xs
xsm
sm
md
lg

ยกฟ้อง 4 ตร.ทีมอุ้ม “ทนายสมชาย” - จำคุก พ.ต.ต.เงิน!

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

ศาลพิพากษาจำคุก 3 ปี “พ.ต.ต.เงิน ทองสุก” อดีต สว.กอ.รมน.ช่วยราชการ ป.โดยระบุมีประจักษ์พยานเห็นเป็นผู้ผลักทนายสมชายขึ้นรถหายไป ส่วนอีก 4 คน ยกฟ้อง เพราะไม่มีใครเห็นรูปพรรณสัณฐาน อีกทั้งหลักฐานสัญญาณโทรศัพท์มือถือไม่สามารถนำมาใช้อ้างในชั้นศาลได้


วันนี้ (12 ม.ค.) เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ห้องพิจารณา 701 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลมีคำพิพากษาคดีอุ้มนายสมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 , นางอังคณา ภรรยาและบุตรทั้งสี่ 4 คนของนายสมชาย ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พ.ต.ต.เงิน ทองสุก อายุ 45 ปี อดีต สว.กอ.รมน.ช่วยราชการกองปราบปราม , พ.ต.ท.สินชัย นิ่มปุญญกำพงษ์ อายุ 38 ปี อดีตพนักงานสอบสวน กก.4 ป., จ.ส.ต.ชัยเวง พาด้วง อายุ 36 ปี อดีต ผบ.หมู่งานสืบสวน แผนก 4 กก.2 บก.ทท., ส.ต.อ.รันดร สิทธิเขต อายุ 34 ปี อดีตเจ้าหน้าที่ธุรการ กก.4 ป. และ พ.ต.ท.ชัดชัย เลี่ยมสงวน อายุ 41 ปี อดีต รอง ผกก.3 ป.เป็นจำเลยที่ 1- 5 ในความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิด และร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด หรือไม่กระทำการใดโดยใช้กำลังประทุษร้าย

ตามฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.2547 สรุปว่า เมื่อวันที่ 12 มี.ค.2547 จำเลยทั้งห้ากับพวก ร่วมกันปล้นทรัพย์ของนายสมชาย ผู้เสียหายซึ่งหายตัวไป และลักทรัพย์เอารถยนต์ หมายเลขทะเบียน ภง 6768-กรุงเทพฯ , นาฬิกาข้อมือยี่ห้อโรเล็กซ์ 1 เรือน , ปากกายี่ห้อ มองบลังค์ 1 ด้าม และโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง รวมราคาทรัพย์ทั้งสิ้น 903,460 บาท โดยพวกจำเลยได้ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้าย ผลักและฉุดกระชากตัวนายสมชายให้เข้าไปในรถยนต์ของจำเลยทั้ง 5 แล้วจับตัวพาไปซึ่งจนถึงขณะนี้ ไม่ทราบว่า นายสมชาย จะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ต่อมาวันที่ 16 มี.ค.2547 พนักงานสอบสวนยึดรถยนต์ของนายสมชาย ผู้เสียหาย ที่ถูกจำเลยทั้ง 5 ร่วมกันปล้นทรัพย์ไปดังกล่าว เป็นของกลาง แล้วเมื่อวันที่ 8 เม.ย.2547 จำเลยที่ 1-4 เข้ามอบตัว และวันที่ 30 เม.ย.2547 จำเลยที่ 5 เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน ในชั้นสอบสวนจำเลยทั้ง 5 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐาน แล้วเห็นว่า โจทก์มีพยานบุคคลเบิกความรวม 43 ปาก เป็นประจักษ์พยาน 7 ปาก และพยานเทคนิค หลักฐานข้อมูลการใช้โทรศัพท์มือถือ และการวิเคราะห์จุดพิกัดการใช้โทรศัพท์ของจำเลยที่ 1-5 ช่วงเวลาเกิดเหตุ แสดงให้เห็นว่า จำเลยทั้งห้าเฝ้าติดตามนายสมชายตั้งแต่ช่วงเช้า วันที่ 12 มี.ค.2547 ตั้งแต่เดินทางออกจากสำนักงานกฎหมายซอยรัชดา 32 - ศาลล้มละลายกลาง - ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ – ทำละหมาดที่มูลนิธิสันติชล – กินข้าวที่ร้านอาหารย่านลาดพร้าว – โรงแรมชาลีน่า รามคำแหง 65 และสิ้นสุดที่หมู่บ้านสวนสน ย่านรามคำแหง ซึ่งหลักฐานข้อมูลการใช้โทรศัพท์สอดคล้องกับคำเบิกความของนายปฐมพงษ์ ลิขิต ทนายความฝึกหัดที่ติดตามนายสมชาย ตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่ 12 มี.ค.2547 แต่ในชั้นพิจารณาจำเลยทั้งห้าได้นำสืบโต้แย้งว่าหลักฐานดังกล่าวได้มาโดยมิชอบและไม่ถูกต้อง โดยในเอกสารมีข้อความระบุว่าใช้ได้เฉพาะการสืบสวนเท่านั้น ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานในศาลได้ ซึ่งศาลจะต้องวินิจฉัยว่าหลักฐานดังกล่าวรับฟังได้หรือไม่ ตาม ป.วิอาญา ม.226 บัญญัติว่า พยานวัตถุ พยานเอกสาร หรือพยานบุคคล ที่ใช้อ้างเป็นพยานหลักฐานได้ต้องเป็นพยานที่ไม่ได้เกิดจากการจูงใจ หรือการให้คำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ หรือหลอกลวง โดยคดีนี้ไม่ปรากฏว่า การได้มาของเอกสารดังกล่าวจากบริษัท เอไอเอส และดิจิตอลโฟน ต้องห้ามตามกฎหมาย แต่เมื่อพิจารณาถึงรายละเอียดและข้อมูลในเอกสารดังกล่าว กลับพบว่า สภาพเอกสารมีลักษณะถ่ายมาจากต้นฉบับมีรอยขีดฆ่าลบ ซึ่งข้อมูลบางตอน โดยลักษณะดังกล่าว ไม่สมกับเป็นข้อมูลที่ได้มาจากบริษัทธุรกิจขนาดใหญ่ ที่พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้แทนสำนักงานกฎหมายของบริษัทมือถือได้เบิกความว่า การบันทึกข้อมูลต่างๆ จะบันทึกด้วยระบบคอมพิวเตอร์ที่ได้มาตรฐานจากยุโรป คงมีเพียง พ.ต.ท.ทินกร เกสรบัว ที่เบิกความเกี่ยวกับการอ่านข้อมูลการใช้ โทรศัพท์ แต่ไม่สามารถตอบคำถามซักค้านทนายจำเลยเกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์ซ้ำซ้อนกันในช่วงเวลาเดียวกันได้
ซึ่งพยานปากนี้ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญการอ่านจุดพิกัดโทรศัพท์ ดังนั้น เมื่อโจทก์ไม่นำพยานผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความสามารถในการอ่านจุดพิกัดมาเบิกความประกอบ พยานหลักฐานดังกล่าวจึงยังไม่มีน้ำหนักที่จะนำมารับฟังได้

สำหรับประจักษ์พยานที่โจทก์ 7 ปากนำสืบนั้น เห็นว่า น.ส.ฉวีวรรณ (ขอสงวนนามสกุล) ประจักษ์พยาน ให้การยืนยันในชั้นสอบสวนถึง 3 ครั้ง และเบิกความในชั้นศาลโดยตลอดว่า ขณะเกิดเหตุเห็นคนร้ายรูปร่างสูงใหญ่ ลักษณะหัวเถิกล้าน สวมเสื้อแจ๊กเก็ตสีดำ เสื้อยืดสีขาว กางเกงสีเข้ม ซึ่งจำเลยที่ 1 มีลักษณะคล้ายกับคนร้ายที่ผลักและดันนายสมชายเข้าไปในรถยนต์ที่พวกจำเลยเตรียมไว้ ในข้อเท็จจริงยังปรากฏว่า เมื่อพยานพบเห็นเหตุการณ์แล้วได้โทรแจ้ง 191 หลังจากนั้น เมื่อมีเจ้าหน้าที่ตำรวจออกสืบสวนหาข่าว พยานจึงแสดงตัวและเข้าให้การกับเจ้าหน้าที่ด้วยตัวเองด้วยความสมัครใจ ซึ่งพยานปากนี้ไม่เคยรู้จักนายสมชาย และจำเลยทั้งห้า ประกอบกับมีเจ้าหน้าที่ 191 เบิกความยืนยันว่า ในวันเกิดเหตุได้รับแจ้งเหตุดังกล่าวจริง จึงน่าเชื่อว่า พยานเบิกความตามที่เห็นเหตุการณ์โดยมิได้ปรักปรำ หรือช่วยเหลือผู้ใด ซึ่งแม้ว่าคำเบิกความชั้นศาลจะมีข้อแตกต่างกับคำให้การชั้นสอบสวนบ้าง แต่ก็เป็นการเบิกความภายหลังเกิดเหตุนานปีเศษแล้ว

ส่วนที่จำเลยที่ 1 อ้างว่า ได้เดินทางไปพบน้องชายที่จังหวัดระยอง เพราะทะเลาะกับภรรยา โดยลืมโทรศัพท์ไว้ที่กองปราบปรามนั้น จำเลยที่ 1 มีเพียงน้องชายมาเบิกความ ซึ่งศาลเห็นว่าเป็นบุคคลใกล้ชิดที่อาจจะเบิกความช่วยเหลือกันได้ คำกล่าวอ้างของจำเลยจึงเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ โดยไม่มีเหตุผล และที่อ้างว่า การสอบสวนมิชอบ เนื่องจากไม่มีการชี้ตัวและสเกตช์ภาพผู้ต้องหา ศาลเห็นว่า เป็นรายละเอียดเพียงเล็กน้อยซึ่งกฎหมายไม่ได้มีข้อบัญญัติไว้ชัดเจนแต่เป็นดุลยพินิจของพนักงานสอบสวนเอง ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นที่ยุติ ว่า จำเลยที่ 1 กับพวกอีก 3-5 คน ได้ร่วมกันข่มขืนใจโดยจับผลักและดันนายสมชายเข้าไปในรถของจำเลยที่ 1 กับพวกที่เตรียมไว้แล้วขับออกไปจากที่เกิดเหตุ เป็นการกระทำผิดตาม ม.309 วรรคแรก แต่ไม่ได้เป็นการกระทำตามความผิด ม.309 วรรคสอง ที่ต้องมีการใช้อาวุธประทุษร้าย การกระทำของจำเลยที่ 1 ยังเป็นการใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตาม ม. 391 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษบทหนักสุด ม.309 วรรคแรก พิพากษาจำคุก 3 ปี ส่วนความผิดฐานปล้นทรัพย์แม้ข้อเท็จจริงได้ว่าจำเลยที่ 1 กับพวกขับรถนายสมชายไปจอดทิ้งไว้ที่สถานนีขนส่งหมอชิต 2 ก็เพื่ออำพรางหลบหลีกการสืบสวนจับกุม ไม่แสดงให้เห็นเจตนาว่า พวกจำเลยประสงค์ต่อทรัพย์ ส่วนทรัพย์สินอื่นก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยที่ 1 กับพวกได้นำทรัพย์สินไปจริงหรือไม่ จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานปล้นทรัพย์ส่วนจำเลยที่ 2-5 แม้จะมีประจักษ์พยานเคยให้การในชั้นสอบสวน และเบิกความในชั้นศาลว่า เห็นกลุ่มคนร้ายลักษณะคล้ายพวกจำเลย แต่คำเบิกความก็ไม่สามารถยืนยันได้อย่างชัดเจน ไม่มีน้ำหนักรับฟังได้ พิพากษายกฟ้อง

ภายหลังญาติ พ.ต.ต.เงิน ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินจังหวัดนครปฐม และสมุดเงินฝากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขา จ.นครปฐม มูลค่ารวม 1.5 ล้านบาท ประกันตัวไประหว่างอุทธรณ์คดี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการฟังคำพิพากษาวันนี้ นอกจากนางอังคณา และบุตรสาว โจทก์ร่วมและญาติของจำเลยทั้งห้าแล้ว ยังมีทนายจากชมรมนักกฏหมายมุสลิม นายจอน อึ๊งภากรณ์ นายสัก กอแสงเรือง นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ กลุ่มเอ็นจีโอทั้งในและต่างประเทศ
รวมทั้งกลุ่มอดีตผู้ต้องหาชาวมุสลิมที่นายสมชาย เคยให้ความช่วยเหลือเข้าร่วมรับฟังคำพิพากษากว่า 400 คน จนแน่นขนัดห้องพิจารณา โดยมีกลุ่มมุสลิมรักความเป็นธรรมได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลแสดงความจริงใจในการติดตามหาตัวนายสมชาย

ตัดสิน 5 ตำรวจกองปราบอุ้ม “ทนายสมชาย” บ่ายวันนี้
นัดพิพากษา 5 ตร.กองปราบอุ้ม “ทนายสมชาย” พรุ่งนี้!
นัดพิพากษาคดี “อุ้มทนายสมชาย” 12 ม.ค.49
“ชิดชัย” ฉุนสื่อหลังถูกจี้คดี “อุ้มสมชาย” ไม่คืบ
เมียทนายสมชาย บุกถามความคืบหน้าคดีต่อ “ชิดชัย” พรุ่งนี้
ซักค้านคดีอุ้มทนายสมชาย เค้นสายลับสัมพันธ์แน่นกับจำเลย
ทนายโจทก์จับผิดพยาน พ.ต.ต.เงินคดีอุ้มทนายสมชาย
ปลัด ยธ.ยันคดี “ทนายสมชาย” คืบหน้า
ทีมอุ้ม “ทนายสมชาย” ยันเป็นแพะ
ยันกลางศาล “ทักษิณ” เมินคดีอุ้มสมชาย
ตำรวจเบิกความมัดทีมอุ้ม “ทนายสมชาย”
ผู้การ พฐ.เบิกความคดีอุ้มทนายสมชาย ชี้ผลตรวจเส้นผม-รอยนิ้วมือแฝง
ตำรวจเบิกความมัด 5 ตำรวจทีมอุ้ม “ทนายสมชาย”
DSI เพิ่งตื่น ตั้งชุดตามหา “ทนายสมชาย”
“สภาทนาย” ข้องใจตำรวจทีมอุ้มทนายสมชาย ได้ดิบได้ดี
ถามหา “สมชาย” เมื่อทีมอุ้มเอี่ยวสี พิสูจน์แพะตัวปลอม?
ศาลห้ามประกัน"รองชัดชัย' คดีอุ้มทนายสมชาย
'อชิรวิทย์' เตรียมยื่นขอประกันตัว'ชัดชัย'อีกรอบ
ฝากขังชัดชัย อุ้มทนายเจไอ ครั้งที่ 2
'บุญฤทธิ์'ปฏิเสธลั่นไม่เคยใช้ให้ใครเรียก'พ.ต.ท.ชัดชัย'เข้าพบ
'ชัดชัย'โวยถูกกลั่นแกล้งเพื่อกลบข่าวแบ่งแยกดินแดนและปล้นปืน
นำ 'ชัดชัย' ขออำนาจศาลฝากขังครั้งที่ 1
ผบช.ภ.4 ใช้ตำแหน่งขอประกันตัวพ.ต.ท.ชัดชัย แต่พงส.ไม่อนุญาต
ห้ามประกันตัวพ.ต.ท.ชัดชัย คดีอุ้มสมชาย ส่งศาลฝากขังพรุ่งนี้
ผบช.ภ. 4 นำตัวพ.ต.ท.ชัดชัย มอบตัวสู้คดีอุ้มทนายเจไอ
รองผกก."ชัดชัย"ชิงมอบตัวสู้คดีอุ้มทนายสมชาย
อนุมัติออกหมายจับ รองผกก."ชัดชัย"เพิ่มคดีอุ้มทนายสมชาย
ทนายสมชาย นีละไพจิตร
เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เข้าคุมตัวพ.ต.ต.เงิน ทองสุก ไปควบคุม หลังมีคำพิพากษา
กำลังโหลดความคิดเห็น