“สนธิ-สโรชา” ปฏิเสธคดีหมิ่น “เสรีพิศุทธ์” ขณะที่ศาลยังคงพยายามให้โจทก์-จำเลย ทำการไกล่เกลี่ยเพื่อยุติคดี แต่ทนายโจทก์ระบุ โจทก์ไม่ประสงค์ไกล่เกลี่ย ส่วนฝ่ายจำเลยระบุขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการไกล่เกลี่ย
วันนี้ (15 ก.พ.) ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ เวลา 09.30 น. ศาลนัดสอบคำให้การจำเลยในคดีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส จเรตำรวจแห่งชาติ มอบอำนาจให้นายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ ทนายความ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ, น.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์ ผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ และบริษัท รวมสามครีเอชั่น จำกัด ผู้ผลิตรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา สืบเนื่องจากกรณีที่นายสนธิ และ น.ส.สโรชา ผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ หมิ่นประมาทโจทก์ในรายการกล่าวหาว่าทำงานรับใช้พรรคประชาธิปัตย์และการเมืองเพียงอย่างเดียว
หลังศาลออกนั่งบัลลังก์ ศาลได้สอบถามจำเลย โดยจำเลยทั้งสามขอให้การปฏิเสธ ศาลจึงกำหนดวันนัดสืบพยาน ทนายโจทก์ขอสืบพยานทั้งหมด 12 ปาก รวม 3 นัด คือ วันที่ 22, 23 และ 24 พ.ย.49 จำเลยขอสืบพยาน 10 ปาก รวม 2 นัด คือ วันที่ 27 และ 28 พ.ย.49 นอกจากนั้น ทนายฝ่ายจำเลย ได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ศาลยกเว้นการออกหมายขัง ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตตามคำร้องขอ เนื่องจากคดีนี้มีอัตราโทษสูงเพียง 3 ปี จำเลยมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ไม่มีพฤติการณ์ที่จะหลบหนี
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการสอบคำให้การในวันนี้ ศาลพยายามให้โจทก์และจำเลยทำการไกล่เกลี่ยคดีความ โดยทนายโจทก์แถลงต่อศาลว่าเนื่องจากวันนี้โจทก์ไม่ได้มาศาลเพราะติดราชการจึงไม่สามารถทำการไกล่เกลี่ยแทนตัวโจทก์ได้ นอกจากนั้น จากการสอบถามความประสงค์ของโจทก์เมื่อครั้งที่ผ่านมา โจทก์ยืนยันว่าจะไม่ทำการไกล่เกลี่ย และเมื่อศาลสอบถามฝ่ายจำเลยได้รับคำตอบว่าจำเลยไม่มีปัญหา แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขในการไกล่เกลี่ยด้วย
สำหรับคดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 2 พ.ย.47 ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสาม เนื่องจากคดีไม่มีมูล โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นการแสดงความคิดเห็นตามวิสัยของนักวิชาการ ต่อมาโจทก์จึงได้ยื่นอุทธรณ์คดี และศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนแล้วเห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกล่าวถึงข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับตัวโจทก์ในการปฏิบัติหน้าที่และความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ซึ่งหากข้อความบางตอนไม่เป็นจริงย่อมทำให้โจทก์ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง กรณีจึงไม่ใช่เป็นเพียงความเข้าใจหรือความรู้สึกของตัวโจทก์เองว่าถูกดูหมิ่น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องนั้นศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้อง อุทธรณ์โจทก์ฟังขึ้นคดีมีมูล พิพากษากลับให้ศาลชั้นต้นประทับรับฟ้องคดีไว้พิพากษา
โดยโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 14 พ.ค.47 ระบุว่า เมื่อวันที่ 20 ก.พ.47 จำเลยที่ 1-2 ร่วมกันกล่าวในรายการเมืองรายสัปดาห์ ที่ออกอากาศทางโมเดิร์นไนน์ ทีวี สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อสมท พาดพิงหมิ่นประมาทโจทก์ทำนองว่าโจทก์มีความโดดเด่นในการปฏิบัติหน้าที่ในช่วงยุคทองของพรรคประชาธิปัตย์ โดยโจทก์ทำงานรับใช้พรรคประชาธิปัตย์และทำงานด้านการเมืองเพียงอย่างเดียว เช่น การดำเนินคดีฟ้องนายอดิศร เพียงเกษ ส.ส.พรรคความหวังใหม่ นอกจากนี้ โจทก์ยังทำงานให้กับ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ซึ่งทำให้โจทก์มีความเจริญในหน้าที่การงานในช่วงยุคทองของพรรคประชาธิปัตย์ โดยการทำของจำเลยทำให้ผู้ชมรายการเข้าใจผิดว่าโจทก์เป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่ไม่มีระเบียบวินัย ไม่ปฏิบัติงานตามหน้าที่ ซึ่งการกล่าวข้อความอันเป็นเท็จดังกล่าวทำให้โจทก์ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น โจทก์จึงนำคดีมายื่นฟ้องเพื่อให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมาย