“กำนันเซี้ย” ผู้กว้างขวางแห่งเมืองกาญจน์ ถูกศาลสั่งจำคุกในคดีฮั้วประมูล เส้นทางชีวิตบนถนนสายธุรกิจ ก่อนผันตัวเข้าสู่สนามการเมือง มีที่มาอย่างไร การบุกค้นรัง “กำนันเซี้ย” หวังขจัดคู่แข่งการเมือง หลังเกลี้ยกล่อมไม่เป็นผลจริงหรือ นับจากนี้ต่อไปเส้นทางชีวิตอดีต ส.ส. ผู้นี้จะเป็นอย่างไร หรือจะเป็นเพียงอดีตผู้กว้างขวางแห่งเมืองกาญจน์ เท่านั้น
ประชา โพธิพิพิธ หรือกำนันเซี้ย อดีตผู้สมัคร ส.ส.กาญจนบุรี เขต 5 พรรคประชาธิปัตย์ ผู้กว้างขวางแห่งเมืองกาญจนบุรี ถูกตำรวจบุกค้นบ้านพัก และที่ตั้งเครือข่ายทางธุรกิจ-การเมือง ณ บ้านพักที่ 281 หมู่ 1 ต.ตะคร้ำเอน อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี รวมทั้งสิ้น 7 จุด เมื่อเช้ามืดวันที่ 4 ก.ค.2546 ตามแผนปฏิบัติการ “พิทักษ์ประจิมเพื่อสันติสุข” ภายใต้การนำทีมโดย พล.ต.ต.ฉลอง สนใจ ผช.ผบช.ภ.7 (ตำแหน่งในขณะนั้น) แต่การตรวจค้นในครั้งนั้นไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย
แต่กว่าชีวิตของผู้กว้างแห่งเมืองกาญจน์จะต้องเผชิญมรสุมถึงเพียงนี้ มีที่มาหลัง “เลขาฯจุก” นายสมชาย จิตตหฤษฎ์ เลขานุการส่วนตัว “กำนันเซี้ย” ถูกตำรวจกองปราบฯ รวบตัวพร้อมลูกน้อง ข้อหาทำร้ายร่างกายตำรวจที่ปลอมตัวเป็นตัวแทนบริษัทที่รับเหมาเพื่อไม่ให้ยื่นซองแข่งในการประมูลงาน ของกรมชลประทาน จ.กาญจนบุรี เมื่อ 17 พ.ค.2544 จนตกเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วประเทศ
ขณะที่อีกกระแสกลับมองว่า การเข้าค้นรัง “กำนันเซี้ย” ในครั้งมีหวังดิสเครดิตทางการเมืองและถือเป็นการเลือกปฏิบัติ โดยพยายามโยงไปว่าการฮั้วประมูลเกิดขึ้นได้ทั่วประเทศ แต่ทำไมจึงต้องเจาะจงเฉพาะ “กำนันเซี้ย” แต่ที่หนักไปกว่านั้น มีกระแสข่าวว่าพรรคการเมืองใหญ่ซีกรัฐบาล พยามยามเกลี้ยกล่อมเพื่อดึงตัวไปอยู่ด้วย แต่ไม่เป็นผล
ด้าน พล.ต.ต.ฉลอง หัวหน้าชุดจับกุม ให้เหตุผลยืนยันว่าการเข้าตรวจค้นบ้านกำนันเซี๊ยะว่า คดีนี้ได้ทำอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไม่มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่วนที่ปล่อยเวลาให้เนิ่นนานมาเพราะผู้ต้องหาที่ร่วมกระทำผิดอีก 10 คน ซึ่งถูกศาลตัดสินจำคุกไปแล้วเพิ่งให้การซัดทอดถึง “กำนันเซี้ย” และเมื่อตำรวจได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วพบว่า มีมูลจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานกระทั่งขอหมายค้นในครั้งนี้
จนกระทั่ง 24 ก.ย.2546 ศาลอาญาออกหมายจับ"กำนันเซี๊ยะ" พร้อมนางเขมพร หรือ"เจ้าแม่แดง"ภรรยาพร้อมพวกรวม 4 คน เนื่องจากมีพฤติกรรมเป็นผู้มีอิทธิพลในการฮั้วประมูลหลายครั้ง ในความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ หน่วงเหนี่ยวกักขัง และพระราชบัญญัติว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานราชการ พ.ศ.2542
1 ธ.ค.2547 ปปง.และตำรวจบุกค้น-อายัดทรัพย์จากคดีฮั้วประมูลและบุกรุกที่ดินรัฐ มูลค่า 30 ล้านบาท
ต่อมา“กำนันเซี้ยะ”และ “เจ้าแม่แดง” ได้เดินทางเข้ามอบตัวด้วยตัวเอง และขอประกันตัวในชั้นศาล ซึ่งศาลมีคำสั่งปล่อยตัวชั่วคราว เนื่องจากเห็นว่าไม่มีพฤติการณ์ที่หลบหนี หรือ ข่มขู่-ยุ่งเหยิง กับพยานหลักฐาน
ล่าสุดศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษา ในคดีที่กำนันเซี๊ยะและเจ้าแม่แดงตกเป็นจำเลย โดยตัดสินให้จำคุกกำนันเซี๊ยะ 5 ปี ส่วนเจ้าแม่แดงจำคุก 4 ปี โดยให้เหตุผลว่า จากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบ แม้ว่าพยานแต่ละคนจะเบิกความต่างเรื่องราวต่างสถานที่ แต่เรียบเรียงแล้วเห็นว่ามีความสอดคล้องกัน ไม่มีเหตุที่โจทก์จะกลั่นแกล้งจำเลยกล่าวหาว่าจำเลยทั้ง 4 ร่วมกันปกปิดวิธีการฮั้วประมูล ข่มขู่ทำร้ายร่างกาย ผู้เสียหาย ส่วนที่จำเลยนำสืบว่าถูกกลั่นแกล้งทางการเมืองว่า กำนันเซี๊ยะ เป็นอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์และเป็นคู่แข่งทางการเมืองของพรรคไทยรักไทย เป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีน้ำหนักมาหักล้างพยานโจทก์
แต่คดีนี้คงไม่สิ้นสุดเพียงแค่นี้ เพราะเชื่อแน่ว่าผู้กว้างขวางแห่งเมืองกาญจน์ฯ ต้องยื่นอุทธรณ์คดีอย่างแน่นอน
สำหรับประวัติ "กำนันเซี๊ยะ" บนถนนสายการธุรกิจ-การเมืองถือว่าไม่ธรรมดา เริ่มจากการมีอาชีพทำไร่อ้อยกว่า พันไร่และ เป็นเจ้าของ เขมประชาฟาร์ม เนื้อที่กว่า 2 พันไร่ ที่ต. ช่องด่าน อ.บ่อพลอย กาญจนบุรี
มีชื่อเสียงในยุค พ.ต.อ.ราชศักดิ์ จันทรัตน์ ผกก.ภ.จ.กาญจนบุรี โดยมีบทบาทช่วยทางการ สยบปัญหาไร่อ้อยและปล้นจี้รถ 10 ล้อเผานั่งยาง จากนั้นเข้าไปมีบทบาทเป็นกรรมการในสมาคมชาวไร่อ้อยเขต 7 และเป็นนายกสมาคมชาวไร่อ้อยเขต 7 ในเวลาต่อมา
ก่อนกระโจนเข้าสู่เวทีการเมืองท้องถิ่น ในปี 2520โดยเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 1 ต.ท่าเรือ อ.ท่ามะกา 4 ปีต่อมาได้รับเลือกเป็นกำนัน ต.ท่าเรือพระแท่น ปี2534ได้ เป็นนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลท่าเรือพระแท่น
ปี 2538 ลงสนามการเมืองระดับชาติ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เขต 2 กาญจนบุรี ตามคำชักชวนของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ชนะเลือกตั้งส.ส.เขต 5 ในปี 2544 แต่ถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ “ใบเหลือง” 20 พ.ค.2544 และจัดเลือกตั้งใหม่ แต่แพ้ พล.ต.ศรชัย มนตริวัต ผู้สมัครจากพรรคไทยรักไทย
ชะตาชีวิตผู้กว้างขวางแห่งเมืองกาญจน์ ที่โดดเด่นมาตั้งแต่ในอดีต ที่ผันตัวจากการทำธุรกิจ ลงสู่สนามการเมืองระดับชาติ ถือว่าประสบความสำเร็จมาโดยตลอด แม้จะต้องมาเพลี่ยงพล้ำทางการเมืองเมื่อปี 2544 แต่นั่นเป็นเพราะกระแสการเมืองที่ไทนรักไทย กำลังมาแรง แต่เชื่อแน่ว่าในใจของ"กำนันเซี๊ยะ" ยังไม่คิดทิ้งเวทีการเมือง เพราะสถานภาพทั้งในอดีตและปัจจุบัน เปรียบเสมือนกำลังขี่หลังเสือ แต่คำตอบสุดท้ายคงอยู่ที่ กระบวนการในชั้นศาลที่"กำนันเซี๊ยะ" จะต้องยืนยันความบริสุทธิ์ให้ได้ ดังนั้นคดีนี้จึงต้องสู้กันขั้นฎีกาเลยทีเดียว