xs
xsm
sm
md
lg

ชำระคดี “น.พ.วิสุทธิ์” หมอเลือดเย็นฆ่าหั่นเมีย

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


“หมอวิสุทธิ์เป็นผู้มีความรู้ความสามารถสูงย่อมจะใช้สติยั้งคิดในการแก้ปัญหา และเมื่อถูกจับกุมก็ยังไม่สำนึกผิด จึงไม่มีเหตุที่ศาลจะต้องปรานีเห็นควรลงโทษสถานหนัก พิพากษาประหารชีวิต” คำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีฆ่าหั่นศพ พ.ญ.ผัสพร บุญเกษมสันติ

..........

ในรอบทศวรรษนี้หากจะหยิบยกข่าวเชิงสืบสวนสอบสวนชั้นเยี่ยม ไม่ใช่ทำนองบู๊ล้างผลาญแต่เป็น “ปมฆาตกรรมซ่อนเงื่อน” ที่ต้องงัดตำราทั้งกฏหมายและนิติวิทยาศาสตร์มาผสมผสานสำหรับการหักล้างพยานแวดล้อม และพยานบุคคลที่มีอยู่เพียงน้อยนิด เพราะเกิดจากน้ำมือของผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการฆาตกรรมระดับชั้นบรมครู จนกระทั่งสามารถนำตัวผู้ต้องหาเข้าสู่การพิจารณาในชั้นศาล และตกเป็น “จำเลย” ในคดีได้ตราบเท่าทุกวันนี้นั้น

“ทีมข่าวอาชญากรรม-ผู้จัดการ” ขอยกให้ 3 คดีเหล่านี้เป็น “สุดยอดแห่งการฆาตกรรมซ่อนเงื่อน” และถือเป็นคดีเชิงสืบสวนสอบสวนชั้นเยี่ยม

ฆาตกรรม “นายห้างทอง ธรรมวัฒนะ” อดีต ส.ส.กทม. คดีปริศนาปมมรดกเลือด อยู่ในระหว่างสืบพยานในชั้นศาล คดี “เสริม สาครราษฏร์” นักศึกษาแพทย์ก่อคดีฆ่าชำแหละศพ น.ส.เจนจิรา พลอยองุ่นศรี แฟนสาวเพราะแรงหึงหวง คดีนี้ศาลฎีกาสั่งลงโทษจำคุกตลอดชีวิต สุดท้ายคงหนีไม่พ้น คดี น.พ.วิสุทธ์ บุญเกษมสันติ หัวหน้าภาควิชาสูตินรีเวชกรรม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ซึ่งในอดีตถูกเรียนขานนามว่า “อาจารย์หมอ” ฆ่าชำแหละศพ พ.ญ.ผัสพร บุญเกษมสันติ หัวหน้ากองสูตินรีเวชกรรม โรงพยาบาลบุรฉัตรไชยากร หรือโรงพยาบาลรถไฟ (มักกะสัน)

น.พ.วิสุทธิ์ จำเลยในคดีนี้ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้แก่วงการแพทย์ไทย เพราะได้ใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญในการทางแพทย์มาจัดการฆ่าและชำแหละภรรยาตัวเองอย่างแยบยล จนแทบจะไม่เหลือชิ้นส่วนไว้ให้เป็นหลักฐาน จึงถือเป็นการท้าทายฝีมือทีมสืบสวนสอบสวน ก่อนจะรวบรวบพยานหลักฐานจนสามารถคลี่คลายคดีและนำตัว น.พ.วิสุทธิ์ เข้าสู่กระบวนการพิจารณาในชั้นศาลได้ในที่สุด

***กะเทาะเปลือกแนวสืบสวน

พ.ญ.ผัสพร บุญเกษมสันติ หายตัวไปอย่างไร้รอยเมื่อวันที่ 20-22 ก.พ.2544 โดยเมื่อวันที่ 20 ก.พ. หมอวิสุทธิ์ได้วางแผนลวงแพทย์หญิงผัสพรไปรับประทานอาหารที่ห้องอาหารโออิชิ ศูนย์การค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ สองต่อสอง โดยหมอวิสุทธิ์ได้ใช้ยานอนหลับผสมในอาหารและเครื่องดื่มให้ผู้ตายกินจนเกิดอาการง่วงนอน มึนงง แล้วประคอง พ.ญ.ผัสพรออกจากห้องอาหารท่ามกลางสาธารณชน โดยหากไม่สังเกตให้ดีคงไม่ใครคาดคิดว่า พ.ญ.ผัสพรจะถูกวางยาและหมอวิสุทธิ์จะกล้าลงมือกลางร้านอาหารเช่นนี้

หมอวิสุทธิ์ได้หน่วงเหนี่ยวกักขัง พญ.ผัสพรไว้ที่ห้องพักเลขที่ 318 อาคารวิทยนิเวศน์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนที่จะใช้ของแข็งมีคมเป็นอาวุธทำการประทุษร้ายร่างกาย พ.ญ.ผัสพรจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และใช้มีดผ่าตัดแล่ชิ้นเนื้อและอวัยวะต่างๆ จากศพ ก่อนนำไปทำลายศพหรือส่วนของศพ ขณะเดียวกันได้เปิดห้องพักเลขที่ 1631 โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทรัลพลาซา แล้วได้ยักย้ายซ่อนเร้นศพ นำชิ้นเนื้อ เนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ของศพไปลอบฝัง ลอบทิ้งในสถานที่ต่างๆ อันเป็นการซ่อนเร้นทำลายศพ เพื่อปิดบังการตายและเหตุแห่งการตาย

21 ก.พ. หมอวิสุทธิ์ได้ปลอมหนังสือขอลางานของ พ.ญ.ผัสพร เพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าเอกสารปลอมดังกล่าว พ.ญ.ผัสพรได้ทำขึ้นจริง และเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของบุคคลที่ใกล้ชิด พญ.ผัสพรให้หลงเชื่อว่ายังมีชีวิตอยู่ แต่ที่ไม่ได้พบเห็นเพราะผู้ตายไปประกอบศาสนกิจปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ ฝึกจิตใจ ภายหลังจากที่หมอวิสุทธิ์ได้ทำเอกสารปลอมได้ใช้และอ้างเอกสารหนังสือที่จำเลยได้ทำปลอมขึ้นยื่นต่อนายสุรังษี จงวิวัฒน์สุนทร หัวหน้างานผู้ตาย

และได้ปลอมจดหมายถึงนายชัชวาล และนางสาวกิ่งกาญจน์ บุญเกษมสันติ บุญชายและบุตรสาว เพื่อให้บุตรทั้งสองและผู้อื่นหลงเชื่อว่าเอกสารปลอมดังกล่าว พ.ญ.ผัสพรได้ทำขึ้นจริง และเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของบุตรทั้งสอง และบุคคลที่ใกล้ชิด

***หลักฐานเด็ดมัดหมอวิสุทธิ์

22 มี.ค. 2544 พนักงานสอบสวนเข้าตรวจสอบที่ห้องพักเลขที่ 318 อาคารวิทยนิเวศน์ พบคราบโลหิตที่ผ้าม่านและพบชิ้นเนื้อในบ่อพักสิ่งปฏิกูลหนัก 330 กรัม และสืบทราบว่าจำเลยได้เปิดห้องที่โรงแรมโซฟิเทลฯ ก่อนเข้าตรวจค้นพบชิ้นเนื้อมนุษย์ในบ่อพักสิ่งปฏิกูล จากการชันสูตรชิ้นเนื้อของเจ้าหน้าที่สถาบันนิติเวชที่อาคารวิทยนิเวศน์ พบว่าเป็นชิ้นเนื้อบริเวณลำตัว เป็นเศษของกระบังลม ผนังลำไส้ พังผืดไขมัน และยังพบชิ้นส่วนบริเวณต้นขาและแขน หนักประมาณ 3,330 กรัม ซึ่งชิ้นเนื้อดังกล่าวถูกแล่ด้วยของมีคมลักษณะประณีต เสียชีวิตมาประมาณ 3-4 สัปดาห์ ใกล้เคียงกับช่วงเวลาที่ผู้ตายหายตัวไป จึงเชื่อว่าเป็นเนื้อจากศพผู้ตาย ที่เกิดจากการฆาตกรรมอำพราง

และจากหลักฐานซึ่งเป็นวิดีโอวงจรปิดภายในร้านโออิชิ ประกอบกับหมายเลขโทรศัพท์ของหมอวิสุทธิ์ซึ่งได้ติดต่อกับ พ.ญ.ผัสพรก่อนจะหายตัวไปครั้งสุดท้าย อีกทั้งพนักงานในร้านโออิชิระบุว่าเห็นหมอวิสุทธิ์นั่งอยู่ที่ร้านกับ พ.ญ.ผัสพร ก่อนที่จะเดินคล้องแขนกับ พ.ญ.ผัสพรออกไปในลักษณะพยุง และพบพิรุธในจดหมายลางาน เนื่องจาก พ.ญ.ผัสพรไม่ชอบพิมพ์ดีดหรือใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ และได้รับคำยืนยันจากเจ้าหน้าที่รับพิมพ์งานในย่านดังกล่าวระบุว่าหมอวิสุทธิ์ได้ว่าจ้างให้พิมพ์จดหมายและจ่าหน้าซองจดหมายรวม 2 ฉบับ ฉบับแรกส่งให้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบุรฉัตรไชยากร อีกฉบับส่งให้บุตร โดยลงชื่อว่า พ.ญ.ผัสพร อีกทั้งบุคคลทั้งสองมีเรื่องทะเลาวิวาทกันอย่างรุนแรงมาก่อนหน้านี้

*** ไม่มีเหตุบรรเทาโทษ

จากพยานหลักฐานบุคคล-พยานแวดล้อม รวมทั้งผลการพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ จึงมีน้ำหนักเพียงพอที่ทำให้ศาลชั้นต้นเชื่อว่า น.พ.วิสุทธิ์เป็นผู้ลงมือฆ่าหั่นศพภรรยาตัวเองจริง 7 ต.ค.46 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ประหารชีวิต น.พ.วิสุทธิ์ โดยให้เหตุผลว่า “จำเลยเป็นผู้มีความรู้ความสามารถสูงย่อมจะใช้สติยั้งคิดในการแก้ปัญหาโดยไม่ใช้วิธีดังกล่าว และเมื่อจำเลยถูกจับกุมก็ยังไม่สำนึกผิด ให้การปฏิเสธต่อสู้คดีตลอดมา จึงไม่มีเหตุที่ศาลจะต้องปรานี เห็นควรลงโทษสถานหนัก พิพากษาประหารชีวิตจำเลยสถานเดียว”

*** บิดา พ.ญ.ผัสพรเข็นคดีขึ้นศาล

คดีนี้เกือบจะถูกปิดฉากไปแล้วตั้งแต่วันที่ 9 พ.ค. 2544 หลังพนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้อง น.พ.วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ รวม 4 ข้อหาหนัก ให้อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 4 แต่อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง จนกระทั่งนายโชติ วัฒนเชษฐ์ บิดาของ พ.ญ.ผัสพร บุญเกษมสันติ ต้องลุกออกมาต่อสู้คดีด้วยตนเอง เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 44 จนกระทั่งหมอวิสุทธิ์ถูกศาลพิพากษาให้ประหารชีวิต

กว่า 4 ปีเต็มกับการลุกขึ้นต่อสู้เพื่อหาความเป็นธรรมให้กับตระกูล “วัฒนเชษฐ์” และในวันพรุ่งนี้คงจะถือว่าเป็นวันสำคัญที่จะพิสูจน์กระบวนการยุติธรรมอีกครั้ง โดยขณะนี้เหลือเพียง 3 ทางออกในชั้นอุทธรณ์สำหรับ นพ.วิสุทธิ์ คือพิพากษายืน กลับคำพิพากษาหรือยกฟ้อง แต่เชื่อแน่ว่าสุดท้ายคดีนี้คงจะต้องว่ากันถึงชั้นฎีกา

การลุกขึ้นต่อสู้ของบิดา พ.ญ.ผัสพร เพื่อเรียกหาความเป็นธรรมให้กับบุตรสาวได้พิสูจน์แล้วถึงหัวอกของผู้เป็นพ่อ แม้จะปรากฏรอยยิ้มที่แปดเปื้อนอยู่บนคราบน้ำตาหลังทราบคำตัดสิน แต่คงไม่สามารถลบล้างความอาลัยต่อการจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับของแพทย์หญิงผัสพร บุญเกษมสันติได้






กำลังโหลดความคิดเห็น