พี่สาวร้องน้องชาย “ว่าที่นักเรียนการบิน” ถูกอันธพาลประจำร้านอาหารรุมยำอาการโคม่า สลบเหมือนคาร้าน สาเหตุแค่หรี่ไฟในร้านเล่น แพทย์ชี้ เหลือโอกาสรอดไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ ระบุต้องการให้เป็นอุทาหรณ์กับครอบครัวอื่น และให้ตำรวจกระชากคอคนร้ายมาลงโทษให้ได้
วันนี้ (10 ต.ค.) เมื่อเวลา 15.30 น. ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากนางจิรัฐิติกาล หวังรวยนาม อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 63/587 หมู่ 7 เคหะธานี 4 ถนนสุขาภิบาล 3 แขวงและเขตสะพานสูง กทม. ซึ่งอยู่ระหว่างรอศึกษาปริญญาโทเกี่ยวกับกระดูกหลังการตายที่โรงพยาบาลศิริราช ว่า นายกฤษดา สีแดง อายุ 24 ปี น้องชายถูกทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัส อาการโคม่า โดยพักรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียู ชั้น 4 โรงพยาบาลเวชธานี ถนนลาดพร้าว เมื่อไปถึงพบนางจิรัฐิติกาล ญาติๆ และเพื่อนร่วมงานคนเจ็บนั่งเฝ้าที่หน้าห้อง
เบื้องต้น นายปัญจะ ทัดภู่ อายุ 32 ปี หัวหน้างานบริษัท มีเดียออฟมีเดียส์ จำกัด ซึ่งเป็นหัวหน้าผู้บาดเจ็บ เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 22.00 น.ของวันที่ 8 ต.ค.ที่ผ่านมา ตนพร้อมกับคนเจ็บ แฟนคนเจ็บ และลูกน้องอีกคนที่บริษัทฯ ได้ไปนั่งดื่มที่ร้าน “ชายคาพักกาย” ที่หน้าปากซอยลาดพร้าว 83 จนกระทั่งช่วงเวลาร้านใกล้ปิด ทางร้านจะเปิดไฟให้เพื่อเตรียมจะเช็กบิล แต่คนเจ็บซึ่งนั่งอยู่ใกล้สวิตช์ไฟได้เข้าไปหรี่ไฟเล่น ซึ่งไม่ได้สร้างความเดือดร้อนอะไรให้ลูกค้าในร้าน จากนั้นมีพนักงานในร้านคนหนึ่งเดินขึ้นมาเตือน โดยใช้วาจาไม่สุภาพในทำนอง “เฮ้ย มึงพูดไม่รู้เรื่องเหรอ” จากนั้นคนเจ็บก็หยุดเล่นทันที
นายปัญจะ กล่าวต่อว่า เมื่อเช็กบิลเสร็จได้เดินลงลงมาจากชั้น 2 ของร้าน โดยระหว่างทาง แฟนของคนเจ็บได้ยินวิทยุสื่อสารของพนักงานในร้านดังขึ้นว่า “ไอ้เสื้อดำมันเดินลงไปแล้ว” เมื่อถึงหน้าร้านก็พบชายฉกรรจ์ประมาณ 10 คน ซึ่งน่าจะเป็นพนักงานของร้านเข้ามาพยายามจะทำร้ายคนเจ็บ โดยทั้งหมดสวมเสื้อแจ็กเกตสีดำ ปักอักษรหลังเสื้อว่า “POLICE” โดยมีบางคนบางสวมชุดลำลอง จากนั้นทั้งหมดกรูกันเข้ามาล้อมและพยายามจะเข้ามาทำร้าย โดยจำหน้าได้ว่าคนร้ายเป็นคนคนเดียวกับคนที่ขึ้นไปเตือนเรื่องหรี่ไฟ และเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อชายคนดังกล่าวเดินตรงเข้ามาตบหน้าคนเจ็บ 1 ครั้ง ชกหน้าอีก 1 ครั้ง จากนั้นได้ช่วยกันกระชากคนเจ็บออกไปนอกร้าน โดยลากไปยังลานจอดรถ ซึ่งตนได้พยายามเข้าขวางพวกที่เหลือไว้ ระหว่างนั้นเองเห็นคนเจ็บพยายามจะวิ่งหนี แต่ชายฉกรรจ์ทั้งหมดวิ่งตามไปเตะเข้าลำตัว 2-3 ครั้ง ต่อมาเห็นชายฉกรรจ์รูปร่างสันทัดตัดผมสั้น สวมเสื้อยืดสีขาว กระโดดแตะเข้าที่ปากจนคนเจ็บล้มลงหัวฟาดฟื้นสลบเหมือด ตนเห็นดังนั้นได้พยายามเข้าไปห้าม และกันไม่ให้พวกที่เหลือเข้าไปทำร้ายคนเจ็บ จากนั้นช่วยกันพยายามปลุกให้ตื่นและพาไปส่งบ้าน โดยให้แฟนคนเจ็บคอยดูแลอยู่จนกระทั่งเวลาประมาณ 05.00 น. แฟนคนเจ็บจึงโทรศัทพ์มาบอกว่าอยู่โรงพยาบาล จึงรีบเดินทางมาดูอาการดังกล่าว
ด้าน นางจิรัฐิติกาล เปิดเผยว่า เมื่อประมาณตี 3 วันที่ 9 แฟนน้องชายโทรศัพท์มาบอกว่าให้มาดูอาการน้องชาย เนื่องจากมีอาการชักและเกร็งจึงรีบมาดู และพบว่ามีอาการดังกล่าวจริง จึงตรวจดูที่ม่านตา พบว่าม่านตาตก มีอาการทางสมอง จึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาล และเมื่อมาถึง แพทย์ระบุว่าต้องนำเข้าห้องผ่าตัดทันที เนื่องจากหากช้ากว่านี้ 5 นาที คนเจ็บจะเสียชีวิตแน่นอน และหลังผ่าตัดแล้ว ยังมีอาการเลือดออกในสมอง และเลือดคั่ง อาการยังโคม่าอยู่ จนกระทั่งขณะนี้แพทย์ระบุว่าคนเจ็บไม่รับรู้อะไรแล้ว พร้อมแนะนำให้ถอดเครื่องช่วยหายใจออก
“ดิฉันอยากจะสู้ ถึงแม้โอกาสรอดของน้องชายจะไม่มีก็ตาม และได้ปรึกษากับแพทย์รุ่นพี่ที่โรงพยาบาลนพรัตน์ ว่าจะนำน้องชายไปผ่าตัดสมองอีกครั้ง ถึงแม้โอกาสรอดจะมีไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ก็ตาม” นายจิรัฐิติกาล กล่าว
นายจิรัฐิติกาล กล่าวต่อว่า ที่ต้องร้องเรียนเนื่องจากร้านดังกล่าวมีการเลี้ยงอันธพาลไว้ ตนรับประกันได้ว่าน้องชายไม่เคยไปมีเรื่องกับใคร หลังเรียนจบได้ปีกว่าได้ทำงานที่บริษัท มีเดียฯ และระหว่างนี้ได้ไปสอบเป็นนักบินของการบินพลเรือน ซึ่งสามารถสอบติดและกำลังจะมีอนาคต อีกทั้งน้องชายยังได้พูดคุยกับแม่ไว้ว่าจะช่วยกันซื้อบ้านใหม่ให้แม่อยู่ แต่เด็กดีๆ คนหนึ่งต้องมาตายไป เพราะแค่ไปหรี่ไฟของร้านเล่นเท่านั้น ตนอยากให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ของลูกหลานคนอื่นที่จะเข้าไปร้านประเภทดังกล่าว อยากให้ครอบครัวตนเป็นครอบครัวสุดท้ายที่จะเจอเรื่องแบบนี้
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผกก.สน.โชคชัย เจ้าของพื้นที่ตั้งร้านดังกล่าว โดย พ.ต.อ.ปิยะกล่าวว่า หลังจากได้รับแจ้งความแล้วได้ให้ทางพนักงานสอบสวนทำการสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้องในที่เกิดเหตุทั้งหมด โดยขณะนี้ได้สอบปากคำเพื่อนคนเจ็บทั้ง 3 คนไปหมดแล้ว และได้สอบแพทย์ที่ดูแลอาการคนเจ็บแล้วเช่นกัน โดยทราบว่าโอกาสรอดของคนเจ็บเหลือน้อยแล้ว ส่วนการจับกุมคนร้ายนั้นต้องรอสอบปากคำพยานแวดล้อมในที่เกิดเหตุ และติดต่อให้เจ้าของร้านนนำประวัติพนักงานมาตรวจสอบก่อน จากนั้นจะขออนุมัติหมายจับ เนื่องจากไม่ใช่เหตุทำความผิดซึ่งหน้า ในข้อหากระทำการโดยประมาท ทำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายบาดเจ็บสาหัส แต่หากผู้บาดเจ็บเสียชีวิตจะแจ้งข้อหากระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิตอีกข้อหา
“คดีนี้ ผู้เสียหายน่าจะมาแจ้งความกับตำรวจในคืนวันเกิดเหตุเลย ไม่น่าจะปล่อยให้เรื่องเลยข้ามมาถึงตอนนี้ เพราะคนร้ายอาจจะหลบหนีไปหมดแล้วก็เป็นได้” พ.ต.อ.ปิยะกล่าว


วันนี้ (10 ต.ค.) เมื่อเวลา 15.30 น. ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากนางจิรัฐิติกาล หวังรวยนาม อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 63/587 หมู่ 7 เคหะธานี 4 ถนนสุขาภิบาล 3 แขวงและเขตสะพานสูง กทม. ซึ่งอยู่ระหว่างรอศึกษาปริญญาโทเกี่ยวกับกระดูกหลังการตายที่โรงพยาบาลศิริราช ว่า นายกฤษดา สีแดง อายุ 24 ปี น้องชายถูกทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัส อาการโคม่า โดยพักรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียู ชั้น 4 โรงพยาบาลเวชธานี ถนนลาดพร้าว เมื่อไปถึงพบนางจิรัฐิติกาล ญาติๆ และเพื่อนร่วมงานคนเจ็บนั่งเฝ้าที่หน้าห้อง
เบื้องต้น นายปัญจะ ทัดภู่ อายุ 32 ปี หัวหน้างานบริษัท มีเดียออฟมีเดียส์ จำกัด ซึ่งเป็นหัวหน้าผู้บาดเจ็บ เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 22.00 น.ของวันที่ 8 ต.ค.ที่ผ่านมา ตนพร้อมกับคนเจ็บ แฟนคนเจ็บ และลูกน้องอีกคนที่บริษัทฯ ได้ไปนั่งดื่มที่ร้าน “ชายคาพักกาย” ที่หน้าปากซอยลาดพร้าว 83 จนกระทั่งช่วงเวลาร้านใกล้ปิด ทางร้านจะเปิดไฟให้เพื่อเตรียมจะเช็กบิล แต่คนเจ็บซึ่งนั่งอยู่ใกล้สวิตช์ไฟได้เข้าไปหรี่ไฟเล่น ซึ่งไม่ได้สร้างความเดือดร้อนอะไรให้ลูกค้าในร้าน จากนั้นมีพนักงานในร้านคนหนึ่งเดินขึ้นมาเตือน โดยใช้วาจาไม่สุภาพในทำนอง “เฮ้ย มึงพูดไม่รู้เรื่องเหรอ” จากนั้นคนเจ็บก็หยุดเล่นทันที
นายปัญจะ กล่าวต่อว่า เมื่อเช็กบิลเสร็จได้เดินลงลงมาจากชั้น 2 ของร้าน โดยระหว่างทาง แฟนของคนเจ็บได้ยินวิทยุสื่อสารของพนักงานในร้านดังขึ้นว่า “ไอ้เสื้อดำมันเดินลงไปแล้ว” เมื่อถึงหน้าร้านก็พบชายฉกรรจ์ประมาณ 10 คน ซึ่งน่าจะเป็นพนักงานของร้านเข้ามาพยายามจะทำร้ายคนเจ็บ โดยทั้งหมดสวมเสื้อแจ็กเกตสีดำ ปักอักษรหลังเสื้อว่า “POLICE” โดยมีบางคนบางสวมชุดลำลอง จากนั้นทั้งหมดกรูกันเข้ามาล้อมและพยายามจะเข้ามาทำร้าย โดยจำหน้าได้ว่าคนร้ายเป็นคนคนเดียวกับคนที่ขึ้นไปเตือนเรื่องหรี่ไฟ และเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อชายคนดังกล่าวเดินตรงเข้ามาตบหน้าคนเจ็บ 1 ครั้ง ชกหน้าอีก 1 ครั้ง จากนั้นได้ช่วยกันกระชากคนเจ็บออกไปนอกร้าน โดยลากไปยังลานจอดรถ ซึ่งตนได้พยายามเข้าขวางพวกที่เหลือไว้ ระหว่างนั้นเองเห็นคนเจ็บพยายามจะวิ่งหนี แต่ชายฉกรรจ์ทั้งหมดวิ่งตามไปเตะเข้าลำตัว 2-3 ครั้ง ต่อมาเห็นชายฉกรรจ์รูปร่างสันทัดตัดผมสั้น สวมเสื้อยืดสีขาว กระโดดแตะเข้าที่ปากจนคนเจ็บล้มลงหัวฟาดฟื้นสลบเหมือด ตนเห็นดังนั้นได้พยายามเข้าไปห้าม และกันไม่ให้พวกที่เหลือเข้าไปทำร้ายคนเจ็บ จากนั้นช่วยกันพยายามปลุกให้ตื่นและพาไปส่งบ้าน โดยให้แฟนคนเจ็บคอยดูแลอยู่จนกระทั่งเวลาประมาณ 05.00 น. แฟนคนเจ็บจึงโทรศัทพ์มาบอกว่าอยู่โรงพยาบาล จึงรีบเดินทางมาดูอาการดังกล่าว
ด้าน นางจิรัฐิติกาล เปิดเผยว่า เมื่อประมาณตี 3 วันที่ 9 แฟนน้องชายโทรศัพท์มาบอกว่าให้มาดูอาการน้องชาย เนื่องจากมีอาการชักและเกร็งจึงรีบมาดู และพบว่ามีอาการดังกล่าวจริง จึงตรวจดูที่ม่านตา พบว่าม่านตาตก มีอาการทางสมอง จึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาล และเมื่อมาถึง แพทย์ระบุว่าต้องนำเข้าห้องผ่าตัดทันที เนื่องจากหากช้ากว่านี้ 5 นาที คนเจ็บจะเสียชีวิตแน่นอน และหลังผ่าตัดแล้ว ยังมีอาการเลือดออกในสมอง และเลือดคั่ง อาการยังโคม่าอยู่ จนกระทั่งขณะนี้แพทย์ระบุว่าคนเจ็บไม่รับรู้อะไรแล้ว พร้อมแนะนำให้ถอดเครื่องช่วยหายใจออก
“ดิฉันอยากจะสู้ ถึงแม้โอกาสรอดของน้องชายจะไม่มีก็ตาม และได้ปรึกษากับแพทย์รุ่นพี่ที่โรงพยาบาลนพรัตน์ ว่าจะนำน้องชายไปผ่าตัดสมองอีกครั้ง ถึงแม้โอกาสรอดจะมีไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ก็ตาม” นายจิรัฐิติกาล กล่าว
นายจิรัฐิติกาล กล่าวต่อว่า ที่ต้องร้องเรียนเนื่องจากร้านดังกล่าวมีการเลี้ยงอันธพาลไว้ ตนรับประกันได้ว่าน้องชายไม่เคยไปมีเรื่องกับใคร หลังเรียนจบได้ปีกว่าได้ทำงานที่บริษัท มีเดียฯ และระหว่างนี้ได้ไปสอบเป็นนักบินของการบินพลเรือน ซึ่งสามารถสอบติดและกำลังจะมีอนาคต อีกทั้งน้องชายยังได้พูดคุยกับแม่ไว้ว่าจะช่วยกันซื้อบ้านใหม่ให้แม่อยู่ แต่เด็กดีๆ คนหนึ่งต้องมาตายไป เพราะแค่ไปหรี่ไฟของร้านเล่นเท่านั้น ตนอยากให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ของลูกหลานคนอื่นที่จะเข้าไปร้านประเภทดังกล่าว อยากให้ครอบครัวตนเป็นครอบครัวสุดท้ายที่จะเจอเรื่องแบบนี้
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผกก.สน.โชคชัย เจ้าของพื้นที่ตั้งร้านดังกล่าว โดย พ.ต.อ.ปิยะกล่าวว่า หลังจากได้รับแจ้งความแล้วได้ให้ทางพนักงานสอบสวนทำการสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้องในที่เกิดเหตุทั้งหมด โดยขณะนี้ได้สอบปากคำเพื่อนคนเจ็บทั้ง 3 คนไปหมดแล้ว และได้สอบแพทย์ที่ดูแลอาการคนเจ็บแล้วเช่นกัน โดยทราบว่าโอกาสรอดของคนเจ็บเหลือน้อยแล้ว ส่วนการจับกุมคนร้ายนั้นต้องรอสอบปากคำพยานแวดล้อมในที่เกิดเหตุ และติดต่อให้เจ้าของร้านนนำประวัติพนักงานมาตรวจสอบก่อน จากนั้นจะขออนุมัติหมายจับ เนื่องจากไม่ใช่เหตุทำความผิดซึ่งหน้า ในข้อหากระทำการโดยประมาท ทำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายบาดเจ็บสาหัส แต่หากผู้บาดเจ็บเสียชีวิตจะแจ้งข้อหากระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิตอีกข้อหา
“คดีนี้ ผู้เสียหายน่าจะมาแจ้งความกับตำรวจในคืนวันเกิดเหตุเลย ไม่น่าจะปล่อยให้เรื่องเลยข้ามมาถึงตอนนี้ เพราะคนร้ายอาจจะหลบหนีไปหมดแล้วก็เป็นได้” พ.ต.อ.ปิยะกล่าว