“กำนันเป๊าะ” แพ้ยกสอง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ในคดีจ้างวานฆ่า “กำนันยูร” จำคุก 30 ปี 4 เดือน ขณะที่ ส.ท.เหี่ยว พิพากษาจำคุก 25 ปี อ้างพยานโจทก์ให้การสอดคล้องกัน พบจำเลยทำความผิดจริง
วันนี้ ( 12 ต.ค.) เวลา 10.00 น. ที่ห้องพิจารณา 701 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุก นายสมชาย คุณปลื้ม หรือกำนันเป๊าะ อายุ 67 ปี นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลแสนสุข จ.ชลบุรี และ นายภาสกร หอมหวล หรือ สท.เหี่ยว อายุ 38 ปี สมาชิกสภาเทศบาลเมืองแสนสุข จำเลยที่1- 2 ในความผิดฐานร่วมกันใช้ จ้างวานให้ผู้อื่น ฆ่านายประยูร สิทธิโชติ หรือกำนันยูร อดีตกำนันตำบลท่าเสม็ด จ.ชลบุรี เสียชีวิตโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน เป็นเวลาคนละ 25 ปี
ตามฟ้องโจทก์สรุปว่า เมื่อเดือนตุลาคม– 9 มีนาคม 2546 ต่อเนื่องกัน จำเลยที่ 1-2 ร่วมกัน ใช้จ้างวานให้ นายธนาวุฒิ หรือติ เกิดเกียรติกุล กับพวก ฆ่านายประยูร โดยเจตนาไตร่ตรองไว้ก่อน ในราคา 3 ล้านบาทโดยนายธนาวุฒิกับพวก ตกลงรับจะไปฆ่านายประยูรและได้วางแผนดักฆ่านายประยูรหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ ซึ่งนายประยูรได้ถูกคนร้ายที่ยังไม่ปรากฏชัดว่าเป็นใคร ยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2546 ต่อมาวันที่ 17 และ 24 เมษายน 2546 จำเลยที่ 1 -2 ได้เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน ซึ่งทั้งสองให้การปฏิเสธ เหตุเกิดที่ ต.แสนสุข - เสม็ด อ.เมืองชลบุรี
คดีนี้ศาลอาญามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2547 ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 25ปีโดยให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษคดีแดงที่ 843/48 ของศาลจังหวัดชลบุรี คดีทุจริตจัดซื้อที่ดินสาธารณะ ต.เขาไม้แก้ว จ.ชลบุรี เพื่อสร้างบ่อกำจัดขยะอีก 5ปี 4 เดือนรวมจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 30 ปี 4 เดือน ต่อมาจำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง อ้างว่าไม่ได้กระทำผิดตามฟ้องและไม่เคยมีเหตุโกรธเคืองกับผู้ตายมาก่อน อีกทั้งกลุ่มมือปืนซึ่งเป็นพยานโจทก์ ยังถูกตำรวจกองปราบปรามซ้อมเพื่อให้การปรับปรำจำเลยที่ 1 เนื่องจาก พล.ต.ต.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รอง ผบช.ก. ต้องการสร้างชื่อเสียง เพื่อให้ได้รับแต่งตั้งเป็น ผบช.ก.
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2546 นายประยูร ถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงจนเสียชีวิตในงานแต่งงานที่ร้านไพรเวชค้าวัสดุ คดีจึงมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า คำเบิกความของ นายธนาวุฒิ นายพสิษฐ์ หรือคิด แตงตุ้มรุ่งโรจน์ นายธนาพล หรือเจี๊ยบ บุญศรีอุทัย และนายสมาน หรือเต้ย นุชพันธ์ ที่สืบพยานไว้ล่วงหน้าก่อนฟ้อง จะนำมารับฟังได้หรือไม่ ซึ่งจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า การสืบพยานดังกล่าวถือว่าการสืบพยานลับหลังเนื่องจากขณะสืบพยาน จำเลยทั้งสองไม่ได้เข้ามาร่วมฟังด้วย อีกทั้งเมื่อมีการฟ้องคดีแล้ว โจทก์ก็ไม่ได้นำพยานทั้งสี่ มาเบิกความต่อหน้าจำเลยทั้งสองอีก ซึ่งเป็นกรณีต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 และ 237
ศาลเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้น แจ้งกำหนดนัดสืบพยานล่วงหน้าก่อนฟ้องให้ทราบแล้ว แต่จำเลยทั้งสองไม่ได้สนใจมาฟังการพิจารณาคดี เพียงตั้งทนายเข้ามาซักค้านแทนซึ่งกรณีดังกล่าวถือว่าชอบด้วยกฎหมายมาตรา 237 แล้ว และกฎหมายก็ไม่ได้มีข้อบังคับให้โจทก์ต้องนำพยานทั้ง 4 ปากมาเบิกความชั้นพิจารณาอีก อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ ศาลเห็นว่าพยานโจทก์ทั้งสามปาก คือ นายธนาวุฒิ นายพสิษฐ์ นายธนาพล เบิกความสอดคล้องต้องกันในสาระสำคัญตรงกันในเรื่องวันเวลา สถานที่ และบุคคลซึ่งเกี่ยวพันและอยู่แวดล้อมจำเลยที่ 1 เริ่มตั้งแต่เหตุการณ์ที่ นายธนาวุฒิและนายธนาพลได้รับการติดต่อจากจำเลยที่ 1 ให้ช่วยฆ่าผู้ตายเนื่องจากจำเลยที่ 1รู้สึกไม่พอใจเรื่องที่ พ.ต.ท.ไชยันต์ วิชัยดิษฐ์ ลูกน้องคนสนิทถูกนายเลิศชาย บุตรชายของนายประยุทธ น้องชายผู้ตาย ที่ถูก พ.ต.ท.ไชยันต์อุ้มฆ่ามายิงแก้แค้น ซึ่งจำเลยที่ 1 เกรงว่าผู้ตายกับนายเลิศชายจะจ้างคนมายิง จึงว่าจ้างนายธนาวุฒิ กับพวกเป็นเงิน 3 ล้านบาท โดยนายธนาวุฒิกับพวกวางแผนฆ่าผู้ตายครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2545 ในงานพิธีเปิดอู่ซ่อมรถของนายพสิษฐ์ ครั้งที่ 2 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2545 ขณะผู้ตายกับคณะเดินทางไปทอดกฐินที่จ.สระบุรี ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2545 ในงานปีใหม่ที่ต.เสม็ด ซึ่งนายธนาวุฒิ ติดต่อให้ จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหรา และ ส.อ.สมชาย บุนนาค เป็นผู้ลงมือ ครั้งที่ 4 วันที่ 16 มกราคม 2546 ที่มหาวิทยาลัยบูรพา แต่การวางแผนฆ่าทั้งสี่ครั้งไม่สำเร็จเนื่องจากผู้ตายระมัดระวังตัว กระทั่งเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2546 นายธนาวุฒิกับพวกได้เตรียมวางแผนฆ่าผู้ตายอีกครั้งในงานแต่งงานที่ร้านไพรเวชค้าวัสดุ แต่ปรากฏว่า จ.ส.อ.ประดิษฐ์ คนใกล้ชิดจำเลยที่ 1 แจ้งว่า จำเลยที่ 1 ระงับแผนฆ่าเนื่องจากมีข่าวรั่วไหล ระหว่างการเตรียมการดังกล่าวนายธนาวุฒิได้รายงานความเคลื่อนไหวให้จำเลยที่ 1 ทราบและได้รับเงินจำนวนหลายแสนบาทมาเป็นค่าใช้จ่าย
และตามบันทึกคำให้การของนายธนาวุฒิและนายพสิษฐ์ ปรากฎว่าเคยให้การไว้หลายครั้งด้วยความสมัครใจและยืนยันมาโดยตลอดว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้ใช้จ้างวานฆ่าผู้ตาย ซึ่งรายละเอียดส่วนใหญ่ตรงกับคำเบิกความในชั้นศาล ประกอบกับพยานทั้งสองยังได้นำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ ซึ่งรายละเอียดดังกล่าวเป็นความลับรู้กันเฉพาะพยานทั้งสองเท่านั้น อีกทั้งโจทก์ยังได้นำ จ.ส.อ.ปัญญา และ ส.อ.สมชาย มาเบิกความสนับสนุน ทำให้คำเบิกความของพยานทั้งสองมีน้ำหนักมากขึ้น ส่วนที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า นายธนาวุฒิและนายพสิษฐ์ เคยมีสาเหตุโกรธเคือง เรื่องที่เคยถูกต่อว่าและใช้อาวุธปืนตบหน้า ห้ามไม่ให้เข้าบ้านพัก ศาลเห็นว่า จำเลยที่ 1 เคยมีบุญคุณให้ความช่วยเหลือพยานทั้งสองมาก่อน และจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีชื่อเสียงในจ.ชลบุรี มีบริวารมากมาย อีกทั้งบุตรชายเป็นถึง สส. ดังนั้นจึงไม่มีเหตุที่พยานจะให้การเท็จโดยเอาชีวิตของตนเองและครอบครัวเข้าเสี่ยงภัย เพื่อปรักปรำจำเลยให้ต้องรับโทษ
รวมทั้งคดีนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ตั้งนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่และพนักงานสอบสวนร่วมทำคดีมากถึง 60 คน ซึ่งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีเจ้าหน้าที่คนใดมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน การสืบสวนสอบสวนตั้งแต่ผู้ตายเสียชีวิตจนถึงการจับกุมนายธนาวุฒิกับพวกใช้เวลาเพียง 2 เดือน โดยคดีนี้มีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวันเวลา สถานที่ และบุคคลที่มีตัวตนเกี่ยวข้องจำนวนมาก จึงเป็นเรื่องยากที่พนักงานสอบสวนจะแต่งเรื่องให้สอดคล้องต้องกันได้
ส่วนที่ นายธนาวุฒิ เบิกความว่าจำเลยที่ 2 สั่งให้ไปยิงผู้ตายที่ร้านสเต็กครูต้อ จ.สระบุรี ตามคำสั่งของจำเลยที่ 1ซึ่งขัดแย้งกับกับให้การในชั้นสอบสวนที่ว่า ไม่ได้เดินทางไปยิงผู้ตายนั้น ก็ไม่ทำให้น้ำหนักคำเบิกความของพยานโจทก์ในส่วนนี้ลดน้อยลงว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้สั่งให้ฆ่าผู้ตาย
สำหรับมูลเหตุจูงใจที่จำเลยทั้งสองจ้างวานฆ่าผู้ตาย นอกจากพยานที่สืบล่วงหน้าก่อนฟ้องทั้งสี่ปากแล้ว โจทก์มี นางภุมรินทร์ สิทธิโชติ ภรรยาผู้ตาย เบิกความถึงสาเหตุที่ผู้ตายต้องระมัดระวังตัวอยู่บ้านตลอดเวลา เนื่องจากทราบข่าวว่าจำเลยที่ 1 สั่งฆ่าผู้ตาย ซึ่งหากจำเลยที่ 1 และผู้ตายไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองมาก่อนก็ไม่มีเหตุที่ผู้ตายจะเล่าเรื่องให้ภรรยาฟัง ทั้ง พ.ต.อ.วินัย ทองสอง รอง ผบก.ป.เบิกความว่า พ.ต.ท.ไชยันต์ เป็นคนสนิทที่ดูแลธุรกิจผิดกฎหมายให้กับจำเลยที่ 1 และเมื่อนายเลิศชาย ญาติผู้ตายถูกจับกุมคดีฆ่า พ.ต.ท.ไชยันต์ กรณีมีเหตุเพียงพอที่จำเลยที่ 1 จะโกรธแค้นและใช้จ้างวานให้ฆ่าผู้ตาย ซึ่งในการสอบสวนก็ไม่ปรากฏว่าผู้ตายมีเหตุขัดแย้งกับผู้อื่นมาก่อนนอกจากจำเลยที่ 1
พยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองทำผิดตามฟ้อง ส่วนที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นลงโทษเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ศาลเห็นว่าจำเลยมีความผิดตามป.วิอาญา ม.289 และ 84 ที่ต้องโทษหนึ่งในสามของโทษประหารชีวิต ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 25 ปีนั้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว อุทธรณ์จำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการฟังคำพิพากษาวันนี้ นายสนธยา นายวิทยา และนายอิทธิพล สส.ไทยรักไทย บุตรชายกำนันเป๊าะ พร้อมด้วยญาติสนิทและคนใกล้ชิดกว่า 30 คน เดินทางมาให้กำลังใจ ซึ่งตลอดเวลากว่า 2 ชั่วโมงที่ยืนฟังคำพิพากษา กำนันเป๊าะและส.ท.เหี่ยว มีสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงอาการเมื่อยล้า แต่อย่างใด ภายหลังฟังคำพิพากษาเจ้าหน้าราชทัณฑ์กว่า 10 คนได้นำตัวทั้งสองไปควบคุมที่ห้องควบคุมใต้ถุนศาล
ต่อมา น.ส.จิราภรณ์ บุตรสาว ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นพันธบัตรมูลค่า 10 ล้านบาท เงินสด 2 ล้านบาท โฉนดที่ดิน ต.บางพระ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เนื้อที่ 40 ไร่ราคา 9 ล้านบาทเศษ สุมดเงินฝากธนาคารกรุงเทพ สาขาหนองมน จำนวน 9.9 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 32 ล้านบาทเศษ ขอประกันตัว กำนันเป๊าะ และ ส.ท.เหี่ยว ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล
ศาลอุทธรณ์ชี้ชะตา “กำนันเป๊าะ” คดีจ้างฆ่า “กำนันยูร” วันนี้
ทนาย กำนันเป๊าะ มั่นใจชนะคดีชั้นอุทธรณ์
กำนันเป๊าะและสมุน ได้รับประกันตัวรายละ 10 ล้านบาท
กำนันเป๊าะอ่วม ศาลสั่งรวมคดีเขาไม้แก้ว จำคุก 30 ปี 4 เดือน
พิพากษา"กำนันเป๊าะ"จ้างฆ่า"กำนันยูร"วันนี้
ศาลอุทธรณ์สั่งจำคุก"กำนันเป๊าะ" 5 ปี 4 เดือน คดีทุจริตเขาไม้แก้ว
พิพากษา"กำนันเป๊าะ"คดีเขาไม้แก้ว
นัดชี้ คดีกำนันเป๊าะ 21 มิ.ย.
"กำนันเป๊าะ" ขึ้นศาลเบิกความพยานจำเลยปากแรกปฏิเสธสั่งฆ่า"กำนันยูร"
อัยการเลื่อนสืบพยานคดีกำนันเป๊าะ
ผู้ใหญ่อ้นแฉปมขัดแย้งกลางศาล มัดกำนันเป๊าะจ้างฆ่ากำนันยูร
พยานกลับคำคดี"กำนันเป๊าะ"จ้างฆ่า"กำนันยูร"
'กำนันเป๊าะ'ร่วมฟังเบิกความพยานโจทก์คดีจ้างฆ่ากำนันยูร



วันนี้ ( 12 ต.ค.) เวลา 10.00 น. ที่ห้องพิจารณา 701 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุก นายสมชาย คุณปลื้ม หรือกำนันเป๊าะ อายุ 67 ปี นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลแสนสุข จ.ชลบุรี และ นายภาสกร หอมหวล หรือ สท.เหี่ยว อายุ 38 ปี สมาชิกสภาเทศบาลเมืองแสนสุข จำเลยที่1- 2 ในความผิดฐานร่วมกันใช้ จ้างวานให้ผู้อื่น ฆ่านายประยูร สิทธิโชติ หรือกำนันยูร อดีตกำนันตำบลท่าเสม็ด จ.ชลบุรี เสียชีวิตโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน เป็นเวลาคนละ 25 ปี
ตามฟ้องโจทก์สรุปว่า เมื่อเดือนตุลาคม– 9 มีนาคม 2546 ต่อเนื่องกัน จำเลยที่ 1-2 ร่วมกัน ใช้จ้างวานให้ นายธนาวุฒิ หรือติ เกิดเกียรติกุล กับพวก ฆ่านายประยูร โดยเจตนาไตร่ตรองไว้ก่อน ในราคา 3 ล้านบาทโดยนายธนาวุฒิกับพวก ตกลงรับจะไปฆ่านายประยูรและได้วางแผนดักฆ่านายประยูรหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ ซึ่งนายประยูรได้ถูกคนร้ายที่ยังไม่ปรากฏชัดว่าเป็นใคร ยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2546 ต่อมาวันที่ 17 และ 24 เมษายน 2546 จำเลยที่ 1 -2 ได้เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน ซึ่งทั้งสองให้การปฏิเสธ เหตุเกิดที่ ต.แสนสุข - เสม็ด อ.เมืองชลบุรี
คดีนี้ศาลอาญามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2547 ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 25ปีโดยให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษคดีแดงที่ 843/48 ของศาลจังหวัดชลบุรี คดีทุจริตจัดซื้อที่ดินสาธารณะ ต.เขาไม้แก้ว จ.ชลบุรี เพื่อสร้างบ่อกำจัดขยะอีก 5ปี 4 เดือนรวมจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 30 ปี 4 เดือน ต่อมาจำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง อ้างว่าไม่ได้กระทำผิดตามฟ้องและไม่เคยมีเหตุโกรธเคืองกับผู้ตายมาก่อน อีกทั้งกลุ่มมือปืนซึ่งเป็นพยานโจทก์ ยังถูกตำรวจกองปราบปรามซ้อมเพื่อให้การปรับปรำจำเลยที่ 1 เนื่องจาก พล.ต.ต.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รอง ผบช.ก. ต้องการสร้างชื่อเสียง เพื่อให้ได้รับแต่งตั้งเป็น ผบช.ก.
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2546 นายประยูร ถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงจนเสียชีวิตในงานแต่งงานที่ร้านไพรเวชค้าวัสดุ คดีจึงมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า คำเบิกความของ นายธนาวุฒิ นายพสิษฐ์ หรือคิด แตงตุ้มรุ่งโรจน์ นายธนาพล หรือเจี๊ยบ บุญศรีอุทัย และนายสมาน หรือเต้ย นุชพันธ์ ที่สืบพยานไว้ล่วงหน้าก่อนฟ้อง จะนำมารับฟังได้หรือไม่ ซึ่งจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า การสืบพยานดังกล่าวถือว่าการสืบพยานลับหลังเนื่องจากขณะสืบพยาน จำเลยทั้งสองไม่ได้เข้ามาร่วมฟังด้วย อีกทั้งเมื่อมีการฟ้องคดีแล้ว โจทก์ก็ไม่ได้นำพยานทั้งสี่ มาเบิกความต่อหน้าจำเลยทั้งสองอีก ซึ่งเป็นกรณีต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 และ 237
ศาลเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้น แจ้งกำหนดนัดสืบพยานล่วงหน้าก่อนฟ้องให้ทราบแล้ว แต่จำเลยทั้งสองไม่ได้สนใจมาฟังการพิจารณาคดี เพียงตั้งทนายเข้ามาซักค้านแทนซึ่งกรณีดังกล่าวถือว่าชอบด้วยกฎหมายมาตรา 237 แล้ว และกฎหมายก็ไม่ได้มีข้อบังคับให้โจทก์ต้องนำพยานทั้ง 4 ปากมาเบิกความชั้นพิจารณาอีก อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ ศาลเห็นว่าพยานโจทก์ทั้งสามปาก คือ นายธนาวุฒิ นายพสิษฐ์ นายธนาพล เบิกความสอดคล้องต้องกันในสาระสำคัญตรงกันในเรื่องวันเวลา สถานที่ และบุคคลซึ่งเกี่ยวพันและอยู่แวดล้อมจำเลยที่ 1 เริ่มตั้งแต่เหตุการณ์ที่ นายธนาวุฒิและนายธนาพลได้รับการติดต่อจากจำเลยที่ 1 ให้ช่วยฆ่าผู้ตายเนื่องจากจำเลยที่ 1รู้สึกไม่พอใจเรื่องที่ พ.ต.ท.ไชยันต์ วิชัยดิษฐ์ ลูกน้องคนสนิทถูกนายเลิศชาย บุตรชายของนายประยุทธ น้องชายผู้ตาย ที่ถูก พ.ต.ท.ไชยันต์อุ้มฆ่ามายิงแก้แค้น ซึ่งจำเลยที่ 1 เกรงว่าผู้ตายกับนายเลิศชายจะจ้างคนมายิง จึงว่าจ้างนายธนาวุฒิ กับพวกเป็นเงิน 3 ล้านบาท โดยนายธนาวุฒิกับพวกวางแผนฆ่าผู้ตายครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2545 ในงานพิธีเปิดอู่ซ่อมรถของนายพสิษฐ์ ครั้งที่ 2 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2545 ขณะผู้ตายกับคณะเดินทางไปทอดกฐินที่จ.สระบุรี ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2545 ในงานปีใหม่ที่ต.เสม็ด ซึ่งนายธนาวุฒิ ติดต่อให้ จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหรา และ ส.อ.สมชาย บุนนาค เป็นผู้ลงมือ ครั้งที่ 4 วันที่ 16 มกราคม 2546 ที่มหาวิทยาลัยบูรพา แต่การวางแผนฆ่าทั้งสี่ครั้งไม่สำเร็จเนื่องจากผู้ตายระมัดระวังตัว กระทั่งเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2546 นายธนาวุฒิกับพวกได้เตรียมวางแผนฆ่าผู้ตายอีกครั้งในงานแต่งงานที่ร้านไพรเวชค้าวัสดุ แต่ปรากฏว่า จ.ส.อ.ประดิษฐ์ คนใกล้ชิดจำเลยที่ 1 แจ้งว่า จำเลยที่ 1 ระงับแผนฆ่าเนื่องจากมีข่าวรั่วไหล ระหว่างการเตรียมการดังกล่าวนายธนาวุฒิได้รายงานความเคลื่อนไหวให้จำเลยที่ 1 ทราบและได้รับเงินจำนวนหลายแสนบาทมาเป็นค่าใช้จ่าย
และตามบันทึกคำให้การของนายธนาวุฒิและนายพสิษฐ์ ปรากฎว่าเคยให้การไว้หลายครั้งด้วยความสมัครใจและยืนยันมาโดยตลอดว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้ใช้จ้างวานฆ่าผู้ตาย ซึ่งรายละเอียดส่วนใหญ่ตรงกับคำเบิกความในชั้นศาล ประกอบกับพยานทั้งสองยังได้นำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ ซึ่งรายละเอียดดังกล่าวเป็นความลับรู้กันเฉพาะพยานทั้งสองเท่านั้น อีกทั้งโจทก์ยังได้นำ จ.ส.อ.ปัญญา และ ส.อ.สมชาย มาเบิกความสนับสนุน ทำให้คำเบิกความของพยานทั้งสองมีน้ำหนักมากขึ้น ส่วนที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า นายธนาวุฒิและนายพสิษฐ์ เคยมีสาเหตุโกรธเคือง เรื่องที่เคยถูกต่อว่าและใช้อาวุธปืนตบหน้า ห้ามไม่ให้เข้าบ้านพัก ศาลเห็นว่า จำเลยที่ 1 เคยมีบุญคุณให้ความช่วยเหลือพยานทั้งสองมาก่อน และจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีชื่อเสียงในจ.ชลบุรี มีบริวารมากมาย อีกทั้งบุตรชายเป็นถึง สส. ดังนั้นจึงไม่มีเหตุที่พยานจะให้การเท็จโดยเอาชีวิตของตนเองและครอบครัวเข้าเสี่ยงภัย เพื่อปรักปรำจำเลยให้ต้องรับโทษ
รวมทั้งคดีนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ตั้งนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่และพนักงานสอบสวนร่วมทำคดีมากถึง 60 คน ซึ่งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีเจ้าหน้าที่คนใดมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน การสืบสวนสอบสวนตั้งแต่ผู้ตายเสียชีวิตจนถึงการจับกุมนายธนาวุฒิกับพวกใช้เวลาเพียง 2 เดือน โดยคดีนี้มีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวันเวลา สถานที่ และบุคคลที่มีตัวตนเกี่ยวข้องจำนวนมาก จึงเป็นเรื่องยากที่พนักงานสอบสวนจะแต่งเรื่องให้สอดคล้องต้องกันได้
ส่วนที่ นายธนาวุฒิ เบิกความว่าจำเลยที่ 2 สั่งให้ไปยิงผู้ตายที่ร้านสเต็กครูต้อ จ.สระบุรี ตามคำสั่งของจำเลยที่ 1ซึ่งขัดแย้งกับกับให้การในชั้นสอบสวนที่ว่า ไม่ได้เดินทางไปยิงผู้ตายนั้น ก็ไม่ทำให้น้ำหนักคำเบิกความของพยานโจทก์ในส่วนนี้ลดน้อยลงว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้สั่งให้ฆ่าผู้ตาย
สำหรับมูลเหตุจูงใจที่จำเลยทั้งสองจ้างวานฆ่าผู้ตาย นอกจากพยานที่สืบล่วงหน้าก่อนฟ้องทั้งสี่ปากแล้ว โจทก์มี นางภุมรินทร์ สิทธิโชติ ภรรยาผู้ตาย เบิกความถึงสาเหตุที่ผู้ตายต้องระมัดระวังตัวอยู่บ้านตลอดเวลา เนื่องจากทราบข่าวว่าจำเลยที่ 1 สั่งฆ่าผู้ตาย ซึ่งหากจำเลยที่ 1 และผู้ตายไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองมาก่อนก็ไม่มีเหตุที่ผู้ตายจะเล่าเรื่องให้ภรรยาฟัง ทั้ง พ.ต.อ.วินัย ทองสอง รอง ผบก.ป.เบิกความว่า พ.ต.ท.ไชยันต์ เป็นคนสนิทที่ดูแลธุรกิจผิดกฎหมายให้กับจำเลยที่ 1 และเมื่อนายเลิศชาย ญาติผู้ตายถูกจับกุมคดีฆ่า พ.ต.ท.ไชยันต์ กรณีมีเหตุเพียงพอที่จำเลยที่ 1 จะโกรธแค้นและใช้จ้างวานให้ฆ่าผู้ตาย ซึ่งในการสอบสวนก็ไม่ปรากฏว่าผู้ตายมีเหตุขัดแย้งกับผู้อื่นมาก่อนนอกจากจำเลยที่ 1
พยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองทำผิดตามฟ้อง ส่วนที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นลงโทษเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ศาลเห็นว่าจำเลยมีความผิดตามป.วิอาญา ม.289 และ 84 ที่ต้องโทษหนึ่งในสามของโทษประหารชีวิต ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 25 ปีนั้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว อุทธรณ์จำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการฟังคำพิพากษาวันนี้ นายสนธยา นายวิทยา และนายอิทธิพล สส.ไทยรักไทย บุตรชายกำนันเป๊าะ พร้อมด้วยญาติสนิทและคนใกล้ชิดกว่า 30 คน เดินทางมาให้กำลังใจ ซึ่งตลอดเวลากว่า 2 ชั่วโมงที่ยืนฟังคำพิพากษา กำนันเป๊าะและส.ท.เหี่ยว มีสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงอาการเมื่อยล้า แต่อย่างใด ภายหลังฟังคำพิพากษาเจ้าหน้าราชทัณฑ์กว่า 10 คนได้นำตัวทั้งสองไปควบคุมที่ห้องควบคุมใต้ถุนศาล
ต่อมา น.ส.จิราภรณ์ บุตรสาว ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นพันธบัตรมูลค่า 10 ล้านบาท เงินสด 2 ล้านบาท โฉนดที่ดิน ต.บางพระ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เนื้อที่ 40 ไร่ราคา 9 ล้านบาทเศษ สุมดเงินฝากธนาคารกรุงเทพ สาขาหนองมน จำนวน 9.9 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 32 ล้านบาทเศษ ขอประกันตัว กำนันเป๊าะ และ ส.ท.เหี่ยว ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล
ศาลอุทธรณ์ชี้ชะตา “กำนันเป๊าะ” คดีจ้างฆ่า “กำนันยูร” วันนี้
ทนาย กำนันเป๊าะ มั่นใจชนะคดีชั้นอุทธรณ์
กำนันเป๊าะและสมุน ได้รับประกันตัวรายละ 10 ล้านบาท
กำนันเป๊าะอ่วม ศาลสั่งรวมคดีเขาไม้แก้ว จำคุก 30 ปี 4 เดือน
พิพากษา"กำนันเป๊าะ"จ้างฆ่า"กำนันยูร"วันนี้
ศาลอุทธรณ์สั่งจำคุก"กำนันเป๊าะ" 5 ปี 4 เดือน คดีทุจริตเขาไม้แก้ว
พิพากษา"กำนันเป๊าะ"คดีเขาไม้แก้ว
นัดชี้ คดีกำนันเป๊าะ 21 มิ.ย.
"กำนันเป๊าะ" ขึ้นศาลเบิกความพยานจำเลยปากแรกปฏิเสธสั่งฆ่า"กำนันยูร"
อัยการเลื่อนสืบพยานคดีกำนันเป๊าะ
ผู้ใหญ่อ้นแฉปมขัดแย้งกลางศาล มัดกำนันเป๊าะจ้างฆ่ากำนันยูร
พยานกลับคำคดี"กำนันเป๊าะ"จ้างฆ่า"กำนันยูร"
'กำนันเป๊าะ'ร่วมฟังเบิกความพยานโจทก์คดีจ้างฆ่ากำนันยูร