ศาลอาญากรุงเทพใต้ พิพากษาจำคุก “พิชัย เมธีปรีชากุล” คดีปั่นหุ้นบริษัทอุตสาหกรรมผ้าเคลือบพลาสติกไทย จำกัด (มหาชน) (TCOAT) โดยให้จำคุก 2 ปี และปรับ 27 ล้านบาทเศษ
วันนี้ (24 มิ.ย) ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลได้มีคำพิพากษาลงโทษ นายพิชัย เมธีปรีชากุล กรณีสร้างราคาหลักทรัพย์ (ปั่นหุ้น) บริษัทอุตสาหกรรมผ้าเคลือบพลาสติกไทย จำกัด (มหาชน) (TCOAT) โดยพิพากษาจำคุก 2 ปี และปรับ 2 เท่าของผลประโยชน์ที่ได้รับ เป็นเงิน 27 ล้านบาทเศษ
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2542 ก.ล.ต.ได้กล่าวโทษบุคคลรวม 2 ราย ได้แก่ นายเลิศชัย เจริญอาภรณ์วัฒนา และนายพิชัย เมธีปรีชากุล กรณีร่วมกันทำการปั่นหุ้น TCOAT ในช่วงวันที่ 11 สิงหาคม 2537 ถึงวันที่ 27 กันยายน 2537
ในการนี้ พนักงานอัยการได้มีคำสั่งฟ้องผู้กระทำความผิดทั้ง 2 ราย ซึ่งต่อมา นายพิชัย เมธีปรีชากุล ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่า จำเลยมีการกระทำความผิดตามมาตรา 243 (1) (2) และมาตรา 244 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ซึ่งต้องระวางโทษตามมาตรา 296 แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน จึงได้ลงโทษโดยจำคุก 2 ปี และปรับ 2 เท่าของผลประโยชน์ที่ได้รับ ปรับเป็นเงิน 27 ล้านบาทเศษ
ซึ่งโทษดังกล่าวเป็นการลงโทษตามระวางโทษสูงสุดที่กฎหมายกำหนด ส่วนนายเลิศชัย เจริญอาภรณ์วัฒนา ได้หลบหนี และพนักงานสอบสวนยังไม่สามารถจับกุมตัวได้จนคดีหมดอายุความ
วันนี้ (24 มิ.ย) ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลได้มีคำพิพากษาลงโทษ นายพิชัย เมธีปรีชากุล กรณีสร้างราคาหลักทรัพย์ (ปั่นหุ้น) บริษัทอุตสาหกรรมผ้าเคลือบพลาสติกไทย จำกัด (มหาชน) (TCOAT) โดยพิพากษาจำคุก 2 ปี และปรับ 2 เท่าของผลประโยชน์ที่ได้รับ เป็นเงิน 27 ล้านบาทเศษ
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2542 ก.ล.ต.ได้กล่าวโทษบุคคลรวม 2 ราย ได้แก่ นายเลิศชัย เจริญอาภรณ์วัฒนา และนายพิชัย เมธีปรีชากุล กรณีร่วมกันทำการปั่นหุ้น TCOAT ในช่วงวันที่ 11 สิงหาคม 2537 ถึงวันที่ 27 กันยายน 2537
ในการนี้ พนักงานอัยการได้มีคำสั่งฟ้องผู้กระทำความผิดทั้ง 2 ราย ซึ่งต่อมา นายพิชัย เมธีปรีชากุล ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่า จำเลยมีการกระทำความผิดตามมาตรา 243 (1) (2) และมาตรา 244 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ซึ่งต้องระวางโทษตามมาตรา 296 แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน จึงได้ลงโทษโดยจำคุก 2 ปี และปรับ 2 เท่าของผลประโยชน์ที่ได้รับ ปรับเป็นเงิน 27 ล้านบาทเศษ
ซึ่งโทษดังกล่าวเป็นการลงโทษตามระวางโทษสูงสุดที่กฎหมายกำหนด ส่วนนายเลิศชัย เจริญอาภรณ์วัฒนา ได้หลบหนี และพนักงานสอบสวนยังไม่สามารถจับกุมตัวได้จนคดีหมดอายุความ