ใครว่าหว่านพืชไม่หวังผล เป็นไปไม่ได้ ไม่เว้นกระทั่ง ด.ต.วิชัย สุริยุทธ ผบ.หมู่งานป้องกันปราบปราม สภ.อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ ที่ปลูกต้นไม้กว่า 2 ล้านต้น เพื่อหวังผล แต่ผลที่หวังไม่ได้เพื่อตัวเอง !!!
ชีวิตของดาบวิชัย ดาบตำรวจผู้พลิกแผ่นดิน เริ่มต้นที่บ้านนาโนน ต.ลำโขง (ปัจจุบันเป็นต.หนองไฮ) อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ ที่นั่นมีแต่ความแห้งแล้ง พ่อแม่ทำนา ฐานะทางบ้านยากจน ต้องรับจ้างทำงานสารพัดทั้งกรรมกรก่อสร้าง จับกัง กระทั่งได้เรียนที่โรงเรียนอุทุมพรพิสัย ศรีสะเกษวิทยาลัย และจบโรงเรียนพลตำรวจ 3 จังหวัดนครราชสีมา รับราชการตำรวจ เมื่อ พ.ศ.2511 ประจำ สภ.อ. เมืองศรีสะเกษ ต่อมาในปี พ.ศ.2513 ย้ายมาประจำ สภ.อ.ปรางค์กู่ตำแหน่งธุรการงานสอบสวน จนถึงปัจจุบัน
หลังจากได้เข้าร่วมอบรมโครงการแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง เมื่อ พ.ศ.2530 ที่เน้น เรื่องความสงบสุขของชาวบ้าน และเศรษฐกิจพอเพียง มีการนำเสนอโครงการ ชุมชนชีวิตใหม่ เน้นเชิดชูคนดีที่เสียสละเวลาเพื่อส่วนรวม โดยเริ่มต้นที่ตัวเอง ไม่เรียกร้องความช่วยเหลือจากใคร โดยเฉพาะจากสอนว่า "เราต้องขยันอย่างฉลาด และต้องปราศจากอบายมุข เราจะต้องพึ่งตนเองให้ได้อย่างมีศักดิ์ศรีโดยไม่เบียดเบียนใคร ความทุกข์ของเพื่อนบ้านคือภารกิจที่เราต้องร่วมกันแก้ไข เมื่อเรามีเพื่อนบ้านดีก็ไม่ต้องมีรั้วบ้าน การทำงานหนักคือดอกไม้ของชีวิต" ทำให้เกิดแง่คิดมากและเนื่องจาก อ.ปรางค์กู่เป็นอำเภอที่ยากจนที่สุดของ จ.ศรีสะเกษ ผืนดินมีแต่ความแห้งแล้ง 4 โครงการ ปลูกต้นไม้ในที่สาธารณะเพื่อส่วนรวม จึงเกิดขึ้น คือรณรงค์ปลูกต้นยางนา เพื่อเอาไว้สร้างบ้านเรือน รณรงค์ปลูกต้นตาล ซึ่งเป็นพืชสารพัดประโยชน์ ใช้ได้ทั้งต้น กาบ ใบ ลูก รวมทั้งจาวตาลและคอตาล ต้นตาลปลูกง่ายโตเร็วและทนทาน รณรงค์ปลูกต้นคูน ต้นไม้ประจำภาคอีสานและประจำชาติไทย ดอกเหลืองอร่ามบานสะพรั่งตลอดหน้าแล้ง รณรงค์ให้เปลี่ยนการทำนาปีเป็นไร่นาสวนผสม เพราะ “ทำนาปีมีแต่หนี้กับพัง ทำนาปรังมีแต่พังกับหนี้ ถ้าทำทั้งนาปีและนาปรังก็มีแต่หนี้อีนุงตุงนัง”
กว่า 18 ปี ที่ ด.ต.วิชัย ที่เริ่มต้นลงมือปลูกต้นไม้ เหมือนเป็นหน้าที่ที่ต้องทำทุกวัน บางคนว่าบ้า บางคนว่าเพี้ยน แต่คำพูดเหล่านี้ไม่ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของดาบวิชัย ที่ยังคงดำเนินต่อไป
"ทุกเช้าผมจะออกจากบ้านตั้งแต่ตีห้ากว่าๆ เอาเมล็ดตาล เมล็ดพันธุ์ใส่ถุงปุ๋ย ใส่ท้ายมอเตอร์ไซค์ตระเวนไปเรื่อย ๆ แม้ฝนตกผมก็ยังไป เมื่อถึงเวลาก็กลับมาอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานหลังเลิกงานก็ไปอีก ยิ่งถ้ารู้ว่าที่ไหนลอกคลอง ขุดบึง ถมที่ ผมจะไปทันที เพราะการขุดคลองต้องล้วงดินขึ้นมา ดินมันจะโปร่ง ผมก็แค่เอาเมล็ดไปหยอด มันก็ขึ้นของมันเอง ผมปลูกทุกแห่งในที่สาธารณะ ตามถนนหนทาง วัด ป่าช้า ไร่นา หลายคนเขาว่าผมบ้า ผมก็ไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไร ทำเป็นกิจวัตรมาตลอดเวลา 18 ปี ไม่มีใครสั่งไม่มีใครบังคับ วันไหนไม่ได้ปลูกต้นไม้ก็เหมือนพระไม่ได้ออกบิณฑบาต จนปัจจุบันปลูกต้นไม้ไปแล้วกว่า 2 ล้านต้น" ดาบวิชัยเล่าอย่างภาคภูมิใจ
ด.ต.วิชัยเริ่มต้นรณรงค์ชาวบ้านตามโครงการทั้ง 4 ที่ตั้งไว้ตั้งแต่ พ.ศ.2531 จนเห็นเป็นรูปธรรมและได้รับการยอมรับจากชาวบ้าน กระทั่งวันที่ 5 ก.ค. พ.ศ.2543ประชาคม อ.ปรางค์กู่ทั้ง 10 ตำบล ได้พร้อมใจกันลงมติให้ใช้ 4 โครงการนี้เป็นคำขวัญของ อ.ปรางค์กู่ ที่ว่า “ปรางค์กู่อยู่ในป่ายางกลางดงตาล บานสะพรั่งดอกคูน บริบูรณ์ไร่นาสวนผสม”
“ช่วงแรกที่เริ่มปลูกต้นไม้ชาวบ้านไม่ค่อยรู้เรื่องและไม่เข้าใจ เผาฟาง หรือจุดไฟเพื่อจับหนูนามากิน เกิดปัญหาไฟลามทุ่ง จนต้นไม้ที่ผมปลูกไว้ต้องตาย ชาวบ้านบางคนคิดว่าต้นตาลที่ผมปลูกใกล้ที่เขามากไป เลยไปหาต้นยูคาลิปตัสมาปลูกทับ ต้นตาลมันเลยไม่ขึ้น แม้จะเจ็บใจอยู่บ้างแต่ไม่เคยท้อ และจะปลูกต่อไปเพราะผมมั่นใจว่าชาวบ้านจะได้ใช้ประโยชน์ จนเดี๋ยวนี้ก็เห็นกันแล้ว หลายคนเอาตาลที่ผมปลูกไปทำรั้วบ้าน ทำคอกเป็ดคอกไก่ ทำไม้กวาดขาย ทั้งลูกตาล ขนมตาล สารพัด ก็เริ่มต้นจากคนบ้าอย่างผมนี่แหละ” ดาบวิชัยเล่าด้วยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิ
คนดี ทำดีย่อมเห็นผลเมื่อ ด.ต.วิชัยได้รับรางวัลเกียรติบัตรยกย่องเชิดชูจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ในฐานะผู้บำเพ็ญประโยชน์ต่อพุทธศาสนา ในด้านส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2544 ได้รับพระราชทานรางวัลเสาเสมาธรรมจักร สาขาส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2544 ได้รับโล่ พร้อมใบประกาศเกียรติคุณ และรางวัลลูกโลกสีเขียว ประเภทบุคคล รางวัลชมเชย จากนายอานันท์ ปันยารชุน เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ.2544 และล่าสุดมูลนิธิบุณยะจินดา โดย พล.ต.อ.พจน์ บุณยะจินดา อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ประธานมูลนิธิ มอบเงินสดจำนวน 1 แสนบาท แก่ ด.ต.พิชัย ที่สร้างผลงานดีเด่นเป็นที่ประจักษ์และยกย่องต่อสังคม
แม้ได้เงินมาจำนวน1 แสนบาทแต่สิ่งที่ ด.ต.วิชัยคิดคือ การทำหน้าที่ในการปลูกต้นไม้ต่อไป เงินส่วนหนึ่งจะนำมาใช้สำหรับต่อเติมบ้านที่พักอาศัย ที่เหลือนำมาทำเรือนเพาะชำต้นกล้าเพื่อปลูกในพื้นที่ที่ตั้งใจไว้ ทั้ง 10 ตำบลใน อ.ปรางค์กู่ และเส้นทางสายปรางค์กู่–อุทุมพรพิสัย เป็นอีกเส้นหนึ่งที่จะปลูกเพิ่มด้วย
แม้ทำหน้าที่มายาวนานจนใกล้จะเกษียณอายุราชการ แต่ก็จะยังคงทำหน้าที่ ลูกต้นไม้ต่อไปจนกว่าจะตาย สมกับสโลแกนที่ว่า..แรงใจไม่มีวันหมดไปจาก"ดาบวิชัย"แน่นอน









ชีวิตของดาบวิชัย ดาบตำรวจผู้พลิกแผ่นดิน เริ่มต้นที่บ้านนาโนน ต.ลำโขง (ปัจจุบันเป็นต.หนองไฮ) อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ ที่นั่นมีแต่ความแห้งแล้ง พ่อแม่ทำนา ฐานะทางบ้านยากจน ต้องรับจ้างทำงานสารพัดทั้งกรรมกรก่อสร้าง จับกัง กระทั่งได้เรียนที่โรงเรียนอุทุมพรพิสัย ศรีสะเกษวิทยาลัย และจบโรงเรียนพลตำรวจ 3 จังหวัดนครราชสีมา รับราชการตำรวจ เมื่อ พ.ศ.2511 ประจำ สภ.อ. เมืองศรีสะเกษ ต่อมาในปี พ.ศ.2513 ย้ายมาประจำ สภ.อ.ปรางค์กู่ตำแหน่งธุรการงานสอบสวน จนถึงปัจจุบัน
หลังจากได้เข้าร่วมอบรมโครงการแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง เมื่อ พ.ศ.2530 ที่เน้น เรื่องความสงบสุขของชาวบ้าน และเศรษฐกิจพอเพียง มีการนำเสนอโครงการ ชุมชนชีวิตใหม่ เน้นเชิดชูคนดีที่เสียสละเวลาเพื่อส่วนรวม โดยเริ่มต้นที่ตัวเอง ไม่เรียกร้องความช่วยเหลือจากใคร โดยเฉพาะจากสอนว่า "เราต้องขยันอย่างฉลาด และต้องปราศจากอบายมุข เราจะต้องพึ่งตนเองให้ได้อย่างมีศักดิ์ศรีโดยไม่เบียดเบียนใคร ความทุกข์ของเพื่อนบ้านคือภารกิจที่เราต้องร่วมกันแก้ไข เมื่อเรามีเพื่อนบ้านดีก็ไม่ต้องมีรั้วบ้าน การทำงานหนักคือดอกไม้ของชีวิต" ทำให้เกิดแง่คิดมากและเนื่องจาก อ.ปรางค์กู่เป็นอำเภอที่ยากจนที่สุดของ จ.ศรีสะเกษ ผืนดินมีแต่ความแห้งแล้ง 4 โครงการ ปลูกต้นไม้ในที่สาธารณะเพื่อส่วนรวม จึงเกิดขึ้น คือรณรงค์ปลูกต้นยางนา เพื่อเอาไว้สร้างบ้านเรือน รณรงค์ปลูกต้นตาล ซึ่งเป็นพืชสารพัดประโยชน์ ใช้ได้ทั้งต้น กาบ ใบ ลูก รวมทั้งจาวตาลและคอตาล ต้นตาลปลูกง่ายโตเร็วและทนทาน รณรงค์ปลูกต้นคูน ต้นไม้ประจำภาคอีสานและประจำชาติไทย ดอกเหลืองอร่ามบานสะพรั่งตลอดหน้าแล้ง รณรงค์ให้เปลี่ยนการทำนาปีเป็นไร่นาสวนผสม เพราะ “ทำนาปีมีแต่หนี้กับพัง ทำนาปรังมีแต่พังกับหนี้ ถ้าทำทั้งนาปีและนาปรังก็มีแต่หนี้อีนุงตุงนัง”
กว่า 18 ปี ที่ ด.ต.วิชัย ที่เริ่มต้นลงมือปลูกต้นไม้ เหมือนเป็นหน้าที่ที่ต้องทำทุกวัน บางคนว่าบ้า บางคนว่าเพี้ยน แต่คำพูดเหล่านี้ไม่ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของดาบวิชัย ที่ยังคงดำเนินต่อไป
"ทุกเช้าผมจะออกจากบ้านตั้งแต่ตีห้ากว่าๆ เอาเมล็ดตาล เมล็ดพันธุ์ใส่ถุงปุ๋ย ใส่ท้ายมอเตอร์ไซค์ตระเวนไปเรื่อย ๆ แม้ฝนตกผมก็ยังไป เมื่อถึงเวลาก็กลับมาอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานหลังเลิกงานก็ไปอีก ยิ่งถ้ารู้ว่าที่ไหนลอกคลอง ขุดบึง ถมที่ ผมจะไปทันที เพราะการขุดคลองต้องล้วงดินขึ้นมา ดินมันจะโปร่ง ผมก็แค่เอาเมล็ดไปหยอด มันก็ขึ้นของมันเอง ผมปลูกทุกแห่งในที่สาธารณะ ตามถนนหนทาง วัด ป่าช้า ไร่นา หลายคนเขาว่าผมบ้า ผมก็ไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไร ทำเป็นกิจวัตรมาตลอดเวลา 18 ปี ไม่มีใครสั่งไม่มีใครบังคับ วันไหนไม่ได้ปลูกต้นไม้ก็เหมือนพระไม่ได้ออกบิณฑบาต จนปัจจุบันปลูกต้นไม้ไปแล้วกว่า 2 ล้านต้น" ดาบวิชัยเล่าอย่างภาคภูมิใจ
ด.ต.วิชัยเริ่มต้นรณรงค์ชาวบ้านตามโครงการทั้ง 4 ที่ตั้งไว้ตั้งแต่ พ.ศ.2531 จนเห็นเป็นรูปธรรมและได้รับการยอมรับจากชาวบ้าน กระทั่งวันที่ 5 ก.ค. พ.ศ.2543ประชาคม อ.ปรางค์กู่ทั้ง 10 ตำบล ได้พร้อมใจกันลงมติให้ใช้ 4 โครงการนี้เป็นคำขวัญของ อ.ปรางค์กู่ ที่ว่า “ปรางค์กู่อยู่ในป่ายางกลางดงตาล บานสะพรั่งดอกคูน บริบูรณ์ไร่นาสวนผสม”
“ช่วงแรกที่เริ่มปลูกต้นไม้ชาวบ้านไม่ค่อยรู้เรื่องและไม่เข้าใจ เผาฟาง หรือจุดไฟเพื่อจับหนูนามากิน เกิดปัญหาไฟลามทุ่ง จนต้นไม้ที่ผมปลูกไว้ต้องตาย ชาวบ้านบางคนคิดว่าต้นตาลที่ผมปลูกใกล้ที่เขามากไป เลยไปหาต้นยูคาลิปตัสมาปลูกทับ ต้นตาลมันเลยไม่ขึ้น แม้จะเจ็บใจอยู่บ้างแต่ไม่เคยท้อ และจะปลูกต่อไปเพราะผมมั่นใจว่าชาวบ้านจะได้ใช้ประโยชน์ จนเดี๋ยวนี้ก็เห็นกันแล้ว หลายคนเอาตาลที่ผมปลูกไปทำรั้วบ้าน ทำคอกเป็ดคอกไก่ ทำไม้กวาดขาย ทั้งลูกตาล ขนมตาล สารพัด ก็เริ่มต้นจากคนบ้าอย่างผมนี่แหละ” ดาบวิชัยเล่าด้วยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิ
คนดี ทำดีย่อมเห็นผลเมื่อ ด.ต.วิชัยได้รับรางวัลเกียรติบัตรยกย่องเชิดชูจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ในฐานะผู้บำเพ็ญประโยชน์ต่อพุทธศาสนา ในด้านส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2544 ได้รับพระราชทานรางวัลเสาเสมาธรรมจักร สาขาส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2544 ได้รับโล่ พร้อมใบประกาศเกียรติคุณ และรางวัลลูกโลกสีเขียว ประเภทบุคคล รางวัลชมเชย จากนายอานันท์ ปันยารชุน เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ.2544 และล่าสุดมูลนิธิบุณยะจินดา โดย พล.ต.อ.พจน์ บุณยะจินดา อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ประธานมูลนิธิ มอบเงินสดจำนวน 1 แสนบาท แก่ ด.ต.พิชัย ที่สร้างผลงานดีเด่นเป็นที่ประจักษ์และยกย่องต่อสังคม
แม้ได้เงินมาจำนวน1 แสนบาทแต่สิ่งที่ ด.ต.วิชัยคิดคือ การทำหน้าที่ในการปลูกต้นไม้ต่อไป เงินส่วนหนึ่งจะนำมาใช้สำหรับต่อเติมบ้านที่พักอาศัย ที่เหลือนำมาทำเรือนเพาะชำต้นกล้าเพื่อปลูกในพื้นที่ที่ตั้งใจไว้ ทั้ง 10 ตำบลใน อ.ปรางค์กู่ และเส้นทางสายปรางค์กู่–อุทุมพรพิสัย เป็นอีกเส้นหนึ่งที่จะปลูกเพิ่มด้วย
แม้ทำหน้าที่มายาวนานจนใกล้จะเกษียณอายุราชการ แต่ก็จะยังคงทำหน้าที่ ลูกต้นไม้ต่อไปจนกว่าจะตาย สมกับสโลแกนที่ว่า..แรงใจไม่มีวันหมดไปจาก"ดาบวิชัย"แน่นอน