ลูกสาวโวย แม่ใช้บัตรทอง30บาทรักษาทุกโรคผ่าตัดไส้ติ่งที่โรงพยาบาล สุดท้ายสิ้นลม ต้องเข้าร้องกองปราบให้แพทย์ออกมาชี้แจงสาเหตุ หลังติดต่อไปหลายครั้ง ไม่ได้รับการใส่ใจ
วันนี้ (29 เม.ย.) ที่กองปราบปราม น.ส.อุษา เปรมประจิม อายุ 31 ปี และน.ส.อักษร เปรมประจิม อายุ 26 ปี สองพี่น้อง พร้อมด้วยนายวรพจน์ พิชัย ทนายความ เดินทางเข้าพบ พ.ต.ต.เหรียญ บัวลา พงส.(สบ 2 ) ผ.4 กก.1 ป. เพื่อแจ้งความร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมกรณีที่น.ส.หนูแดง แฉ่งเกษม อายุ 48 ปี มารดาเข้ารับการผ่าตัดไส้ติ่งที่โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1 และเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยก่อนที่ น.ส.หนูแดง จะเสียชีวิตนั้นได้เกิดอาการผิดปกติขึ้น ซึ่งคาดว่าเกิดจากโรคเบาหวานกำเริบ แต่กลับมีเพียงพยาบาลเท่านั้นที่เข้ามาดูแล กว่าแพทย์จะมาถึงก็ผ่านไปหลายชั่วโมงจนทำให้การรักษามารดาไม่ทันท่วงที
น.ส.อุษา เปิดเผยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 เม.ย. ที่ผ่านมา มารดามีอาการเจ็บที่บริเวณท้อง จึงพาไปพบแพทย์ที่คลีนิควิชัย ปทุมพร ซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านพัก โดยแพทย์ตรวจรักษาแล้วพบว่า มารดาป่วยเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบและได้ออกใบตรวจแพทย์ให้ ก่อนจะเข้ารับการรักษาต่อที่โรงพยาบาลดังกล่าว เนื่องจากมารดามีบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรคอยู่ เมื่อไปถึงได้ทำทะเบียนประวัติคนไข้ จากนั้นเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลแจ้งว่า ให้รอแพทย์ศัลยกรรมซึ่งจะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ หลังจากเวลาผ่านไปได้ประมาณ 3 ชั่วโมง จึงได้รับการผ่าตัดเมื่อเวลา 16.00 น. ใช้เวลาอีก 3 ชั่วโมงถึงเสร็จสิ้น หลังจากนั้น แพทย์ได้พามารดาไปพักฟื้นที่ห้องพักผู้ป่วยรวม บริเวณชั้น 5 ซึ่งหลังการผ่าตัดมารดายังรู้สึกตัว และสามารถสนทนาโต้ตอบกับตนได้เป็นปกติ ตนจึงเดินทางกลับไปพักผ่อนที่บ้าน
น.ส.อุษา กล่าวต่อว่า ต่อมาเวลาประมาณ 02.00 น.วันที่ 24 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้รับการติดต่อจากพยาบาลว่า มารดาต้องการพูดคุยผ่านทางโทรศัพท์กับตน โดยมารดาบอกว่า แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก และนอนไม่หลับ ซึ่งมารดาบอกว่า อาจจะเกิดจากโรคเบาหวานที่เป็นอยู่ ตนจึงขอให้พยาบาลช่วยเรียกแพทย์มาตรวจดูอาการ หรือจัดยาให้ แต่นางพยาบาลแจ้งให้ตนนำยามาให้มารดาเอง แต่ตนก็ยังไม่ได้ไปหาเพราะมารดาบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก ไม่ต้องเป็นห่วง จึงคิดว่าไม่เป็นไรเพราะมารดาก็ยังพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล
“หลังจากนั้น ตอน 7 โมงเช้า วันที่ 25 เมษายน ดิฉันกับน้องสาวจึงมาหาแม่ที่โรงพยาบาล พบว่าแม่มีอาการเหงื่อออกมาก แน่นหน้าอก และหายใจไม่ออก จึงแจ้งให้พยาบาลทราบ ประมาณ 2 ชั่วโมงหลังจากนั้น จึงมีแพทย์เวร มาดูอาการ เมื่อเห็นอาการแพทย์ได้พาแม่เข้าห้องไอซียู โดยใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลา ดิฉันรู้สึกตกใจ จึงได้ถามจากแพทย์คนดังกล่าวก็ได้รับคำตอบว่า แม่มีอาการติดเชื้อทางกระแสโลหิต ซึ่งน่าจะเกิดจากเครื่องมือที่ไม่สะอาดและปัจจัยอื่น ๆ ระหว่างการผ่าตัดไส้ติ่ง กระทั่ง 6 โมงเย็นวันเดียวกัน แม่ก็เสียชีวิต” น.ส.อุษา กล่าวทั้งน้ำตา
น.ส.อุษา กล่าวว่า หลังจากมารดาเสียชีวิต ได้พยายามติดต่อกับแพทย์ที่ทำการรักษามารดาถึงสาเหตุการเสียชีวิตและขั้นตอนในการรักษา แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ จึงขอเข้าพบผู้อำนวยการโรงพยาบาลแต่ก็ถูกบ่ายเบี่ยงจากเจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้เข้าพบ ซึ่งตนเสียใจมากเพราะตั้งแต่มารดามาเข้ารับการรักษา ตนไม่เคยเห็นหน้าแพทย์ จึงอยากทราบว่า ทางโรงพยาบาลแบ่งแยกระหว่างคนไข้ที่รักษาด้วยบัตรทองกับคนไข้ที่ไม่ใช้บัตรทองใช่หรือไม่ หรือว่าเป็นเพราะบัตร 30 บาทถึงทำให้มารดาเสียชีวิต ทั้งนี้ เชื่อว่าหากมารดาได้รับการใส่ใจในการรักษารวมทั้งมีแพทย์ดูแลใกล้ชิดคงไม่ต้องมาเสียชีวิตเพียงเพราะแค่การได้รับการผ่าตัดไส้ติ่งเท่านั้น ยังไม่คิดไปถึงขั้นแจ้งความดำเนินคดีหรือเรียกร้องค่าเสียหายใดๆ เพราะอยากให้ทางโรงพยาบาลออกมาชี้แจงเรื่องดังกล่าวให้ชัดเจนมากกว่านี้เท่านั้น
ด้านนายวรพจน์ กล่าวว่า ทางผู้เสียหายได้เข้าร้องขอความเป็นธรรมให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในการรักษา น.ส.หนูแดง ซึ่งหากพบว่าเป็นการกระทำด้วยความประมาท หรือเป็นความผิดพลาดของแพทย์ทางผู้เสียหายก็จะฟ้องร้องดำเนินคดีต่อไป
เบื้องต้นทางพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำผู้เสียหายไว้เป็นหลักฐานจากนั้นจะได้ส่งเรื่องให้ทางแพทยสภาตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวอีกครั้งหากแพทยสภาเห็นว่ามีความผิดจึงจะดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป
วันนี้ (29 เม.ย.) ที่กองปราบปราม น.ส.อุษา เปรมประจิม อายุ 31 ปี และน.ส.อักษร เปรมประจิม อายุ 26 ปี สองพี่น้อง พร้อมด้วยนายวรพจน์ พิชัย ทนายความ เดินทางเข้าพบ พ.ต.ต.เหรียญ บัวลา พงส.(สบ 2 ) ผ.4 กก.1 ป. เพื่อแจ้งความร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมกรณีที่น.ส.หนูแดง แฉ่งเกษม อายุ 48 ปี มารดาเข้ารับการผ่าตัดไส้ติ่งที่โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1 และเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยก่อนที่ น.ส.หนูแดง จะเสียชีวิตนั้นได้เกิดอาการผิดปกติขึ้น ซึ่งคาดว่าเกิดจากโรคเบาหวานกำเริบ แต่กลับมีเพียงพยาบาลเท่านั้นที่เข้ามาดูแล กว่าแพทย์จะมาถึงก็ผ่านไปหลายชั่วโมงจนทำให้การรักษามารดาไม่ทันท่วงที
น.ส.อุษา เปิดเผยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 เม.ย. ที่ผ่านมา มารดามีอาการเจ็บที่บริเวณท้อง จึงพาไปพบแพทย์ที่คลีนิควิชัย ปทุมพร ซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านพัก โดยแพทย์ตรวจรักษาแล้วพบว่า มารดาป่วยเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบและได้ออกใบตรวจแพทย์ให้ ก่อนจะเข้ารับการรักษาต่อที่โรงพยาบาลดังกล่าว เนื่องจากมารดามีบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรคอยู่ เมื่อไปถึงได้ทำทะเบียนประวัติคนไข้ จากนั้นเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลแจ้งว่า ให้รอแพทย์ศัลยกรรมซึ่งจะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ หลังจากเวลาผ่านไปได้ประมาณ 3 ชั่วโมง จึงได้รับการผ่าตัดเมื่อเวลา 16.00 น. ใช้เวลาอีก 3 ชั่วโมงถึงเสร็จสิ้น หลังจากนั้น แพทย์ได้พามารดาไปพักฟื้นที่ห้องพักผู้ป่วยรวม บริเวณชั้น 5 ซึ่งหลังการผ่าตัดมารดายังรู้สึกตัว และสามารถสนทนาโต้ตอบกับตนได้เป็นปกติ ตนจึงเดินทางกลับไปพักผ่อนที่บ้าน
น.ส.อุษา กล่าวต่อว่า ต่อมาเวลาประมาณ 02.00 น.วันที่ 24 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้รับการติดต่อจากพยาบาลว่า มารดาต้องการพูดคุยผ่านทางโทรศัพท์กับตน โดยมารดาบอกว่า แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก และนอนไม่หลับ ซึ่งมารดาบอกว่า อาจจะเกิดจากโรคเบาหวานที่เป็นอยู่ ตนจึงขอให้พยาบาลช่วยเรียกแพทย์มาตรวจดูอาการ หรือจัดยาให้ แต่นางพยาบาลแจ้งให้ตนนำยามาให้มารดาเอง แต่ตนก็ยังไม่ได้ไปหาเพราะมารดาบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก ไม่ต้องเป็นห่วง จึงคิดว่าไม่เป็นไรเพราะมารดาก็ยังพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล
“หลังจากนั้น ตอน 7 โมงเช้า วันที่ 25 เมษายน ดิฉันกับน้องสาวจึงมาหาแม่ที่โรงพยาบาล พบว่าแม่มีอาการเหงื่อออกมาก แน่นหน้าอก และหายใจไม่ออก จึงแจ้งให้พยาบาลทราบ ประมาณ 2 ชั่วโมงหลังจากนั้น จึงมีแพทย์เวร มาดูอาการ เมื่อเห็นอาการแพทย์ได้พาแม่เข้าห้องไอซียู โดยใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลา ดิฉันรู้สึกตกใจ จึงได้ถามจากแพทย์คนดังกล่าวก็ได้รับคำตอบว่า แม่มีอาการติดเชื้อทางกระแสโลหิต ซึ่งน่าจะเกิดจากเครื่องมือที่ไม่สะอาดและปัจจัยอื่น ๆ ระหว่างการผ่าตัดไส้ติ่ง กระทั่ง 6 โมงเย็นวันเดียวกัน แม่ก็เสียชีวิต” น.ส.อุษา กล่าวทั้งน้ำตา
น.ส.อุษา กล่าวว่า หลังจากมารดาเสียชีวิต ได้พยายามติดต่อกับแพทย์ที่ทำการรักษามารดาถึงสาเหตุการเสียชีวิตและขั้นตอนในการรักษา แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ จึงขอเข้าพบผู้อำนวยการโรงพยาบาลแต่ก็ถูกบ่ายเบี่ยงจากเจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้เข้าพบ ซึ่งตนเสียใจมากเพราะตั้งแต่มารดามาเข้ารับการรักษา ตนไม่เคยเห็นหน้าแพทย์ จึงอยากทราบว่า ทางโรงพยาบาลแบ่งแยกระหว่างคนไข้ที่รักษาด้วยบัตรทองกับคนไข้ที่ไม่ใช้บัตรทองใช่หรือไม่ หรือว่าเป็นเพราะบัตร 30 บาทถึงทำให้มารดาเสียชีวิต ทั้งนี้ เชื่อว่าหากมารดาได้รับการใส่ใจในการรักษารวมทั้งมีแพทย์ดูแลใกล้ชิดคงไม่ต้องมาเสียชีวิตเพียงเพราะแค่การได้รับการผ่าตัดไส้ติ่งเท่านั้น ยังไม่คิดไปถึงขั้นแจ้งความดำเนินคดีหรือเรียกร้องค่าเสียหายใดๆ เพราะอยากให้ทางโรงพยาบาลออกมาชี้แจงเรื่องดังกล่าวให้ชัดเจนมากกว่านี้เท่านั้น
ด้านนายวรพจน์ กล่าวว่า ทางผู้เสียหายได้เข้าร้องขอความเป็นธรรมให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในการรักษา น.ส.หนูแดง ซึ่งหากพบว่าเป็นการกระทำด้วยความประมาท หรือเป็นความผิดพลาดของแพทย์ทางผู้เสียหายก็จะฟ้องร้องดำเนินคดีต่อไป
เบื้องต้นทางพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำผู้เสียหายไว้เป็นหลักฐานจากนั้นจะได้ส่งเรื่องให้ทางแพทยสภาตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวอีกครั้งหากแพทยสภาเห็นว่ามีความผิดจึงจะดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป