“เณรแอ” เจ้าของตำนานย่างศพเด็กทารก ผู้รอบรู้ไสยศาสตร์ด้านเดรัจฉานวิชา ก่อนพลิกผันตัวเองมาทำเสน่ห์ยาแฝด ที่ตัวเองเชื่อว่าเป็นไสยศาสตร์ด้านพุทธคุณ ไสยศาสตร์ทั้ง 2 ด้านวิชาสามารถใช้ให้บังเกิดผลได้ตามปรารถนาจริงหรือ หรือเป็นเพียงแค่มนต์ดำที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นเพื่อหลอกลวงผู้คน ...การถูกจับกุมในครั้งนี้จะถือเป็นการปิดตำนาน “เณรแอ จอมขมังเวท” ได้หรือไม่
นับเป็นข่าวอื้อฉาวสั่นสะเทือนความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ของคนไทยอีกคดี เมื่อ พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบก.การกระทำผิดต่อเด็ก เยาวชน และสตรี (ผบก.ปดส.) พร้อมด้วยนางปวีณา หงสกุล ที่ปรึกษา รมว.ยุติธรรม พร้อมกำลังนำหมายจับบุกตรวจค้นรัง “นายหาญ รักษาจิตร์” หรือ เณรแอ อายุ 45 ปี ถึง อ.หนองโดน จ.สระบุรี ในข้อหาฉ้อโกงหลอกลวงประชาชน
จากการตรวจค้นบ้านทรงไทยเกือบ 10 หลัง ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว้างกว่า 5 ไร่ ล้อมรั้วรอบขอบชิด แต่พบเพียงเณรแอกำลังร่วมหลับนอนอยู่กับ น.ส.น้ำ (นามสมมติ) อายุ 19 ปี ที่ถูกหลอกลวงมาทำเสน่ห์ยาแฝด ภายในบ้านถูกตกแต่งจัดเป็นห้องทำพิธีซึ่งมีโต๊ะหมู่บูชา พระพุทธรูป หัวโขน ปลัดขิก และตะกุดขนาดเล็กและใหญ่หลายร้อยอัน น้ำมันพราย รักยม กุมารทอง กะโหลกศีรษะมนุษย์ลงอักขระนับ 10 หัว หุ่นขี้ผึ้งขนาดเล็กมัดติดกันด้วยสายสิญจน์เป็นคู่ๆ จำนวนหลายสิบคู่ บางคู่ถูกปักด้วยเข็มหมุด ทั้งหมดตั้งอยู่ในถาดหน้าแท่นบูชา และใส่อยู่ในโอ่งภายนอกห้องทำพิธีอีกเต็มโอ่งใหญ่
ไสยศาสตร์ลามก-อุปกรณ์ทางเพศเพียบ
หลักฐานภาพถ่ายชายหญิงถูกเย็บติดกันจำนวนหลายร้อยภาพ ถุงยางอนามัย ยาทนเพื่อชะลอการถึงจุดสุดยอดหลายขวด ยาไวอะกร้า และชุดชั้นในผู้หญิง ซุกซ่อนอยู่เป็นจำนวนมาก ย่อมส่อให้เห็นพฤติกรรมทางเพศวิปริตของอดีตเณรแอผู้อื้อฉาวอย่างชัดเจน
โดยพฤติกรรมอดีตเณรแอนั้น จะเรียกหญิงสาวที่ขอเสน่ห์ยาแฝดเข้าห้องทำพิธีเพื่อทำเสน่ห์ ก่อนพูดจาหว่านล้อมล่อลวงให้หญิงสาวถอดเสื้อผ้าออก จากนั้นก็จะใช้ “ปลัดขิกขาช้าง” ขนาดใหญ่จิ้มไปที่อวัยวะเพศ ก่อนที่จะหลอกลวงอ้างว่าหากจะให้ได้ผลดีจะต้องใช้อวัยวะเพศของตนเองแทนปลัดขิก เมื่อฝ่ายหญิงหลงเชื่อ อดีตเณรแอจึงปฏิบัติการเจ้าเล่ห์ก่อนที่จะลงมือข่มขืนทันที โดยมีการแอบตั้งกล้องถ่ายวิดีโอไว้แบล็กเมล์ สำหรับค่าบริการจะอยู่ที่ประมาณ 3,000-15,000 บาท
เมียสุดทนพฤติกรรมอุบาทว์
นางชไมพร ภรรยาซึ่งเคยแต่งงานและจดทะเบียนสมรส ได้ขอหย่าขาดจากอดีตเณรแอเพราะทนพฤติกรรมอุบาทว์ไม่ได้ โดยช่วงหลังปี 2540 ที่อดีตเณรแอพ้นโทษออกจากคุกนั้น เริ่มมีผู้คนเข้าหาให้ทำพิธีไสยศาสตร์ต่างๆ โดยเฉพาะผู้หญิงที่เข้ามาทำพิธี ที่อดีตเณรแอจะพาเข้าห้องอย่างมิดชิดไม่ให้รู้เลยว่าทำอะไรกัน บางครั้งขณะดึกดื่นก็ยังนัดสาวๆ มาทำพิธีในห้องสองต่อสอง หรือบางครั้งมาเป็นกลุ่ม วันหนึ่งเห็นคนขับรถของอดีตเณรแอนำผู้หญิงสวยหน้าตาดีเข้าพบอดีตเณรแอกลางดึก จึงเกิดความสงสัยแอบปีนดูที่ช่องหน้าต่าง พบเณรแอกำลังมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงโดยที่ผู้หญิงไม่ขัดขืน
มีอยู่ครั้งหนึ่งเณรแอนำโรคมาสู่ภรรยา จึงขอร้องให้เลิกทำพิธีไสยศาสตร์ แต่เณรแอไม่ยอม ประกอบกับนางชไมพรซึ่งมีลูกสาวติดมาด้วย จึงกลัวว่าจะเกิดเหตุไม่ดีกับลูกสาว จึงจำเป็นต้องขอหย่าขาด
สำหรับอดีตเณรแอ เคยตกเป็นข่าวอื้อฉาวมาครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อปี 2537 ได้นำศพทารกมาย่างที่บริเวณใต้ถุนเมรุวัดหนองระกำ พร้อมกับทำพิธีปลุกเสกทำน้ำมันพรายและมีการบันทึกภาพวิดีโอเอาไว้ จนมีการนำภาพมาเผยแพร่ตามสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ทำให้กรมการศาสนาในขณะนั้นต้องเข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.อ.หนองโดน ให้ดำเนินคดีกับเณรแอพร้อมจับสึกดำเนินคดี ในข้อหาอุตริมนุษยธรรมที่ไม่มีในตัวตน ศาลจังหวัดสระบุรีได้สั่งจำคุก 1 ปี
พลิกตำนานไสยศาสตร์เดรัจฉานวิชา
เจ้าของตำนานสยองย่างเด็กปลุกเสกกุมารทอง อรรถาธิบายถึงพฤติกรรมสุดอุบาทว์ว่า หากจะทำกุมารทอง ต้องมีศพเด็กเพศชาย ส่วนกุมารีต้องอาศัยศพเด็กเพศหญิง และเมื่อนำศพเด็กออกจากโลงจำเป็นต้องตอกตะปูตรึงฝาโลงทั้งสี่ด้านเพื่อสะกดวิญญาณเด็กไม่ให้ตามรังควานก่อนเอาไปปลุกเสก
กรรมวิธีในการย่างต้องย่างไปเสกไปถึง 9 วัน 9 คืนตามตำรา จะทำให้เกิดผลดีทางด้านค้าขายแต่ถ้าทำไม่ดีก็ถึงบ้าได้ เมื่อย่างแล้วจะเอาไปดองไว้ในโหล โพกด้วยสีผึ้ง บางรายก็เป็นแบบแห้งๆ ก่อนนำขึ้นหิ้งต่ำกว่าหิ้งพระ กราบไหว้ด้วยน้ำแดง ไหว้ไข่ต้ม จุดธูปเทียนไหว้ ตามความเชื่อทางไสยศาสตร์
จนกระทั่งเกิดคดีขบวนการขโมยศพเด็กทารกหญิง ไปจากโลงศพในป่าช้าที่อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 2547 ที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่าเป็นฝีมือของแก๊งหมอผี ชื่อของ"เณรแอ" จึงถูกกล่าวขานขึ้นอีกครั้ง แม้เจ้าตัวจะปฏิเสธว่าจะเลิกเล่นไสยศาสตร์ด้านเดรัจฉานวิชา และหันมาทำไสยศาสตร์ด้านพุทธคุณแทน แต่ก็ยังไม่มีใครเชื่อว่าจะเป็นนั้นจริง เพราะจนถึงขณะนี้คดีขโมยศพทารกเพศหญิง ยังคงเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้
ตร.เผยไต๋เสน่ห์ยาแฝด “เณรแอ” ไม่ขลังอย่างที่คิด
“เณรแอ จอมขมังเวท” ไร้มนต์ขลัง-ไร้คนประกันนอนคุกต่อ!
บุกจับ “เณรแอ-จอมขมังเวท” หลังพบพฤติกรรมลวงสาว







นับเป็นข่าวอื้อฉาวสั่นสะเทือนความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ของคนไทยอีกคดี เมื่อ พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบก.การกระทำผิดต่อเด็ก เยาวชน และสตรี (ผบก.ปดส.) พร้อมด้วยนางปวีณา หงสกุล ที่ปรึกษา รมว.ยุติธรรม พร้อมกำลังนำหมายจับบุกตรวจค้นรัง “นายหาญ รักษาจิตร์” หรือ เณรแอ อายุ 45 ปี ถึง อ.หนองโดน จ.สระบุรี ในข้อหาฉ้อโกงหลอกลวงประชาชน
จากการตรวจค้นบ้านทรงไทยเกือบ 10 หลัง ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว้างกว่า 5 ไร่ ล้อมรั้วรอบขอบชิด แต่พบเพียงเณรแอกำลังร่วมหลับนอนอยู่กับ น.ส.น้ำ (นามสมมติ) อายุ 19 ปี ที่ถูกหลอกลวงมาทำเสน่ห์ยาแฝด ภายในบ้านถูกตกแต่งจัดเป็นห้องทำพิธีซึ่งมีโต๊ะหมู่บูชา พระพุทธรูป หัวโขน ปลัดขิก และตะกุดขนาดเล็กและใหญ่หลายร้อยอัน น้ำมันพราย รักยม กุมารทอง กะโหลกศีรษะมนุษย์ลงอักขระนับ 10 หัว หุ่นขี้ผึ้งขนาดเล็กมัดติดกันด้วยสายสิญจน์เป็นคู่ๆ จำนวนหลายสิบคู่ บางคู่ถูกปักด้วยเข็มหมุด ทั้งหมดตั้งอยู่ในถาดหน้าแท่นบูชา และใส่อยู่ในโอ่งภายนอกห้องทำพิธีอีกเต็มโอ่งใหญ่
ไสยศาสตร์ลามก-อุปกรณ์ทางเพศเพียบ
หลักฐานภาพถ่ายชายหญิงถูกเย็บติดกันจำนวนหลายร้อยภาพ ถุงยางอนามัย ยาทนเพื่อชะลอการถึงจุดสุดยอดหลายขวด ยาไวอะกร้า และชุดชั้นในผู้หญิง ซุกซ่อนอยู่เป็นจำนวนมาก ย่อมส่อให้เห็นพฤติกรรมทางเพศวิปริตของอดีตเณรแอผู้อื้อฉาวอย่างชัดเจน
โดยพฤติกรรมอดีตเณรแอนั้น จะเรียกหญิงสาวที่ขอเสน่ห์ยาแฝดเข้าห้องทำพิธีเพื่อทำเสน่ห์ ก่อนพูดจาหว่านล้อมล่อลวงให้หญิงสาวถอดเสื้อผ้าออก จากนั้นก็จะใช้ “ปลัดขิกขาช้าง” ขนาดใหญ่จิ้มไปที่อวัยวะเพศ ก่อนที่จะหลอกลวงอ้างว่าหากจะให้ได้ผลดีจะต้องใช้อวัยวะเพศของตนเองแทนปลัดขิก เมื่อฝ่ายหญิงหลงเชื่อ อดีตเณรแอจึงปฏิบัติการเจ้าเล่ห์ก่อนที่จะลงมือข่มขืนทันที โดยมีการแอบตั้งกล้องถ่ายวิดีโอไว้แบล็กเมล์ สำหรับค่าบริการจะอยู่ที่ประมาณ 3,000-15,000 บาท
เมียสุดทนพฤติกรรมอุบาทว์
นางชไมพร ภรรยาซึ่งเคยแต่งงานและจดทะเบียนสมรส ได้ขอหย่าขาดจากอดีตเณรแอเพราะทนพฤติกรรมอุบาทว์ไม่ได้ โดยช่วงหลังปี 2540 ที่อดีตเณรแอพ้นโทษออกจากคุกนั้น เริ่มมีผู้คนเข้าหาให้ทำพิธีไสยศาสตร์ต่างๆ โดยเฉพาะผู้หญิงที่เข้ามาทำพิธี ที่อดีตเณรแอจะพาเข้าห้องอย่างมิดชิดไม่ให้รู้เลยว่าทำอะไรกัน บางครั้งขณะดึกดื่นก็ยังนัดสาวๆ มาทำพิธีในห้องสองต่อสอง หรือบางครั้งมาเป็นกลุ่ม วันหนึ่งเห็นคนขับรถของอดีตเณรแอนำผู้หญิงสวยหน้าตาดีเข้าพบอดีตเณรแอกลางดึก จึงเกิดความสงสัยแอบปีนดูที่ช่องหน้าต่าง พบเณรแอกำลังมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงโดยที่ผู้หญิงไม่ขัดขืน
มีอยู่ครั้งหนึ่งเณรแอนำโรคมาสู่ภรรยา จึงขอร้องให้เลิกทำพิธีไสยศาสตร์ แต่เณรแอไม่ยอม ประกอบกับนางชไมพรซึ่งมีลูกสาวติดมาด้วย จึงกลัวว่าจะเกิดเหตุไม่ดีกับลูกสาว จึงจำเป็นต้องขอหย่าขาด
สำหรับอดีตเณรแอ เคยตกเป็นข่าวอื้อฉาวมาครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อปี 2537 ได้นำศพทารกมาย่างที่บริเวณใต้ถุนเมรุวัดหนองระกำ พร้อมกับทำพิธีปลุกเสกทำน้ำมันพรายและมีการบันทึกภาพวิดีโอเอาไว้ จนมีการนำภาพมาเผยแพร่ตามสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ทำให้กรมการศาสนาในขณะนั้นต้องเข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.อ.หนองโดน ให้ดำเนินคดีกับเณรแอพร้อมจับสึกดำเนินคดี ในข้อหาอุตริมนุษยธรรมที่ไม่มีในตัวตน ศาลจังหวัดสระบุรีได้สั่งจำคุก 1 ปี
พลิกตำนานไสยศาสตร์เดรัจฉานวิชา
เจ้าของตำนานสยองย่างเด็กปลุกเสกกุมารทอง อรรถาธิบายถึงพฤติกรรมสุดอุบาทว์ว่า หากจะทำกุมารทอง ต้องมีศพเด็กเพศชาย ส่วนกุมารีต้องอาศัยศพเด็กเพศหญิง และเมื่อนำศพเด็กออกจากโลงจำเป็นต้องตอกตะปูตรึงฝาโลงทั้งสี่ด้านเพื่อสะกดวิญญาณเด็กไม่ให้ตามรังควานก่อนเอาไปปลุกเสก
กรรมวิธีในการย่างต้องย่างไปเสกไปถึง 9 วัน 9 คืนตามตำรา จะทำให้เกิดผลดีทางด้านค้าขายแต่ถ้าทำไม่ดีก็ถึงบ้าได้ เมื่อย่างแล้วจะเอาไปดองไว้ในโหล โพกด้วยสีผึ้ง บางรายก็เป็นแบบแห้งๆ ก่อนนำขึ้นหิ้งต่ำกว่าหิ้งพระ กราบไหว้ด้วยน้ำแดง ไหว้ไข่ต้ม จุดธูปเทียนไหว้ ตามความเชื่อทางไสยศาสตร์
จนกระทั่งเกิดคดีขบวนการขโมยศพเด็กทารกหญิง ไปจากโลงศพในป่าช้าที่อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 2547 ที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่าเป็นฝีมือของแก๊งหมอผี ชื่อของ"เณรแอ" จึงถูกกล่าวขานขึ้นอีกครั้ง แม้เจ้าตัวจะปฏิเสธว่าจะเลิกเล่นไสยศาสตร์ด้านเดรัจฉานวิชา และหันมาทำไสยศาสตร์ด้านพุทธคุณแทน แต่ก็ยังไม่มีใครเชื่อว่าจะเป็นนั้นจริง เพราะจนถึงขณะนี้คดีขโมยศพทารกเพศหญิง ยังคงเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้
ตร.เผยไต๋เสน่ห์ยาแฝด “เณรแอ” ไม่ขลังอย่างที่คิด
“เณรแอ จอมขมังเวท” ไร้มนต์ขลัง-ไร้คนประกันนอนคุกต่อ!
บุกจับ “เณรแอ-จอมขมังเวท” หลังพบพฤติกรรมลวงสาว