ศาลมีคำพิพากษาให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จ่ายเงินให้กับครอบครัว ร.ต.อ.สังกัด สศก. เป็นเงินกว่า 1.6 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ภายใน 30 วัน หลังจากที่ ร.ต.อ.เข้าผ่าตัดฝีคัณฑสูตรที่ รพ.ตำรวจ และแพ้ยาเสียชีวิต ในขณะที่ภรรยา ร.ต.อ.วอน สตช.อย่าอุทธรณ์
วันนี้ (14 ต.ค.) ที่ห้องพิจารณา 604 ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง ศาลมีคำพิพากษาในคดีที่นางวิลาวัลย์ และ ด.ญ.มนพร ทีระฆัง ภรรยาและบุตรของ ร.ต.อ.เลอพงษ์ อดีตรองสารวัตรสืบสวน กองบังคับตำรวจสืบสวนสอบสวนคดีเศรษฐกิจ (สศก.) ที่เสียชีวิตจากการแพ้ยา ร่วมกันเป็นโจทก์ที่ 1-2 ยื่นฟ้อง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ( สตช.) เป็นจำลย ซึ่งกำกับดูแลโรงพยาบาลตำรวจ ในความผิดเรื่องละเมิด เรียกค่าเสียหายจำนวน 14,774,800 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
ตามฟ้องโจทก์ระบุว่า ระหว่างวันที่ 7- 12 สิงหคม 45 ผู้ตายเข้ารักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ ด้วยโรคฝีที่ทวารหนัก โดยจำเลยเป็นผู้จัดหาและรับผิดชอบดูแลแพทย์พยาบาล ซึ่งวันที่ 8 สิงหาคม พ.ต.อ.นพ.ณรงค์ชัย เจียรสกุล นายแพทย์งานศัลยกรรม เป็นผู้ผ่าตัดฝี ต่อมาผู้ตายมีอาการไข้ขึ้นสู มีผื่นแดงทั่วทั้งตัว เมื่อโจทก์ที่ 1 ขอให้เรียกแพทย์มารักษากลับไม่มีแพทย์มาตรวจดูอาการ กระทั่งวันที่ 9 สิงหาคม
แพทย์เวรเข้ามาดูอาการ และวันที่ 10 -11 สิงหาคม พ.ต.อ.นพ. ณรงค์ชัย แพทย์เจ้าของไข้ จึงบอกว่าผู้ตายมีอาการแพ้ยา ซึ่งแพทย์เวรนำผู้ตายเข้ารักษาตัวฟอกไตในห้องไอซียู กระทั่งเสียชีวิตลงด้วยสาเหตุตับและไตวาย และระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลว เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ซึ่งโจทก์ทั้งสองยืนยันว่าการเสียชีวิตเกิดตากความประมาทเลินเล่อในการตรวจรักษาของแพทย์เจ้าของไข้ แพทย์เวร รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของจำเลย
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ –จำเลย แล้วคดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำการโดยประมาทเลินเล่อหรือไม่ คดีนี้โจทก์มี ร.ต.อ.รุจิรา จงศุภวิศาลกิจ พยาบาลเวร เบิกความว่า เมื่อพบว่าผู้ตายมีไข้ขึ้นสูง พยานแจ้งให้ น.พ.วิฑูรย์ บุญถนอมวงศ์ แพทย์เวร ทราบซึ่งแพทย์สั่งฉีดยาแก้แพ้ให้ ขณะที่ น.พ.วิฑูรย์ พยานจำเลย เบิกความว่า ก่อนสั่งฉีดยา ได้สอบถามพยาบาลเวรว่าผู้ตายมีอาการแพ้ยาหรือไม่ พร้อมให้นักศึกษาแพทย์ตรวจดูอาการและให้รายงานผล
จากข้อเท็จจริงดังกล่าวศาลเห็นว่า เหตุที่ ร.ต.อ.รุจิรา พยาบาลเวร รายงานอาการผู้ตายให้แพทย์เวรทราบ เพราะคิดว่าน่าจะมีอาการแพ้ยาจึงรายงานเพื่อให้แพทย์มาตรวจดูอาการด้วยตนเอง แต่ที่ น.พ.วิฑูรย์ อ้างว่า ขณะนั้นกำลังผ่าตัดคนไข้รายอื่นจึงสั่งฉีดยาแก้แพ้นั้น ศาลเห็นว่าคำเบิกความของ น.พ.วิฑูรย์ เป็นเพียงคำกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีใบบันทึกรายงานการผ่าตัดที่ระบุช่วงเวลา มาเป็นหลักฐานแสดงในชั้นพิจารณา อีกทั้งยังพบว่ายาแก้แพ้ที่แพทย์เวรสั่งฉีดนั้นเป็นยาแก้แพ้ทั่วไป ซึ่งหลังจากผู้ตายมีอาการผิดปกติแต่แพทย์เจ้าของไข้และแพทย์เวรไม่ได้ใช้ความระมัดระวังอย่างเพียงพอตามวิสัยของแพทย์ที่จะรักษาคนไข้ จึงเห็นว่าการกระทำของแพทย์ของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์จริง
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยต่อมา คือจำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายให้กับโจทก์ทั้งสองเป็นจำนวนเท่าใด ศาลเห็นว่า ตามฟ้องโจทก์ที่ 1 เรียกค่าเสียหายเงินบำเหน็จของผู้ตายจำนวน 7,260,670 บาท เป็นเพียงความคาดหวังของโจทก์ทั้งสองเอง ว่าหากยังมีชีวิตอยู่ผู้ตายจะได้รับราชการจนถึงเกษียณอายุ ซึ่งกรณีถือว่าเป็นความไม่แน่นอน สำหรับค่าการศึกษาที่โจทก์ที่ 2 ร้องขอจำนวน 5.8 ล้านบาท เห็นว่า ก่อนเสียชีวิตโจทก์ที่ 2 ก็ได้การเลี้ยงดูจากผู้ตายที่ให้ได้รับการศึกษาแล้ว ดังนั้นศาลจึงไม่เห็นควรกำหนดค่าเสียหายดังกล่าว พิพากษาให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทน ค่าขาดไร้อุปการะแก่โจทก์ทั้งสอง เป็นเงินจำนวน 1,662,130 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 12 ส.ค.45 ที่ผู้ตายเสียชีวิต และให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสองจำนวน 10,000 บาทด้วย
ภายหลังนางวิลาวัลย์ กล่าวพร้อมน้ำตาว่า รู้สึกดีใจที่ศาลพิพากษาให้ชนะคดี ซึ่งไม่ติดใจที่จะยื่นอุทธรณ์อีกโดยหวังว่า สตช.
จะให้ความเห็นใจไม่ยื่นอุทธรณ์เช่นกัน สำหรับเงินจำนวน 1.6 ล้านเศษนั้น ส่วนหนึ่งจะนำไปเป็นทุนการศึกษาของบุตรสาววัย 8 ขวบ
พร้อมทั้งจะนำไปใช้หนี้สินที่กู้ยืมมาเพื่อต่อสู้คดี อีกส่วนหนึ่งก็จะนำไปช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำละเมิดของแพทย์และโรงพยาบาลอื่นต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การฟังคำพิพากษาวันนี้นางดลพร ล้อเสริมวัฒนา ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ ได้เดินทางมาพร้อมกับกลุ่มผู้เสียหายอื่นเพื่อร่วมให้กำลังใจนางวิลาวัลย์ด้วย ขณะเดียวกันนางวราภรณ์ รัตนแก้ว ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการรักษาของแพทย์โรงพยาบาลจังหวัดระนอง ได้ร้องเรียนผ่านสื่อมวลชนอีกด้วยกรณีที่สามีเสียชีวิตจากการรักษาอาการหอบหืด ซึ่งนางวราภรณ์เตรียมจะยื่นฟ้องคดีต่อไป
ศาลพิพากษา “ร.ต.อ.” ผ่าฝี 5 วันแพ้ยาตาย! พรุ่งนี้




วันนี้ (14 ต.ค.) ที่ห้องพิจารณา 604 ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง ศาลมีคำพิพากษาในคดีที่นางวิลาวัลย์ และ ด.ญ.มนพร ทีระฆัง ภรรยาและบุตรของ ร.ต.อ.เลอพงษ์ อดีตรองสารวัตรสืบสวน กองบังคับตำรวจสืบสวนสอบสวนคดีเศรษฐกิจ (สศก.) ที่เสียชีวิตจากการแพ้ยา ร่วมกันเป็นโจทก์ที่ 1-2 ยื่นฟ้อง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ( สตช.) เป็นจำลย ซึ่งกำกับดูแลโรงพยาบาลตำรวจ ในความผิดเรื่องละเมิด เรียกค่าเสียหายจำนวน 14,774,800 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
ตามฟ้องโจทก์ระบุว่า ระหว่างวันที่ 7- 12 สิงหคม 45 ผู้ตายเข้ารักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ ด้วยโรคฝีที่ทวารหนัก โดยจำเลยเป็นผู้จัดหาและรับผิดชอบดูแลแพทย์พยาบาล ซึ่งวันที่ 8 สิงหาคม พ.ต.อ.นพ.ณรงค์ชัย เจียรสกุล นายแพทย์งานศัลยกรรม เป็นผู้ผ่าตัดฝี ต่อมาผู้ตายมีอาการไข้ขึ้นสู มีผื่นแดงทั่วทั้งตัว เมื่อโจทก์ที่ 1 ขอให้เรียกแพทย์มารักษากลับไม่มีแพทย์มาตรวจดูอาการ กระทั่งวันที่ 9 สิงหาคม
แพทย์เวรเข้ามาดูอาการ และวันที่ 10 -11 สิงหาคม พ.ต.อ.นพ. ณรงค์ชัย แพทย์เจ้าของไข้ จึงบอกว่าผู้ตายมีอาการแพ้ยา ซึ่งแพทย์เวรนำผู้ตายเข้ารักษาตัวฟอกไตในห้องไอซียู กระทั่งเสียชีวิตลงด้วยสาเหตุตับและไตวาย และระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลว เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ซึ่งโจทก์ทั้งสองยืนยันว่าการเสียชีวิตเกิดตากความประมาทเลินเล่อในการตรวจรักษาของแพทย์เจ้าของไข้ แพทย์เวร รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของจำเลย
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ –จำเลย แล้วคดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำการโดยประมาทเลินเล่อหรือไม่ คดีนี้โจทก์มี ร.ต.อ.รุจิรา จงศุภวิศาลกิจ พยาบาลเวร เบิกความว่า เมื่อพบว่าผู้ตายมีไข้ขึ้นสูง พยานแจ้งให้ น.พ.วิฑูรย์ บุญถนอมวงศ์ แพทย์เวร ทราบซึ่งแพทย์สั่งฉีดยาแก้แพ้ให้ ขณะที่ น.พ.วิฑูรย์ พยานจำเลย เบิกความว่า ก่อนสั่งฉีดยา ได้สอบถามพยาบาลเวรว่าผู้ตายมีอาการแพ้ยาหรือไม่ พร้อมให้นักศึกษาแพทย์ตรวจดูอาการและให้รายงานผล
จากข้อเท็จจริงดังกล่าวศาลเห็นว่า เหตุที่ ร.ต.อ.รุจิรา พยาบาลเวร รายงานอาการผู้ตายให้แพทย์เวรทราบ เพราะคิดว่าน่าจะมีอาการแพ้ยาจึงรายงานเพื่อให้แพทย์มาตรวจดูอาการด้วยตนเอง แต่ที่ น.พ.วิฑูรย์ อ้างว่า ขณะนั้นกำลังผ่าตัดคนไข้รายอื่นจึงสั่งฉีดยาแก้แพ้นั้น ศาลเห็นว่าคำเบิกความของ น.พ.วิฑูรย์ เป็นเพียงคำกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีใบบันทึกรายงานการผ่าตัดที่ระบุช่วงเวลา มาเป็นหลักฐานแสดงในชั้นพิจารณา อีกทั้งยังพบว่ายาแก้แพ้ที่แพทย์เวรสั่งฉีดนั้นเป็นยาแก้แพ้ทั่วไป ซึ่งหลังจากผู้ตายมีอาการผิดปกติแต่แพทย์เจ้าของไข้และแพทย์เวรไม่ได้ใช้ความระมัดระวังอย่างเพียงพอตามวิสัยของแพทย์ที่จะรักษาคนไข้ จึงเห็นว่าการกระทำของแพทย์ของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์จริง
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยต่อมา คือจำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายให้กับโจทก์ทั้งสองเป็นจำนวนเท่าใด ศาลเห็นว่า ตามฟ้องโจทก์ที่ 1 เรียกค่าเสียหายเงินบำเหน็จของผู้ตายจำนวน 7,260,670 บาท เป็นเพียงความคาดหวังของโจทก์ทั้งสองเอง ว่าหากยังมีชีวิตอยู่ผู้ตายจะได้รับราชการจนถึงเกษียณอายุ ซึ่งกรณีถือว่าเป็นความไม่แน่นอน สำหรับค่าการศึกษาที่โจทก์ที่ 2 ร้องขอจำนวน 5.8 ล้านบาท เห็นว่า ก่อนเสียชีวิตโจทก์ที่ 2 ก็ได้การเลี้ยงดูจากผู้ตายที่ให้ได้รับการศึกษาแล้ว ดังนั้นศาลจึงไม่เห็นควรกำหนดค่าเสียหายดังกล่าว พิพากษาให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทน ค่าขาดไร้อุปการะแก่โจทก์ทั้งสอง เป็นเงินจำนวน 1,662,130 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 12 ส.ค.45 ที่ผู้ตายเสียชีวิต และให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสองจำนวน 10,000 บาทด้วย
ภายหลังนางวิลาวัลย์ กล่าวพร้อมน้ำตาว่า รู้สึกดีใจที่ศาลพิพากษาให้ชนะคดี ซึ่งไม่ติดใจที่จะยื่นอุทธรณ์อีกโดยหวังว่า สตช.
จะให้ความเห็นใจไม่ยื่นอุทธรณ์เช่นกัน สำหรับเงินจำนวน 1.6 ล้านเศษนั้น ส่วนหนึ่งจะนำไปเป็นทุนการศึกษาของบุตรสาววัย 8 ขวบ
พร้อมทั้งจะนำไปใช้หนี้สินที่กู้ยืมมาเพื่อต่อสู้คดี อีกส่วนหนึ่งก็จะนำไปช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำละเมิดของแพทย์และโรงพยาบาลอื่นต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การฟังคำพิพากษาวันนี้นางดลพร ล้อเสริมวัฒนา ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ ได้เดินทางมาพร้อมกับกลุ่มผู้เสียหายอื่นเพื่อร่วมให้กำลังใจนางวิลาวัลย์ด้วย ขณะเดียวกันนางวราภรณ์ รัตนแก้ว ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการรักษาของแพทย์โรงพยาบาลจังหวัดระนอง ได้ร้องเรียนผ่านสื่อมวลชนอีกด้วยกรณีที่สามีเสียชีวิตจากการรักษาอาการหอบหืด ซึ่งนางวราภรณ์เตรียมจะยื่นฟ้องคดีต่อไป
ศาลพิพากษา “ร.ต.อ.” ผ่าฝี 5 วันแพ้ยาตาย! พรุ่งนี้