จับแล้ว! นักศึกษาอุเทนถวาย ที่ก่อเหตุใช้มีดแทงนักศึกษาช่างกลปทุมวัน และพลัดตกจากรถเมล์จนเสียชีวิต ตำรวจคุมตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ต้องรีบคุมตัวผู้ต้องหากลับโรงพัก ด้วยทั้งกลุ่มเพื่อนผู้ตายและผู้ต้องหายกพวกมารายล้อม และเข้าตะลุมบอนกันเล็กน้อย ดีที่ตำรวจเข้าห้ามปรามไว้ได้
วันนี้ (30 มี.ค.) เวลา 11.00 น. พ.ต.อ.นักรบ สุดใจ ผกก.สน.ทุ่งมหาเมฆ พร้อมกำลังตำรวจกว่า 10 นาย ควบคุมตัวนายศุภกิจ อินสว่าง อายุ 22 ปี อดีต นศ.สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตอุเทนถวาย คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 ผู้ต้องหาที่ก่อเหตุใช้มีดแทงนายชัยพร จรูญภักดิ์ นศ.ช่างกลปทุมวัน เสียชีวิตบริเวณป้ายรถเมล์หน้าตึกอื้อจือเหลียง ถนนพระราม 4 แขวงสีลม เขตบางรัก กทม.เมื่อ 17 ส.ค.ปีที่ผ่านมา ซึ่งถูกตำรวจตามจับกุมตัวได้เมื่อวานนี้ (29 มี.ค.) นั้น ตำรวจได้ควบคุมตัวนายศุภกิจไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพตั้งแต่จุดแรกที่นายชัยพรขึ้นรถเมล์สาย 47 ที่หน้าอาคารลุมพินีทาวน์เวอร์เป็นจุดแรก ส่วนจุดที่ 2 เป็นจุดที่นายศุภกิจขึ้นมาบนรถเมล์คันเดียวกัน และจุดสุดท้าย จุดที่นายชัยพรถูกแทงและพลัดตกจากรถเมล์บริเวณหน้าตึกอื้อจือเหลียง
ทั้งนี้ นายศุภกิจให้การว่า เห็นผู้ตายนั่งรถเมล์มา เมื่อขึ้นไปอยู่บนรถได้พยายามมองผู้ตายจนทราบว่าเป็นนักศึกษาต่างสถาบันกัน จากนั้นได้ตรงเข้าไปชกต่อยกับผู้ตายมาตลอดทางที่บริเวณเบาะหลังรถเมล์ จนกระทั่งก่อนถึงจุดเกิดเหตุ เห็นว่าตนตัวเล็กกว่าสู้ไม่ได้จึงชักมีดออกมาจ้วงแทงเข้าที่หน้าอกนายชัยพร 1 ครั้ง และเมื่อรถจอด นายชัยพรได้พลัดตกลงไปเสียชีวิต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่ตำรวจนำตัวนายศุภกิจไปทำแผนได้ประมาณเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง ต้องรีบนำตัวผู้ต้องหากลับโรงพัก เนื่องจากมีกลุ่มเพื่อนผู้ตายประมาณ 10 คน และกลุ่มเพื่อนผู้ต้องหาอีกประมาณ 4-5 คนมารวมตัวกันบริเวณหน้าตึกอื้อจือเหลียง จากนั้นทั้ง 2 ฝ่ายเกิดการกระทบกระทั่งกันขึ้นจนถึงขั้นเข้าชกต่อยกัน ทำให้ตำรวจต้องเข้าห้ามปราม และแยกทั้ง 2 ฝ่ายออกจากกันไว้ได้
ขณะเดียวกัน นางสมร จรูญภักดิ์ มารดาผู้ตายได้เดินทางไปยังสถานที่ทำแผนด้วย และเมื่อเห็นเหตุการณ์ทั้ง 2 ฝ่ายเข้าตะลุมบอนชกต่อยกันก็ได้เข้าไปต่อว่าทั้ง 2 กลุ่มว่าลูกชายได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่ทั้งสองกลุ่มยังมีหน้ามาก่อเรื่องทำร้ายกันต่อหน้าตำรวจอีก
“รู้สึกเสียใจที่พวกหนูทั้งสองฝ่ายก็มีแม่เช่นเดียวกัน ถ้าเกิดพวกหนูมีใครเป็นอะไรไป คิดว่าแม่ของหนูต้องเสียใจเช่นเดียวกับฉันที่ต้องสูญเสียลูกชายไป” นางสมร กล่าวอย่างเอือมระอา
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะแยกย้ายกันกลับ ฝ่ายกลุ่มเพื่อนของผู้ต้องหา ได้ชี้หน้าด่าว่าใส่กลุ่มผู้สื่อข่าวเนื่องจากไม่พอใจที่พากันมาทำข่าวเพื่อนซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาด้วย






วันนี้ (30 มี.ค.) เวลา 11.00 น. พ.ต.อ.นักรบ สุดใจ ผกก.สน.ทุ่งมหาเมฆ พร้อมกำลังตำรวจกว่า 10 นาย ควบคุมตัวนายศุภกิจ อินสว่าง อายุ 22 ปี อดีต นศ.สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตอุเทนถวาย คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 ผู้ต้องหาที่ก่อเหตุใช้มีดแทงนายชัยพร จรูญภักดิ์ นศ.ช่างกลปทุมวัน เสียชีวิตบริเวณป้ายรถเมล์หน้าตึกอื้อจือเหลียง ถนนพระราม 4 แขวงสีลม เขตบางรัก กทม.เมื่อ 17 ส.ค.ปีที่ผ่านมา ซึ่งถูกตำรวจตามจับกุมตัวได้เมื่อวานนี้ (29 มี.ค.) นั้น ตำรวจได้ควบคุมตัวนายศุภกิจไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพตั้งแต่จุดแรกที่นายชัยพรขึ้นรถเมล์สาย 47 ที่หน้าอาคารลุมพินีทาวน์เวอร์เป็นจุดแรก ส่วนจุดที่ 2 เป็นจุดที่นายศุภกิจขึ้นมาบนรถเมล์คันเดียวกัน และจุดสุดท้าย จุดที่นายชัยพรถูกแทงและพลัดตกจากรถเมล์บริเวณหน้าตึกอื้อจือเหลียง
ทั้งนี้ นายศุภกิจให้การว่า เห็นผู้ตายนั่งรถเมล์มา เมื่อขึ้นไปอยู่บนรถได้พยายามมองผู้ตายจนทราบว่าเป็นนักศึกษาต่างสถาบันกัน จากนั้นได้ตรงเข้าไปชกต่อยกับผู้ตายมาตลอดทางที่บริเวณเบาะหลังรถเมล์ จนกระทั่งก่อนถึงจุดเกิดเหตุ เห็นว่าตนตัวเล็กกว่าสู้ไม่ได้จึงชักมีดออกมาจ้วงแทงเข้าที่หน้าอกนายชัยพร 1 ครั้ง และเมื่อรถจอด นายชัยพรได้พลัดตกลงไปเสียชีวิต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่ตำรวจนำตัวนายศุภกิจไปทำแผนได้ประมาณเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง ต้องรีบนำตัวผู้ต้องหากลับโรงพัก เนื่องจากมีกลุ่มเพื่อนผู้ตายประมาณ 10 คน และกลุ่มเพื่อนผู้ต้องหาอีกประมาณ 4-5 คนมารวมตัวกันบริเวณหน้าตึกอื้อจือเหลียง จากนั้นทั้ง 2 ฝ่ายเกิดการกระทบกระทั่งกันขึ้นจนถึงขั้นเข้าชกต่อยกัน ทำให้ตำรวจต้องเข้าห้ามปราม และแยกทั้ง 2 ฝ่ายออกจากกันไว้ได้
ขณะเดียวกัน นางสมร จรูญภักดิ์ มารดาผู้ตายได้เดินทางไปยังสถานที่ทำแผนด้วย และเมื่อเห็นเหตุการณ์ทั้ง 2 ฝ่ายเข้าตะลุมบอนชกต่อยกันก็ได้เข้าไปต่อว่าทั้ง 2 กลุ่มว่าลูกชายได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่ทั้งสองกลุ่มยังมีหน้ามาก่อเรื่องทำร้ายกันต่อหน้าตำรวจอีก
“รู้สึกเสียใจที่พวกหนูทั้งสองฝ่ายก็มีแม่เช่นเดียวกัน ถ้าเกิดพวกหนูมีใครเป็นอะไรไป คิดว่าแม่ของหนูต้องเสียใจเช่นเดียวกับฉันที่ต้องสูญเสียลูกชายไป” นางสมร กล่าวอย่างเอือมระอา
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะแยกย้ายกันกลับ ฝ่ายกลุ่มเพื่อนของผู้ต้องหา ได้ชี้หน้าด่าว่าใส่กลุ่มผู้สื่อข่าวเนื่องจากไม่พอใจที่พากันมาทำข่าวเพื่อนซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาด้วย