ทนายความเข้าแจ้งความกับตำรวจกองปราบฯ ให้ดำเนินคดีกับบริษัทปล่อยสินเชื่อและให้กู้ยืมเงินสด “อีซี่บาย” ฐานเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เปรียบเป็นบริษัทศรีธนญชัย ชอบเลี่ยงบาลีจนผู้ที่ไม่รู้กฎหมายต้องตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก ในขณะที่ตำรวจระบุเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน เมื่อสอบสวนแล้วอาจจะต้องเรียกกรรมการบริษัทมาสอบสวนดำเนินคดีได้
วันนี้ (21 ต.ค.) เวลา 10.00 น. ที่กองบังคับการกองปราบปราม นายประเวศ ประภานุกูล อยู่บ้านเลขที่ 256/193 หมู่ 4 หมู่บ้านร็อคการ์เด้นโฮม 2 ถนนวัชรพล แขวงคลองถนน เขตสายไหม กทม. อาชีพทนายความ เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.พงษ์ไสว แช่มลำเจียก พนักงานสอบสวน (สบ.2) กลุ่มงานสอบสวน กก.5 ป. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีต่อบริษัท อีซี่บาย จำกัด และกรรมการบริษัททั้ง 6 คน ในข้อหาฐานเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ตามประมวลกฎหมายอาญาและพ.ร.บ.ห้ามเรียกอัตราดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 โดยได้นำเอกสารการขอกู้ของลูกหนี้จำนวน 3 ราย มอบให้กับพนักงานสอบสวนเป็นหลักฐาน
นายประเวศ กล่าวว่า ลูกหนี้ทั้ง 3 รายเป็นผู้ที่รู้จักกับตน และร้องขอให้ช่วยดำเนินการด้านกฎหมายให้หลังถูกบริษัท อีซี่บาย เรียกดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วทำให้ยอดเงินที่ต้องผ่อนจ่ายสูงกว่าเงินต้นจำนวนมาก ทั้งนี้ บริษัทดังกล่าวได้กำหนดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 0.5 ต่อเดือน แต่กำหนดค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินอีกร้อยละ 2.5 ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วทั้งปีจะเท่ากับร้อยละ 36 ซึ่งสูงกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้เพียงร้อยละ 15 ต่อปี
“บริษัทเหล่านี้ใช้วิธีการแบบศรีธนญชัย เลี่ยงบาลี โดยถือเป็นการหลอกลวงประชาชนซึ่งไม่รู้กฎหมาย ทำให้มีผู้หลงเชื่อกู้ยืมเงินกับบริษัทดังกล่าวเป็นจำนวนมาก” นายประเวศกล่าว
นาายประเวศ กล่าวอีกว่า ขอยกตัวอย่างกรณีนางสมจิต (ขอสงวนนามสกุล) ซึ่งตกเป็นลูกหนี้ของบริษัทดังกล่าวได้ใช้บัตรอีซี่บาย ซื้อโทรทัศน์ราคา 19,990 บาท และโทรศัพท์มือถือ 7,824 บาท แต่เนื่องจากตัวนางสมจิตต้องย้ายไปต่างจังหวัด จึงขอกู้สินเชื่อเงินสดเพิ่มเป็นเงิน 29,000 บาท ทางบริษัทแจ้งว่าจะต้องปิดบัญชีผ่อนสินค้าก่อน โดยนำเงินที่ขอกู้ในครั้งหลังไปหัก พร้อมทั้งหักค่าธรรมเนียมอีก 5 เปอร์เซ็นต์ ทำให้นางสมจิตเหลือเงินสดที่กู้ใหม่เพียง 572 บาท แต่กลับต้องผ่อนเป็นงวดรวม 24 งวดๆ ละ 2,078 บาท โดยปัจจุบันนางสมจิตผ่อนไปแล้ว 20 งวด เป็นเงิน 42,409 บาท โดยทุกงวดหากมีการผิดนัดจะต้องเสียเบี้ยปรับในอัตราที่สูง ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นการแสวงหากำไรที่ไม่เป็นธรรม จึงยื่นมือเข้าช่วย
“บริษัทเหล่านี้จะมีวิธีการในการทวงหนี้ที่ไม่เคยให้โอกาสกับลูกหนี้ ตามจิกตามทวงตลอดเวลาจนลูกหนี้ไม่เป็นอันทำงาน จึงอยากบอกประชาชนที่คิดจะกู้อย่าได้หลงเชื่อ” นายประเวศย้ำ
ด้าน พ.ต.ท.พงษ์ไสว กล่าวว่า กรณีดังกล่าวแม้นายประเวศจะไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง แต่พนักงานสอบสวนสามารถรับแจ้งความไว้ได้ เนื่องจากเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน โดยหลังจากสอบปากคำนายประเวศแล้วจะได้เชิญผู้เสียหายมาทำการสอบปากคำ และหากพบว่ามีมูลความผิดจริงก็จะเรียกกรรมการบริษัทดังมาสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 18 ต.ค.ที่ผ่านมา นายประเวศเดินทางไปยื่นฟ้องธนาคารแห่งประเทศไทย กับศาลปกครองให้เพิกถอนประกาศ ธปท.เป็นโมฆะ หลังออกหลักเกณฑ์คุมกำเนิด NON-BANK แต่อนุญาตเรียกดอกเบี้ย-ค่าธรรมเนียมเงินกู้สูง 28% เกิน กฎหมายมาแล้ว
ฟ้องศาลปกครอง เพิกถอนประกาศ ธปท.คุมกำเนิด NON-BANK
วันนี้ (21 ต.ค.) เวลา 10.00 น. ที่กองบังคับการกองปราบปราม นายประเวศ ประภานุกูล อยู่บ้านเลขที่ 256/193 หมู่ 4 หมู่บ้านร็อคการ์เด้นโฮม 2 ถนนวัชรพล แขวงคลองถนน เขตสายไหม กทม. อาชีพทนายความ เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.พงษ์ไสว แช่มลำเจียก พนักงานสอบสวน (สบ.2) กลุ่มงานสอบสวน กก.5 ป. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีต่อบริษัท อีซี่บาย จำกัด และกรรมการบริษัททั้ง 6 คน ในข้อหาฐานเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ตามประมวลกฎหมายอาญาและพ.ร.บ.ห้ามเรียกอัตราดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 โดยได้นำเอกสารการขอกู้ของลูกหนี้จำนวน 3 ราย มอบให้กับพนักงานสอบสวนเป็นหลักฐาน
นายประเวศ กล่าวว่า ลูกหนี้ทั้ง 3 รายเป็นผู้ที่รู้จักกับตน และร้องขอให้ช่วยดำเนินการด้านกฎหมายให้หลังถูกบริษัท อีซี่บาย เรียกดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วทำให้ยอดเงินที่ต้องผ่อนจ่ายสูงกว่าเงินต้นจำนวนมาก ทั้งนี้ บริษัทดังกล่าวได้กำหนดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 0.5 ต่อเดือน แต่กำหนดค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินอีกร้อยละ 2.5 ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วทั้งปีจะเท่ากับร้อยละ 36 ซึ่งสูงกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้เพียงร้อยละ 15 ต่อปี
“บริษัทเหล่านี้ใช้วิธีการแบบศรีธนญชัย เลี่ยงบาลี โดยถือเป็นการหลอกลวงประชาชนซึ่งไม่รู้กฎหมาย ทำให้มีผู้หลงเชื่อกู้ยืมเงินกับบริษัทดังกล่าวเป็นจำนวนมาก” นายประเวศกล่าว
นาายประเวศ กล่าวอีกว่า ขอยกตัวอย่างกรณีนางสมจิต (ขอสงวนนามสกุล) ซึ่งตกเป็นลูกหนี้ของบริษัทดังกล่าวได้ใช้บัตรอีซี่บาย ซื้อโทรทัศน์ราคา 19,990 บาท และโทรศัพท์มือถือ 7,824 บาท แต่เนื่องจากตัวนางสมจิตต้องย้ายไปต่างจังหวัด จึงขอกู้สินเชื่อเงินสดเพิ่มเป็นเงิน 29,000 บาท ทางบริษัทแจ้งว่าจะต้องปิดบัญชีผ่อนสินค้าก่อน โดยนำเงินที่ขอกู้ในครั้งหลังไปหัก พร้อมทั้งหักค่าธรรมเนียมอีก 5 เปอร์เซ็นต์ ทำให้นางสมจิตเหลือเงินสดที่กู้ใหม่เพียง 572 บาท แต่กลับต้องผ่อนเป็นงวดรวม 24 งวดๆ ละ 2,078 บาท โดยปัจจุบันนางสมจิตผ่อนไปแล้ว 20 งวด เป็นเงิน 42,409 บาท โดยทุกงวดหากมีการผิดนัดจะต้องเสียเบี้ยปรับในอัตราที่สูง ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นการแสวงหากำไรที่ไม่เป็นธรรม จึงยื่นมือเข้าช่วย
“บริษัทเหล่านี้จะมีวิธีการในการทวงหนี้ที่ไม่เคยให้โอกาสกับลูกหนี้ ตามจิกตามทวงตลอดเวลาจนลูกหนี้ไม่เป็นอันทำงาน จึงอยากบอกประชาชนที่คิดจะกู้อย่าได้หลงเชื่อ” นายประเวศย้ำ
ด้าน พ.ต.ท.พงษ์ไสว กล่าวว่า กรณีดังกล่าวแม้นายประเวศจะไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง แต่พนักงานสอบสวนสามารถรับแจ้งความไว้ได้ เนื่องจากเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน โดยหลังจากสอบปากคำนายประเวศแล้วจะได้เชิญผู้เสียหายมาทำการสอบปากคำ และหากพบว่ามีมูลความผิดจริงก็จะเรียกกรรมการบริษัทดังมาสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 18 ต.ค.ที่ผ่านมา นายประเวศเดินทางไปยื่นฟ้องธนาคารแห่งประเทศไทย กับศาลปกครองให้เพิกถอนประกาศ ธปท.เป็นโมฆะ หลังออกหลักเกณฑ์คุมกำเนิด NON-BANK แต่อนุญาตเรียกดอกเบี้ย-ค่าธรรมเนียมเงินกู้สูง 28% เกิน กฎหมายมาแล้ว
ฟ้องศาลปกครอง เพิกถอนประกาศ ธปท.คุมกำเนิด NON-BANK