเป็นผู้มีอิทธิพลในการฮั้วประมูลหลายครั้ง ในความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ หน่วงเหนี่ยวกักขัง และพระราชบัญญัติว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานราชการ พ.ศ.2542
กระทั่งศาลมีคำพิพากษาให้จำคุกกำนันเซียะ 5 ปี ส่วนเจ้าแม่แดงจำคุก 4 ปี แม้ว่าคดีของกำนันเซี๊ยะยังไม่ถึงที่สุด เพราะคดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ โดยกำนันเซี๊ยะได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินใน ต.ท่าเสา อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี เนื้อที่ 64 ไร่ ราคาประเมิน 4,391,400 บาท จนได้รับการประกันตัวระหว่างการต่อสู้คดี
นอกจากคดีอาญาแล้ว พยัคฆ์ประจิมอาจจะถูกศาลมีคำสั่งให้ยึดทรัพย์มูลค่า 30 ล้านบาท เนื่องจาก ปปง.ตรวจพบว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำผิด ซึ่งขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลแพ่ง
สุดท้ายแห่งคดี ผลคำพิพากษาศาลฎีกาคดีกำนันเซียะ จะลงเอยอย่างไร ยังยากที่จะคาดเดา ส่วนจะใช้บรรทัดฐานของกำนันเป๊าะเป็นตัวอย่างหรือไม่ คงต้องจับตาดูกันต่อไป
แต่บารมี 2 เจ้าพ่อจาก 2 ทิศ แต่เหตุไฉน 2 ชีวิตกับอิทธิพลที่เคยสั่งสมมา จึงมาบรรจบในบั้นปลายชีวิตที่คล้ายคลึงกัน
“ฉลามบูรพา-กำนันเป๊าะ” และ “พยัคฆ์ประจิม-กำนันเซี้ยะ” มีตารางการดำเนินชีวิตที่คล้ายคลึงกัน เพราะต่างคนต่างทำธุรกิจตีคู่เป็นเส้นขนานขัดกับหลักกฎหมาย และเติบโตจากผู้นำท้องถิ่นในตำแหน่ง “กำนัน” เหมือนกัน กระโจนเข้าสู่ถนนการเมืองหลังทรงอิทธิพลท้องถิ่นเหมือนกัน มีฐานะร่ำรวยในระดับมหาเศรษฐีเหมือนกัน เป็นที่นับหน้าถือตาและวางทายาททางการเมืองไว้สืบทอดเหมือนกัน สุดท้ายตกเป็นจำเลยอาญาแผ่นดินด้วยข้อหาฉกรรจ์เหมือนกัน!!
ย้อนรอยทำเนียบ “กำนันเป๊าะ” ถือเป็นเจ้าพ่อเมืองชลในยุคแรกก่อน “เสี่ยจิว” นายจุมพล สุขภารังษี เจ้าพ่อภาคตะวันออก จะถูกดักถล่มด้วยอาวุธสงครามจนสิ้นชื่อคารถเบนซ์คู่ชีพ เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.2524 หลังจากนั้นบารมีของ “กำนันเป๊าะ” ขึ้นเทียบรัศมีแทนพร้อมสยายปีกครอบคลุมดูแลธุรกิจ การค้า การเมือง จนถูกขนานนาม “เจ้าพ่อแห่งภาคตะวันออก” นาม “ฉลามบูรพา”
โดยฐานกำลังส่วนใหญ่มาจากผู้นำชุมชนและบรรดาคนการเมืองจากสภาท้องถิ่น โดยกำนันเป๊าะได้จัดระบบ การวางตัวบุคคลที่เป็นหัวคะแนน ร่วมกันหาเสียงที่จัดชั้นลำดับเอาไว้ จนกระทั่งมีการจัดตั้ง องค์การบริหารส่วนตำบล กำนันเป๊าะก็เข้าไปมีส่วนจัดวางกำลังคนเอาไว้อีก
เช่นเดียวกันกับการจัดระบบตัวคนลงรับการเลือกตั้งเทศบาลต่างๆ รวมทั้งเมืองพัทยา หรือแม้แต่สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด รวมกันแล้วเป็น 105 องค์กร กำนันเป๊าะถือเป็นผู้นำองค์กรท้องถิ่นที่มีบทบาทสูงสุดมาโดยตลอดเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้เพราะ “กำนันเป๊าะ” มีหลักในการดำเนินธุรกิจการเมืองตามยุทธศาสตร์ “ผลประโยชน์ร่วมกันคืออุดมการณ์ที่ลงตัว”
ขณะที่ “กำนันเซียะ” เติบโตในยุทธจักรธุรกิจการเมือง เริ่มจากการอาชีพทำไร่อ้อยกว่าพันไร่และเป็นเจ้าของเขมประชาฟาร์ม เนื้อที่กว่า 2 พันไร่ ที่ ต.ช่องด่าน อ.บ่อพลอย กาญจนบุรีก่อนจะเริ่มมีชื่อเสียงในยุค พ.ต.อ.ราชศักดิ์ จันทรัตน์ ผกก.ภ.จ.กาญจนบุรี (ยศตำแหน่งในขณะนั้น) เพราะช่วยเหลือโดยการเจรจาสยบปัญหาไร่อ้อยและร่วมคลี่คลายคดีปล้นจี้รถ 10 ล้อเผานั่งยาง ก่อนผันตัวเองเข้าสู่คณะกรรมการสมาคมชาวไร่อ้อยเขต 7 และเป็นนายกสมาคมชาวไร่อ้อยเขต 7 ในเวลาต่อมา
ปี 2520 กระโจนเข้าสู่เวทีการเมืองท้องถิ่นโดยเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 1 ต.ท่าเรือ อ.ท่ามะกา 4 ปีต่อมาได้รับเลือกเป็นกำนัน ต.ท่าเรือพระแท่น ปี 2534ได้ เป็นนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลท่าเรือพระแท่นปี 2538 ลงสนามการเมืองระดับชาติ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เขต 2 กาญจนบุรี ตามคำชักชวนของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ชนะเลือกตั้ง ส.ส.เขต 5 ก่อนจะมาพ่ายแพ้ พล.ต.ศรชัย มนตริวัต ผู้สมัครจากพรรคไทยรักไทย ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2544
เส้นทางธุรกิจการเมืองของกำนันเซียะที่เริ่มต้นและจบลงที่พรรคประชาธิปัตย์ ประเภทรักเดียวใจเดียวที่พยัคฆ์ประจิม ยึดหลัก “อุดมการณ์มาก่อนธุรกิจ” หลังลงสู่ถนนการเมืองอย่างเต็มตัว
แต่ 2 ผู้ยิ่งใหญ่จาก 2 ทิศ ที่คร่ำหวอดในยุทธจักรนักเลง เมื่อลงสู่สนามการเมือง จำต้องกลายสภาพเป็น “เสือติดจั่น” เพราะยังไม่เข้าใจนิยามคำว่า “ไม่มีมิตรแท้และศัตตรูถาวร” นั่นเอง ยุทธวิธีเปิดแผลเก่านำคดีเข้าสู่กระบวนการพิจารณา ถือกระบวนท่าสุดท้ายที่คู่แข่งทางการเมือง หวังใช้กำจัด “กำนันเป๊าะ-กำนันเซียะ” สุดท้ายก็ได้ผลตามเป้าหมายที่วางไว้เสียด้วย