คำฟ้อง
ศาล อาญากรุงเทพใต้
วันที่ ๒๖ เดือน กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๘
ความ อาญา
ระหว่าง นายสนธิ ลิ้มทองกุล โจทก์
นายเรวัติ ฉ่ำเฉลิม ที่ ๑, นายธงทอง จันทรางศุ ที่ ๒, นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ที่ ๓ , บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ที่ ๔ จำเลย
ข้อหาหรือฐานความผิด ร่วมกันหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา
จำนวนทุนทรัพย์ - บาท - สตางค์
ข้าพเจ้า นายสนธิ ลิ้มทองกุล โจทก์
เชื้อชาติ ไทย สัญชาติ ไทย อาชีพ นักหนังสือพิมพ์
เกิดวันที่ – เดือน – พ.ศ. - อายุ - ปี อยู่บ้านเลขที่ ๒
หมู่ที่ -- ถนน พระอาทิตย์ ตรอก/ซอย -
ใกล้เคียง - ตำบล/แขวง ชนะสงคราม
อำเภอ/เขต พระนคร จังหวัด กรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ --
ขอยื่นฟ้อง นายเรวัติ ฉ่ำเฉลิม ที่ ๑, นายธงทอง จันทรางศุ ที่ ๒, นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ที่ ๓ , บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ที่ ๔ จำเลย
เชื้อชาติ (๑-๓) ไทย (๔) สัญชาติ (๑-๔) ไทย อาชีพ (๑-๔) ประกอบธุรกิจ
อยู่บ้านเลขที่ (๑-๔) ๖๓/๑ หมู่ที่ -- ถนน (๑-๔) พระราม๙
ตรอก/ซอย -- ใกล้เคียง -- ตำบล/แขวง (๑-๔) ห้วยขวาง
อำเภอ/เขต (๑-๔) ห้วยขวาง จังหวัด (๑-๔) กรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ --
มีข้อความที่จะกล่าวต่อไปหนี้
ข้อ ๑. จำเลยที่ ๑ มีฐานะเป็นประธานกรรมการบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)จำเลยที่ ๒ มีฐานะเป็นกรรมการบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) จำเลยที่ ๓ มีฐานะเป็นกรรมการและเป็นผู้อำนวยการบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) จำเลยที่ ๔ มีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมหาชน จดทะเบียนใช้ชื่อว่า บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) กรรมการผู้มีอำนาจจำนวน ๑๒ คน รวมทั้งจำเลยที่ ๑ , ๒ และ ๓ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ ๔ โดยมีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการสื่อสารมวลชนและดำเนินธุรกิจอันเกี่ยวกับสื่อสารมวลชนทุกประเภท ในการกระทำการแทนจำเลยที่ ๔ ให้จำเลยที่ ๓ ลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัท หรือกรรมการอื่นสองคนลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญของบริษัทมีอำนาจกระทำการแทน รายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือรับรองบริษัทเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๑.
ข้อ ๒. เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๔๘ จนถึงปัจจุบันนี้ เวลากลางวันและกลางคืน
ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสี่ได้บังอาจร่วมกันกระทำโดยผิดต่อกฎหมายอาญา โดยจำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันใส่ความโจทก์ด้วยการแถลงข่าวต่อหน้าสื่อมวลชน ซึ่งมีทั้งนักข่าว นักหนังสือพิมพ์ ผู้สื่อข่าวโทรทัศน์หลายช่องและต่อประชาชนทั่วไป ณ ที่ทำการของจำเลยที่ ๔ โดยจำเลยที่ ๓ ได้นั่งร่วมแถลงข่าวกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และจำเลยที่ ๔ ในที่ประชุม และนอกจากการแถลงข่าวดังกล่าวแล้วจำเลยทั้งสี่ยังจัดให้มีการเผยแพร่โฆษณาถ้อยคำของจำเลยทั้งสี่ทางอินเตอร์เน็ท ซึ่งสามารถเผยแพร่ไปได้ทั่วราชอาณาจักรและทั่วโลกใน WWW.MCOT.NET (MCOT.NET) กรณี MODERNINE ยกเลิกรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถเข้าชม โดยมีเจตนาให้มีการเผยแพร่โฆษณาข่าวของจำเลยทั้งสี่ให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบคำแถลงข่าวและคำประกาศของจำเลยทั้งสี่ อันเป็นการกระทำด้วยการโฆษณาด้วยภาพ ภาพยนตร์ แผ่นเสียง สิ่งบันทึกเสียง บันทึกภาพหรือบันทึกอักษร กระทำโดยการกระจายเสียง หรือกระจายภาพ หรือโดยการป่าวร้องด้วยวิธีอื่น มุ่งหมายใส่ร้ายโจทก์ด้วยข้อความอันไม่เป็นความจริงต่อประชาชนทั่วไป โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง ด้วยข้อความดังนี้
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ ร่วมกันแถลงข่าวว่า "ตลอดเวลาที่ผ่านมาประมาณสองปี รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ออกอากาศเป็นรายการสด ไม่มีการบันทึกรายการไว้ล่วงหน้า หลายครั้งที่นายสนธิ ได้เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านรายการนี้ พาดพิงถึงบุคคลภายนอกในลักษณะที่เป็นการกล่าวอ้างฝ่ายเดียว ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ได้รับผลกระทบ ได้กล่าวแก้หรือชี้แจงแต่อย่างใด ทำให้เกิดข้อโต้แย้ง รวมทั้งเป็นข้อพิพาท เป็นคดีความในชั้นพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ และศาลยุติธรรมมาแล้วหลายคดี ทั้งนี้ บมจ.อสมทได้เคยตักเตือนและได้ร้องขอทั้งด้วยวาจาและด้วยหนังสือหลายครั้ง เพื่อให้นายสนธิมีความระมัดระวังในการดำเนินรายการ และไม่ล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นอันเป็นความรับผิดชอบพื้นฐานของสื่อมวลชนโดยทั่วไป
ในช่วงระยะเวลาประมาณหนึ่งเดือนที่ผ่านมา นายสนธิได้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์โดยกล่าวอ้างถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสถาบันพระมหากษัตริย์บ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ครั้งล่าสุดเมื่อคืนวันศุกร์ที่ ๙ กันยายน ๒๕๔๘ ตลอดเวลาของรายการยาวเกือบหนึ่งชั่วโมง นายสนธิได้กล่าวถึงการแต่งตั้งรักษาการสมเด็จพระสังฆราช ว่าเป็นการละเมิดหรือขัดพระราชอำนาจ ทั้งยังนำบทความซึ่งไม่ปรากฏชื่อผู้เขียนเรื่องพ่อของแผ่นดิน มาอ่านในรายการ มีเนื้อความบางช่วงตอนพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชนได้ โดยที่ตระหนักและคำนึงว่าการดำเนินรายการอย่างหนึ่งอย่างใดเกี่ยวกับกรณีข้างต้นนี้เป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน และอาจมีผลกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพสูงสุดของประชาชนชาวไทย บมจ.อสมท ไม่อาจนิ่งนอนใจได้ต่อไปประธานกรรมการ และกรรมการผู้อำนวยการใหญ่จึงได้ขออนุญาตเข้าพบราชเลขาธิการ ในวันอังคารที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๔๘ ที่ผ่านมาระหว่างเวลา ๙.๐๐ - ๑๐.๑๕ น. โดยมีรองราชเลขาธิการและเลขาการคณะองคมนตรีร่วมอยู่ด้วย จากการเข้าพบดังกล่าวได้รับการยืนยันว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือสำนักราชเลขาธิการ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมอบหมายให้นายสนธิหรือบุคคลหนึ่งบุคคลใดไปกล่าวอ้างถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยปริยายแต่ประการใดทั้งสิ้น"
หลังจากนั้น จำเลยที่ 2 ได้แถลงข่าวต่อมาว่า "ผมเองเฝ้าสังเกตมาในช่วงเวลารายการ ๒ - ๓ ครั้งข้างท้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายการเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ประเด็นเนื้อหาของรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ในวันศุกร์ที่ผ่านมาอาจกล่าวได้ว่าร้อยละ ๘๐ ล่ะกระมังวนเวียนเนื้อหาอยู่ในประเด็นที่เกี่ยวข้องพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตรย์ กล่าวโดยรวมแล้วคุณสนธิมีมีลาการพูดที่น่าสนใจ น่าติดตามฟัง ก็ฉลาดที่จะมีวิธีพูดที่ทำให้ผู้ฟังนั้นมีความเข้าใจที่อนุมานได้ว่า ในปัจจุบันนี้มีปัญหาใหญ่ของบ้านเมืองเกิดขึ้น ก็คือเรื่องของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของท่านนายกฯ โดยตรงก็ดี ท่านรองนายกรัฐมนตรีวิษณุ เครืองาม ก็ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเรื่องการแต่งตั้งรักษาการณ์สมเด็จพระสังฆราชแล้ว คุณสนธิยังก็พูดไปไกล ผมจำถ้อยคำชัดเจนไม่ได้แน่ แต่คุณสนธิบอกว่ามีความเข้าใจของคนจำนวนหนึ่งว่า เวลานี้ก็มีพระสังฆราชของรัฐบาลองค์หนึ่ง กับพระสังฆราชของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีกองค์หนึ่ง ผมคิดว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจ และก็รับฟังข้อมูลจากคุณสนธิ ในวันรุ่งขึ้นปฎิกิริยาที่เกิดขึ้นในเว็บไซต์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการก็ดี พันธ์ทิพย์ก็ดี มีความเห็นที่หลากหลายแล้วก็เป็นความเห็นที่รุนแรงหลายความเห็น ความเห็นที่แตกต่างหลากหลายนั้นจำนวนหนึ่งก็คงเชื่อ หรือเห็นคล้อยตามความเห็นคุณสนธิอีกจำนวนหนึ่งก็เป็นความเห็นที่ตรงกันข้าม ผมเองก็ติดตามสถานการณ์เรื่องนี้ด้วยความลำบากใจ ผมอยากจะเรียนท่านทั้งหลายจะกรุณาเชื่อผมมากน้อยเพียงใดก็เป็นดุลพินิจของท่านสื่อมวลชน หรือแม้กระทั่งพี่น้องประชาชนทั่วไป ในฐานะซึ่งอย่าไปบอกว่าผมเป็นรองปลัดกระทรวงหรือผมเป็นอะไรก็แล้วแต่ มันเปลี่ยนกันได้ ผมจะเป็นหรือไม่เป็นอะไรก็แล้วแต่ ผมชื่อธงทอง จันทรางศุ ผมมีประสบการณ์ ผมมีความรู้ ความศึกษาของผมในประเด็นเรื่องพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ ผมสังเกตเห็นหรือผมเห็นในเรื่องนี้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่เป็นธรรมต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันพระมหากษัตริย์ในเมืองไทยนั้นเป็นที่เคารพสักการะสูงสุด เป็นที่คนไทยหวงแทนเทิดทูนบูชา พระราชอำนาจตามกฎหมายรัฐธรรมนูญนั้น มีอยู่อย่างไรนั้นก็เป็นลายลักษณ์อักษร แต่เหนือจากรัฐธรรมนูญนอกจากรัฐธรรมนูญแล้ว พระมหากษัตริย์นั้นยังทรงมีอำนาจในระบอบประชาธิปไตยอีกหลายประการ หลายสถานรวมถึงพระราชอำนาจที่จะได้รับคำกราบบังคมทูลและปรึกษาจากรัฐบาล พระราชอำนาจที่จะแนะนำตักเตือนรัฐบาล แต่การใช้พระราชอำนาจเหล่านี้มีข้อพิจารณาสำคัญก็คือว่า เป็นการภายในระหว่างรัฐบาลและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือสถาบันพระมหากษัตริย์ ธรรมเนียมประเพณี ไม่ว่าจะเป็นที่ประเทศอังกฤษหรือประเทศไทยก็เหมือนกันตรงกัน ก็คือว่ารัฐบาลเมื่อกราบบังคมทูลพระกรุณาอย่างหนึ่งอย่างใด หรือได้รับพระราชทานมหากรุณาแนะนำตักเตือนชี้ทางออกด้วยประสบการพระปรีชาสามารถ รัฐบาลไม่อยู่ในฐานะซึ่งจะไปอธิบายอะไรได้ว่าได้รับคำแนะนำนี้ แนวทางอย่างนั้นจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในทางฝั่งตรงข้ามสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะบอกว่าเรื่องนี้ได้เตือนแล้ว ได้บอกแล้วหรือที่ทำแล้วตรงหรือไม่ตรงกับสิ่งที่ได้ แนะนำได้ปรึกษาหารือร่วมกัน ผมเองอาจจะมีความลำบากใจอยู่สักนิดที่จะต้องเรียนว่าหลายอย่างเรื่องที่คุณสนธิ ได้ยืนยันว่าเป็นข้อเท็จจริงในรายการ ผมอาจจะโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่ทราบ ผมทราบว่ามันไม่จริง แต่ผมก็ไม่อยู่ในฐานะซึ่งจะต้องบอกรายละเอียดทั้งหมดเพราะมันผิดธรรมเนียมของราชเสวกที่ดี คือคนที่เป็นข้าราชการหรือคนของคนที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยจะพึงกระทำ ผมอาจจะต้องเรียนสั้นๆว่า โชคร้ายของอสมท สักนิดหนึ่ง ที่เรื่องนี้เป็นข่าวขึ้นมาบังเอิญใกล้เคียงกันกับระยะเวลาซึ่งมีข่าวในแวดวงสื่อมวลชนอยู่ การเทกโอเวอร์หุ้นของสื่อมวลชนทั้งหนังสือพิมพ์บางฉบับอยู่ ถ้าผมคิดถึงอสมท แต่โดยลำพัง คิดถึงความง่ายในการทำงาน การประชุมบอร์ดเมื่อกี้นี้ ท่านประธานก็ดี เพื่อกรรมการผมก็ดี ก็อาจจะต้องไม่ต้องตัดสินใจอะไร ในเรื่องนี้หรอก พูดไปก็สองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง แต่ผมคิดว่าในสถานการณ์ในขณะนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ เมื่อวันศุกร์ที่ ๙ กันยายน ที่ผ่านมานั้นเกิดปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในสาธารณะ ความบาดหมางในระหว่างพี่น้องคนไทยด้วยกันเอง ความไม่เข้าใจถูกต้องตามวิถีครรลองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ผมจำเป็นที่จะต้องร่วมกับบอร์ด อสมท.ทั้งหลายได้ร่วมกันตัดสินใจที่จะต้องระงับรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ฯลฯ"รายละเอียดปรากฏตามสำเนาคำถอดการแถลงข่าว เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๒.
ข้อความที่จำเลยทั้งสี่แถลงข่าวดังกล่าว เป็นการกล่าวยืนยันข้อเท็จจริงมีความหมายที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าใจได้ว่า โจทก์ในฐานะสื่อมวลชนจัดการดำเนินราย
การเมืองไทยรายสัปดาห์โดยล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น ไม่คำนึงถึงจรรยาบรรณสื่อมวลชนทั่วไป ไม่มีคุณธรรม โจทก์กล่าวพาดพิงถึงบุคคลภายนอก โดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้ได้รับผลกระทบหรือเสียหายได้กล่าวแก้หรือชี้แจงแต่อย่างใด จนเป็นเหตุให้โจทก์ต้องถูกฟ้องเป็นคดีความในชั้นสอบสวน พนักงานอัยการและศาลยุติธรรม เพราะการจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ โจทก์การดำเนินรายการมีการกล่าวอ้างถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสถาบันพระมหากษัตริย์บ่อยครั้ง และโจทก์กล่าวถึงการแต่งตั้งรักษาการสมเด็จพระสังฆราชเป็นการละเมิดหรือขัดพระราชอำนาจ ทั้งยังนำบทความที่มีเนื้อความพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ในลักษณะที่ก่อให้เกิดความไม่สงบในบ้านเมือง การดำเนินรายการของโจทก์ ทำให้มีผลกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพของประชาชน ทั้งอ้างอิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์โดยโจทก์มิได้มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือได้รับมอบหมายไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม โจทก์ไม่มีความรู้เรื่องพระราชอำนาจ โจทก์เป็นบุคคลไม่ดีไม่น่าเคารพ มีความประพฤติเสื่อมเสียใช้หน้าที่การเป็นสื่อมวลชนใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น จนโจทก์ถูกดำเนินคดีมากมาย โจทก์กล่าวอ้างถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสถาบันพระมหากษัตริย์ การดำเนินรายการของโจทก์และตัวโจทก์เองในฐานะสื่อมวลชนของโจทก์ มีเจตนาสร้างความวุ่นวายปั่นป่วนให้เกิดความบาดหมางของหมู่คนในสังคม จนเป็นเหตุให้ต้องยกเลิกรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ของโจทก์ ซึ่งไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น และจำเลยทั้งสี่ได้ออกแถลงข่าวดังกล่าวโดยมีเจตนาเพื่อประจานโจทก์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งการการกระทำดังกล่าวของจำเลยทั้งสี่ ยังขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๒๖ การใช้อำนาจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กรต้องคำนึ่งถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ มาตรา ๓๙ ที่บัญญัติให้บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การจำกัดเสรีภาพจะกระทำมิได้ และการสั่งปิดรายการสถานีวิทยุโทรทัศน์ เพื่อลิดรอนเสรีภาพตามมาตรานี้ ขัดต่อกฎหมายสูงสุดของประเทศ มาตรา ๔๑ พนักงาน หรือลูกจ้างของเอกชนที่ประกอบกิจการหนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์ย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าวและแสดงความคิดเห็นภายใต้ข้อจำกัดตามรัฐธรรมนูญ โดยไม่ตกอยู่ภายใต้อาณัติของราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือเจ้าของกิจการนั้นแต่ต้องไม่ขัดต่อจรรยาบรรณแห่งการประกอบวิชาชีพ ข้าราชการ พนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจในกิจการวิทยุกระจายเสียง หรือวิทยุโทรทัศน์ ย่อมมีเสรีภาพเช่นเดียวกับพนักงานหรือลูกจ้างของเอกชนตามวรรคหนึ่ง
ความจริงโจทก์ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ โดยไม่มีเจตนาก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใด หรือใช้รายการดังกล่าวเป็นเครื่องมือในการใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นจนต้องถูกดำเนินคดีทั้งในชั้นสอบสวน พนักงานอัยการและศาลยุติธรรม จำนวนหลายคดี นอกจากจะมีการฟ้องร้องเพื่อกลั่นแกล้งโจทก์ให้รับโทษทางอาญา โจทก์ดำเนินการในฐานะสื่อมวลชนมีหน้าที่ตีแผ่ความจริงให้ประชาชนรับรู้ ในคดีต่างๆที่โจทก์ถูกฟ้องศาลได้มีคำพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ไปแล้ว โจทก์ดำเนินรายการโดยปฏิบัติตามข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมแห่งวิชาชีพของสื่อสารมวลชนโดยเคร่งครัด ไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง การเสนอข่าวของโจทก์เป็นการเสนอข่าวเพื่อประโยชน์สาธารณะ ติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งบุคคลหรือวิสัยของประชาชนและสื่อมวลชนย่อมกระทำ โจทก์ไม่ได้แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน ไม่แต่งเติมเนื้อหาสาระของข่าวที่ได้จนคลาดเคลื่อน หรือเกินจากความจริง โจทก์ไม่มีความลำเอียงในการนำเสนอข่าวเพื่อเข้าข้างฝ่ายใด ไม่เคยใส่ร้ายป้ายสีผู้ใด โจทก์ไม่เคยกล่าวอ้างถึงหรือพาดพิงถึงพระมหากษัตริย์ หรือสถาบันพระมหากษัตริย์ การอ้างพระบรมราโชวาทก็อ้างเพื่อเทิดทูลซึ่งบุคคลอื่นก็ปฏิบัติเช่นกัน เป็นการอ้างคำสอนมิได้อ้างสถาบัน รายการของโจทก์ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบจนเกิดความแตกแยกสร้างความวุ่นวายปั่นป่วนกระด้างกระเดื่องเกิดความบาดหมาง ให้แก่ประชาชน และการกล่าวอ้างถึงการแต่งตั้งรักษาการสมเด็จพระสังฆราช ในขณะที่สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันยังปฎิบัติหน้าที่ ถือเป็นการแสดงความเห็นส่วนตนโดยสุจริต ทั้งนี้ในฐานะสื่อมวลชนแขนงหนึ่งเพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และรับทราบจารีตประเพณีและหลักธรรมอันถูกต้อง โดยโจทก์ไม่เคยแอบอ้างว่าการแสดงความคิดเห็นดังกล่าวโจทก์ได้รับมอบหมายจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสถาบันพระมหากษัตริย์ จนจำเลยทั้งสี่ต้องไปสอบถามหาความจริงที่สำนักงานราชเลขาธิการ
จำเลยทั้งสี่เจตนากล่าวถ้อยคำโดยการอ้างข้อเท็จจริงที่ไม่ถูกต้อง โดยเล็งเห็นผลว่าย่อมทำให้โจทก์น่าจะเสื่อมเสียชื่อเสียง ทำให้ประชาชนที่รับฟังการแถลงข่าวของจำเลยทั้งสี่ ดูหมิ่น เกลียดชังโจทก์ เป็นการกล่าวเพื่อประจานโจทก์ในที่สาธารณะจึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท จำเลยทั้งสี่ย่อมไม่อาจถือได้ว่าเป็นการแถลงข่าวโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรมป้องกนตนหรือป้องกันส่วนได้เสียของตนตามคลองธรรม
ข้อ ๓. การที่จำเลยทั้งสี่จงใจใส่ความโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์ประกอบอาชีพสื่อมวลชนเป็นผู้มีชื่อเสียงในทางสังคมการเมือง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีฐานะเป็นที่เชื่อถือของบุคคลทั่วไปทั้งในภาคเอกชน ภาคราชการและธุรกิจ การใส่ความดังกล่าวทำให้ประชาชนโดยทั่วไปขาดความเชื่อถือในตัวโจทก์ และข่าวดังกล่าวยังกระจายไปยังกลุ่มสื่อสารมวลชนอื่น ซึ่งมีเจตนาให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ในการประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน และหนังสือพิมพ์อันเป็นธุรกิจของโจทก์ จำเลยทั้งสี่จึงต้องร่วมกันรับผิดตามกฎหมาย
เหตุตามฟ้องเกิดที่แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร และทั่วราชอาณาจักรไทย
โจทก์มิได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพราะประสงค์ที่จะดำเนินคดีกับจำเลยทั้งสี่ด้วยตนเอง
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
คดีหมายเลขดำที่ 4421/ ๒๕๔๘
วันที่ ๒๖ เดือน กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๘
ความ อาญา
ระหว่าง นายสนธิ ลิ้มทองกุล โจทก์
นายเรวัติ ฉ่ำเฉลิม ที่ ๑, นายธงทอง จันทรางศุ ที่ ๒, นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ที่ ๓ , บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ที่ ๔ จำเลย
ข้อหาหรือฐานความผิด ร่วมกันหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา
จำนวนทุนทรัพย์ - บาท - สตางค์
ข้าพเจ้า นายสนธิ ลิ้มทองกุล โจทก์
เชื้อชาติ ไทย สัญชาติ ไทย อาชีพ นักหนังสือพิมพ์
เกิดวันที่ – เดือน – พ.ศ. - อายุ - ปี อยู่บ้านเลขที่ ๒
หมู่ที่ -- ถนน พระอาทิตย์ ตรอก/ซอย -
ใกล้เคียง - ตำบล/แขวง ชนะสงคราม
อำเภอ/เขต พระนคร จังหวัด กรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ --
ขอยื่นฟ้อง นายเรวัติ ฉ่ำเฉลิม ที่ ๑, นายธงทอง จันทรางศุ ที่ ๒, นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ที่ ๓ , บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ที่ ๔ จำเลย
เชื้อชาติ (๑-๓) ไทย (๔) สัญชาติ (๑-๔) ไทย อาชีพ (๑-๔) ประกอบธุรกิจ
อยู่บ้านเลขที่ (๑-๔) ๖๓/๑ หมู่ที่ -- ถนน (๑-๔) พระราม๙
ตรอก/ซอย -- ใกล้เคียง -- ตำบล/แขวง (๑-๔) ห้วยขวาง
อำเภอ/เขต (๑-๔) ห้วยขวาง จังหวัด (๑-๔) กรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ --
มีข้อความที่จะกล่าวต่อไปหนี้
ข้อ ๑. จำเลยที่ ๑ มีฐานะเป็นประธานกรรมการบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)จำเลยที่ ๒ มีฐานะเป็นกรรมการบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) จำเลยที่ ๓ มีฐานะเป็นกรรมการและเป็นผู้อำนวยการบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) จำเลยที่ ๔ มีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมหาชน จดทะเบียนใช้ชื่อว่า บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) กรรมการผู้มีอำนาจจำนวน ๑๒ คน รวมทั้งจำเลยที่ ๑ , ๒ และ ๓ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ ๔ โดยมีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการสื่อสารมวลชนและดำเนินธุรกิจอันเกี่ยวกับสื่อสารมวลชนทุกประเภท ในการกระทำการแทนจำเลยที่ ๔ ให้จำเลยที่ ๓ ลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัท หรือกรรมการอื่นสองคนลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญของบริษัทมีอำนาจกระทำการแทน รายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือรับรองบริษัทเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๑.
ข้อ ๒. เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๔๘ จนถึงปัจจุบันนี้ เวลากลางวันและกลางคืน
ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสี่ได้บังอาจร่วมกันกระทำโดยผิดต่อกฎหมายอาญา โดยจำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันใส่ความโจทก์ด้วยการแถลงข่าวต่อหน้าสื่อมวลชน ซึ่งมีทั้งนักข่าว นักหนังสือพิมพ์ ผู้สื่อข่าวโทรทัศน์หลายช่องและต่อประชาชนทั่วไป ณ ที่ทำการของจำเลยที่ ๔ โดยจำเลยที่ ๓ ได้นั่งร่วมแถลงข่าวกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และจำเลยที่ ๔ ในที่ประชุม และนอกจากการแถลงข่าวดังกล่าวแล้วจำเลยทั้งสี่ยังจัดให้มีการเผยแพร่โฆษณาถ้อยคำของจำเลยทั้งสี่ทางอินเตอร์เน็ท ซึ่งสามารถเผยแพร่ไปได้ทั่วราชอาณาจักรและทั่วโลกใน WWW.MCOT.NET (MCOT.NET) กรณี MODERNINE ยกเลิกรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถเข้าชม โดยมีเจตนาให้มีการเผยแพร่โฆษณาข่าวของจำเลยทั้งสี่ให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบคำแถลงข่าวและคำประกาศของจำเลยทั้งสี่ อันเป็นการกระทำด้วยการโฆษณาด้วยภาพ ภาพยนตร์ แผ่นเสียง สิ่งบันทึกเสียง บันทึกภาพหรือบันทึกอักษร กระทำโดยการกระจายเสียง หรือกระจายภาพ หรือโดยการป่าวร้องด้วยวิธีอื่น มุ่งหมายใส่ร้ายโจทก์ด้วยข้อความอันไม่เป็นความจริงต่อประชาชนทั่วไป โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง ด้วยข้อความดังนี้
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ ร่วมกันแถลงข่าวว่า "ตลอดเวลาที่ผ่านมาประมาณสองปี รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ออกอากาศเป็นรายการสด ไม่มีการบันทึกรายการไว้ล่วงหน้า หลายครั้งที่นายสนธิ ได้เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านรายการนี้ พาดพิงถึงบุคคลภายนอกในลักษณะที่เป็นการกล่าวอ้างฝ่ายเดียว ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ได้รับผลกระทบ ได้กล่าวแก้หรือชี้แจงแต่อย่างใด ทำให้เกิดข้อโต้แย้ง รวมทั้งเป็นข้อพิพาท เป็นคดีความในชั้นพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ และศาลยุติธรรมมาแล้วหลายคดี ทั้งนี้ บมจ.อสมทได้เคยตักเตือนและได้ร้องขอทั้งด้วยวาจาและด้วยหนังสือหลายครั้ง เพื่อให้นายสนธิมีความระมัดระวังในการดำเนินรายการ และไม่ล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นอันเป็นความรับผิดชอบพื้นฐานของสื่อมวลชนโดยทั่วไป
ในช่วงระยะเวลาประมาณหนึ่งเดือนที่ผ่านมา นายสนธิได้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์โดยกล่าวอ้างถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสถาบันพระมหากษัตริย์บ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ครั้งล่าสุดเมื่อคืนวันศุกร์ที่ ๙ กันยายน ๒๕๔๘ ตลอดเวลาของรายการยาวเกือบหนึ่งชั่วโมง นายสนธิได้กล่าวถึงการแต่งตั้งรักษาการสมเด็จพระสังฆราช ว่าเป็นการละเมิดหรือขัดพระราชอำนาจ ทั้งยังนำบทความซึ่งไม่ปรากฏชื่อผู้เขียนเรื่องพ่อของแผ่นดิน มาอ่านในรายการ มีเนื้อความบางช่วงตอนพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชนได้ โดยที่ตระหนักและคำนึงว่าการดำเนินรายการอย่างหนึ่งอย่างใดเกี่ยวกับกรณีข้างต้นนี้เป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน และอาจมีผลกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพสูงสุดของประชาชนชาวไทย บมจ.อสมท ไม่อาจนิ่งนอนใจได้ต่อไปประธานกรรมการ และกรรมการผู้อำนวยการใหญ่จึงได้ขออนุญาตเข้าพบราชเลขาธิการ ในวันอังคารที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๔๘ ที่ผ่านมาระหว่างเวลา ๙.๐๐ - ๑๐.๑๕ น. โดยมีรองราชเลขาธิการและเลขาการคณะองคมนตรีร่วมอยู่ด้วย จากการเข้าพบดังกล่าวได้รับการยืนยันว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือสำนักราชเลขาธิการ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมอบหมายให้นายสนธิหรือบุคคลหนึ่งบุคคลใดไปกล่าวอ้างถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยปริยายแต่ประการใดทั้งสิ้น"
หลังจากนั้น จำเลยที่ 2 ได้แถลงข่าวต่อมาว่า "ผมเองเฝ้าสังเกตมาในช่วงเวลารายการ ๒ - ๓ ครั้งข้างท้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายการเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ประเด็นเนื้อหาของรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ในวันศุกร์ที่ผ่านมาอาจกล่าวได้ว่าร้อยละ ๘๐ ล่ะกระมังวนเวียนเนื้อหาอยู่ในประเด็นที่เกี่ยวข้องพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตรย์ กล่าวโดยรวมแล้วคุณสนธิมีมีลาการพูดที่น่าสนใจ น่าติดตามฟัง ก็ฉลาดที่จะมีวิธีพูดที่ทำให้ผู้ฟังนั้นมีความเข้าใจที่อนุมานได้ว่า ในปัจจุบันนี้มีปัญหาใหญ่ของบ้านเมืองเกิดขึ้น ก็คือเรื่องของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของท่านนายกฯ โดยตรงก็ดี ท่านรองนายกรัฐมนตรีวิษณุ เครืองาม ก็ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเรื่องการแต่งตั้งรักษาการณ์สมเด็จพระสังฆราชแล้ว คุณสนธิยังก็พูดไปไกล ผมจำถ้อยคำชัดเจนไม่ได้แน่ แต่คุณสนธิบอกว่ามีความเข้าใจของคนจำนวนหนึ่งว่า เวลานี้ก็มีพระสังฆราชของรัฐบาลองค์หนึ่ง กับพระสังฆราชของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีกองค์หนึ่ง ผมคิดว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจ และก็รับฟังข้อมูลจากคุณสนธิ ในวันรุ่งขึ้นปฎิกิริยาที่เกิดขึ้นในเว็บไซต์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการก็ดี พันธ์ทิพย์ก็ดี มีความเห็นที่หลากหลายแล้วก็เป็นความเห็นที่รุนแรงหลายความเห็น ความเห็นที่แตกต่างหลากหลายนั้นจำนวนหนึ่งก็คงเชื่อ หรือเห็นคล้อยตามความเห็นคุณสนธิอีกจำนวนหนึ่งก็เป็นความเห็นที่ตรงกันข้าม ผมเองก็ติดตามสถานการณ์เรื่องนี้ด้วยความลำบากใจ ผมอยากจะเรียนท่านทั้งหลายจะกรุณาเชื่อผมมากน้อยเพียงใดก็เป็นดุลพินิจของท่านสื่อมวลชน หรือแม้กระทั่งพี่น้องประชาชนทั่วไป ในฐานะซึ่งอย่าไปบอกว่าผมเป็นรองปลัดกระทรวงหรือผมเป็นอะไรก็แล้วแต่ มันเปลี่ยนกันได้ ผมจะเป็นหรือไม่เป็นอะไรก็แล้วแต่ ผมชื่อธงทอง จันทรางศุ ผมมีประสบการณ์ ผมมีความรู้ ความศึกษาของผมในประเด็นเรื่องพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ ผมสังเกตเห็นหรือผมเห็นในเรื่องนี้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่เป็นธรรมต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันพระมหากษัตริย์ในเมืองไทยนั้นเป็นที่เคารพสักการะสูงสุด เป็นที่คนไทยหวงแทนเทิดทูนบูชา พระราชอำนาจตามกฎหมายรัฐธรรมนูญนั้น มีอยู่อย่างไรนั้นก็เป็นลายลักษณ์อักษร แต่เหนือจากรัฐธรรมนูญนอกจากรัฐธรรมนูญแล้ว พระมหากษัตริย์นั้นยังทรงมีอำนาจในระบอบประชาธิปไตยอีกหลายประการ หลายสถานรวมถึงพระราชอำนาจที่จะได้รับคำกราบบังคมทูลและปรึกษาจากรัฐบาล พระราชอำนาจที่จะแนะนำตักเตือนรัฐบาล แต่การใช้พระราชอำนาจเหล่านี้มีข้อพิจารณาสำคัญก็คือว่า เป็นการภายในระหว่างรัฐบาลและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือสถาบันพระมหากษัตริย์ ธรรมเนียมประเพณี ไม่ว่าจะเป็นที่ประเทศอังกฤษหรือประเทศไทยก็เหมือนกันตรงกัน ก็คือว่ารัฐบาลเมื่อกราบบังคมทูลพระกรุณาอย่างหนึ่งอย่างใด หรือได้รับพระราชทานมหากรุณาแนะนำตักเตือนชี้ทางออกด้วยประสบการพระปรีชาสามารถ รัฐบาลไม่อยู่ในฐานะซึ่งจะไปอธิบายอะไรได้ว่าได้รับคำแนะนำนี้ แนวทางอย่างนั้นจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในทางฝั่งตรงข้ามสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะบอกว่าเรื่องนี้ได้เตือนแล้ว ได้บอกแล้วหรือที่ทำแล้วตรงหรือไม่ตรงกับสิ่งที่ได้ แนะนำได้ปรึกษาหารือร่วมกัน ผมเองอาจจะมีความลำบากใจอยู่สักนิดที่จะต้องเรียนว่าหลายอย่างเรื่องที่คุณสนธิ ได้ยืนยันว่าเป็นข้อเท็จจริงในรายการ ผมอาจจะโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่ทราบ ผมทราบว่ามันไม่จริง แต่ผมก็ไม่อยู่ในฐานะซึ่งจะต้องบอกรายละเอียดทั้งหมดเพราะมันผิดธรรมเนียมของราชเสวกที่ดี คือคนที่เป็นข้าราชการหรือคนของคนที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยจะพึงกระทำ ผมอาจจะต้องเรียนสั้นๆว่า โชคร้ายของอสมท สักนิดหนึ่ง ที่เรื่องนี้เป็นข่าวขึ้นมาบังเอิญใกล้เคียงกันกับระยะเวลาซึ่งมีข่าวในแวดวงสื่อมวลชนอยู่ การเทกโอเวอร์หุ้นของสื่อมวลชนทั้งหนังสือพิมพ์บางฉบับอยู่ ถ้าผมคิดถึงอสมท แต่โดยลำพัง คิดถึงความง่ายในการทำงาน การประชุมบอร์ดเมื่อกี้นี้ ท่านประธานก็ดี เพื่อกรรมการผมก็ดี ก็อาจจะต้องไม่ต้องตัดสินใจอะไร ในเรื่องนี้หรอก พูดไปก็สองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง แต่ผมคิดว่าในสถานการณ์ในขณะนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ เมื่อวันศุกร์ที่ ๙ กันยายน ที่ผ่านมานั้นเกิดปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในสาธารณะ ความบาดหมางในระหว่างพี่น้องคนไทยด้วยกันเอง ความไม่เข้าใจถูกต้องตามวิถีครรลองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ผมจำเป็นที่จะต้องร่วมกับบอร์ด อสมท.ทั้งหลายได้ร่วมกันตัดสินใจที่จะต้องระงับรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ฯลฯ"รายละเอียดปรากฏตามสำเนาคำถอดการแถลงข่าว เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๒.
ข้อความที่จำเลยทั้งสี่แถลงข่าวดังกล่าว เป็นการกล่าวยืนยันข้อเท็จจริงมีความหมายที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าใจได้ว่า โจทก์ในฐานะสื่อมวลชนจัดการดำเนินราย
การเมืองไทยรายสัปดาห์โดยล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น ไม่คำนึงถึงจรรยาบรรณสื่อมวลชนทั่วไป ไม่มีคุณธรรม โจทก์กล่าวพาดพิงถึงบุคคลภายนอก โดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้ได้รับผลกระทบหรือเสียหายได้กล่าวแก้หรือชี้แจงแต่อย่างใด จนเป็นเหตุให้โจทก์ต้องถูกฟ้องเป็นคดีความในชั้นสอบสวน พนักงานอัยการและศาลยุติธรรม เพราะการจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ โจทก์การดำเนินรายการมีการกล่าวอ้างถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสถาบันพระมหากษัตริย์บ่อยครั้ง และโจทก์กล่าวถึงการแต่งตั้งรักษาการสมเด็จพระสังฆราชเป็นการละเมิดหรือขัดพระราชอำนาจ ทั้งยังนำบทความที่มีเนื้อความพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ในลักษณะที่ก่อให้เกิดความไม่สงบในบ้านเมือง การดำเนินรายการของโจทก์ ทำให้มีผลกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพของประชาชน ทั้งอ้างอิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์โดยโจทก์มิได้มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือได้รับมอบหมายไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม โจทก์ไม่มีความรู้เรื่องพระราชอำนาจ โจทก์เป็นบุคคลไม่ดีไม่น่าเคารพ มีความประพฤติเสื่อมเสียใช้หน้าที่การเป็นสื่อมวลชนใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น จนโจทก์ถูกดำเนินคดีมากมาย โจทก์กล่าวอ้างถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสถาบันพระมหากษัตริย์ การดำเนินรายการของโจทก์และตัวโจทก์เองในฐานะสื่อมวลชนของโจทก์ มีเจตนาสร้างความวุ่นวายปั่นป่วนให้เกิดความบาดหมางของหมู่คนในสังคม จนเป็นเหตุให้ต้องยกเลิกรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ของโจทก์ ซึ่งไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น และจำเลยทั้งสี่ได้ออกแถลงข่าวดังกล่าวโดยมีเจตนาเพื่อประจานโจทก์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งการการกระทำดังกล่าวของจำเลยทั้งสี่ ยังขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๒๖ การใช้อำนาจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กรต้องคำนึ่งถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ มาตรา ๓๙ ที่บัญญัติให้บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การจำกัดเสรีภาพจะกระทำมิได้ และการสั่งปิดรายการสถานีวิทยุโทรทัศน์ เพื่อลิดรอนเสรีภาพตามมาตรานี้ ขัดต่อกฎหมายสูงสุดของประเทศ มาตรา ๔๑ พนักงาน หรือลูกจ้างของเอกชนที่ประกอบกิจการหนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์ย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าวและแสดงความคิดเห็นภายใต้ข้อจำกัดตามรัฐธรรมนูญ โดยไม่ตกอยู่ภายใต้อาณัติของราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือเจ้าของกิจการนั้นแต่ต้องไม่ขัดต่อจรรยาบรรณแห่งการประกอบวิชาชีพ ข้าราชการ พนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจในกิจการวิทยุกระจายเสียง หรือวิทยุโทรทัศน์ ย่อมมีเสรีภาพเช่นเดียวกับพนักงานหรือลูกจ้างของเอกชนตามวรรคหนึ่ง
ความจริงโจทก์ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ โดยไม่มีเจตนาก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใด หรือใช้รายการดังกล่าวเป็นเครื่องมือในการใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นจนต้องถูกดำเนินคดีทั้งในชั้นสอบสวน พนักงานอัยการและศาลยุติธรรม จำนวนหลายคดี นอกจากจะมีการฟ้องร้องเพื่อกลั่นแกล้งโจทก์ให้รับโทษทางอาญา โจทก์ดำเนินการในฐานะสื่อมวลชนมีหน้าที่ตีแผ่ความจริงให้ประชาชนรับรู้ ในคดีต่างๆที่โจทก์ถูกฟ้องศาลได้มีคำพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ไปแล้ว โจทก์ดำเนินรายการโดยปฏิบัติตามข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมแห่งวิชาชีพของสื่อสารมวลชนโดยเคร่งครัด ไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง การเสนอข่าวของโจทก์เป็นการเสนอข่าวเพื่อประโยชน์สาธารณะ ติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งบุคคลหรือวิสัยของประชาชนและสื่อมวลชนย่อมกระทำ โจทก์ไม่ได้แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน ไม่แต่งเติมเนื้อหาสาระของข่าวที่ได้จนคลาดเคลื่อน หรือเกินจากความจริง โจทก์ไม่มีความลำเอียงในการนำเสนอข่าวเพื่อเข้าข้างฝ่ายใด ไม่เคยใส่ร้ายป้ายสีผู้ใด โจทก์ไม่เคยกล่าวอ้างถึงหรือพาดพิงถึงพระมหากษัตริย์ หรือสถาบันพระมหากษัตริย์ การอ้างพระบรมราโชวาทก็อ้างเพื่อเทิดทูลซึ่งบุคคลอื่นก็ปฏิบัติเช่นกัน เป็นการอ้างคำสอนมิได้อ้างสถาบัน รายการของโจทก์ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบจนเกิดความแตกแยกสร้างความวุ่นวายปั่นป่วนกระด้างกระเดื่องเกิดความบาดหมาง ให้แก่ประชาชน และการกล่าวอ้างถึงการแต่งตั้งรักษาการสมเด็จพระสังฆราช ในขณะที่สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันยังปฎิบัติหน้าที่ ถือเป็นการแสดงความเห็นส่วนตนโดยสุจริต ทั้งนี้ในฐานะสื่อมวลชนแขนงหนึ่งเพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และรับทราบจารีตประเพณีและหลักธรรมอันถูกต้อง โดยโจทก์ไม่เคยแอบอ้างว่าการแสดงความคิดเห็นดังกล่าวโจทก์ได้รับมอบหมายจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสถาบันพระมหากษัตริย์ จนจำเลยทั้งสี่ต้องไปสอบถามหาความจริงที่สำนักงานราชเลขาธิการ
จำเลยทั้งสี่เจตนากล่าวถ้อยคำโดยการอ้างข้อเท็จจริงที่ไม่ถูกต้อง โดยเล็งเห็นผลว่าย่อมทำให้โจทก์น่าจะเสื่อมเสียชื่อเสียง ทำให้ประชาชนที่รับฟังการแถลงข่าวของจำเลยทั้งสี่ ดูหมิ่น เกลียดชังโจทก์ เป็นการกล่าวเพื่อประจานโจทก์ในที่สาธารณะจึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท จำเลยทั้งสี่ย่อมไม่อาจถือได้ว่าเป็นการแถลงข่าวโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรมป้องกนตนหรือป้องกันส่วนได้เสียของตนตามคลองธรรม
ข้อ ๓. การที่จำเลยทั้งสี่จงใจใส่ความโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์ประกอบอาชีพสื่อมวลชนเป็นผู้มีชื่อเสียงในทางสังคมการเมือง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีฐานะเป็นที่เชื่อถือของบุคคลทั่วไปทั้งในภาคเอกชน ภาคราชการและธุรกิจ การใส่ความดังกล่าวทำให้ประชาชนโดยทั่วไปขาดความเชื่อถือในตัวโจทก์ และข่าวดังกล่าวยังกระจายไปยังกลุ่มสื่อสารมวลชนอื่น ซึ่งมีเจตนาให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ในการประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน และหนังสือพิมพ์อันเป็นธุรกิจของโจทก์ จำเลยทั้งสี่จึงต้องร่วมกันรับผิดตามกฎหมาย
เหตุตามฟ้องเกิดที่แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร และทั่วราชอาณาจักรไทย
โจทก์มิได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพราะประสงค์ที่จะดำเนินคดีกับจำเลยทั้งสี่ด้วยตนเอง
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด