คดี “สาวฉันทนา"ไตหาย อาจส่อเค้าวืด เมื่อตำรวจพบคดีอาจขาดอายุความไปแล้ว แต่ยังจะเรียกแพทย์ผู้ผ่าตัดมาสอบปากคำถึงข้อเท็จจริงอีกครั้ง
วันนี้ ( 18 มี.ค.) พ.ต.อ.รัตนะ ปาลจันทร์ ผกก.สภ.อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ กล่าวถึงความคืบหน้าในคดีที่น.ส.สมวงษ์ ใสงาม อายุ 28 ปี ชาวจ.สุรินทร์ พนักงานในโรงงานอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง เข้าแจ้งความว่า ได้ตรวจพบว่า ไตข้างขวาหายไป ในการเข้ารับการรักษาผ่าตัดโรคนิ่วในไต ที่โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 3 เป็นครั้งที่ 2 โดยพ.ต.อ.รัตนะกล่าวว่า ขณะนี้ ได้สั่งการให้พ.ต.ท.ภพปภณพรรษ อธิปฏิเวชช รองผกก.สส. และพ.ต.ท.ประสาทพร ศรีสุขโข สารวัตรเวรเจ้าของคดี เดินทางไปยังโรงพยาบาลจุฬารัตน์ 3 ถนนเทพารักษ์แล้ว เพื่อเข้าค้นประวัติคนไข้ของน.ส. สมวงษ์ แต่ยังไม่มั่นใจว่าจะพบหรือไม่ เนื่องจาก เมื่อครั้งที่น.ส.สมวงษ์ เข้ารับการรักษาผ่าตัดโรคนิ่วที่ไต เกิดขึ้นเมื่อปี 2537 ซึ่งเป็นเวลาถึง 10 ปีแล้ว
ผกก.สภ.อ.บางพลีกล่าวว่า เบื้องต้น ตำรวจได้สอบถามไปยังแพทย์ที่โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 3 แล้ว ทางแพทย์ยืนยันว่า คนไข้เป็นนิ่วที่ไต ค่อนข้างมาก ทางพนักงานสอบสวนจะต้องลงไปดูว่า ในใบยินยอมให้แพทย์ผ่าตัดรักษาที่คนไข้เซ็นยินยอมไว้นั้น มีข้อตกลงที่บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรไว้หรือไม่ว่า หากแพทย์ผู้รักษา พบสิ่งผิดปกติในร่างกายคนไข้ขณะทำการผ่าตัด สามารถที่จะดำเนินการรักษาด้วยวิธีอย่างหนึ่งอย่างใดได้นั้น มีระบุอยู่ในใบยินยอมดังกล่าวหรือไม่ และจากการตรวจสอบไปยังโรงพยาบาลทราบว่า น.พ.สุชาย เหล่าวีรวัฒน์ แพทย์ผู้ทำการรักษาน.ส.สมวงษ์ อยู่ระหว่างการเดินทางไปยังต่างประเทศ หากกลับมา ทางตำรวจจะเรียกมาสอบปากคำถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเชื่อว่า น่าจะเป็นวันจันทร์ที่ 21 มี.ค.นี้
พ.ต.อ.รัตนะกล่าวแสดงความห่วงใยในคดีนี้ด้วยว่า เนื่องจากน.ส.สมวงษ์ เข้ารับการรักษาผ่าตัดไตครั้งแรกเมื่อปี 2537 และกลับมาพบว่า ไตข้างขวาหายไปในปี 2547 ซึ่งเป็นเวลาถึง 10 ปี ดังนั้น ทางตำรวจจะต้องตรวจสอบให้แน่ชัดอีกครั้งหนึ่งว่า คดีดังกล่าว ขาดอายุความไปหรือไม่อย่างไร เพราะคดีดังกล่าว ถือเป็นคดีลักทรัพย์ ไม่ใช่คดีทำร้ายร่างกาย ซึ่งมีอายุความเพียงแค่ 10 ปี แต่อย่างไรก็ตาม ตำรวจต้องขอเวลาเพื่อทำให้ข้อเท็จจริงทั้งหมดกระจ่างต่อไป
น.ส.สมวงษ์ ใสงาม เข้าแจ้งความเพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานต่อพ.ต.ท.ประสาทพร ศรีสุขโข สรวัตรเวรสภ.อ.บางพลี โดยระบุว่า เข้ารับการรักษาผ่าตัดนิ่วที่ไตที่โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 3โดยนพ.สุชาย เหล่าวีรวัฒน์ เป็นแพทย์ผู้รักษา หลังผ่าตัดและพักฟื้นที่โรงพยาบาลได้ 1 สัปดาห์ ได้กลับมาพักฟื้นต่อที่บ้านอีกราว 1 เดือน จากนั้นพบว่า บริเวณบาดแผลผ่าตัดใต้ซี่โครงซ้าย มีชิ้นส่วนปลายนิ้วถุงมือโผล่มาจนกลัดหนอง จึงกลับไปพบแพทย์ และแพทย์ยอมรับว่า ลืมชิ้นส่วนถุงมือไว้จริง และเข้ารับการรักษาจนหาย ต่อมาราวเดือนต.ค. 2547 มีอาการปวดหลังอีก จึงเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเดิม แต่เป็นแพทย์คนใหม่ และเมื่อแพทย์ให้ไปเอ็กซเรย์จึงพบว่า ไตข้างขวาหายไปข้างหนึ่ง ไม่สามารถผ่าตัดได้อีก จึงรักษาด้วยการรับประทานยาจนกระทั่งอาการดีขึ้นเป็นปกติ จึงได้ไปทวงถามความรับผิดชอบต่อโรงพยาบาล แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบที่กระจ่าง อีกทั้งก่อนการผ่าตัด ไม่เคยได้รับทราบว่าจะต้องมีการตัดไตทิ้ง
โรงพยาบาลเอกชนในจังหวัดสมุทรปราการ เคยตกเป็นข่าวโด่งดังในคดีขายไต และศาลมีคำพิพากษายกฟ้องคดีดังกล่าวไปเมื่อวันที่ 22 ก.พ.ที่ผ่านมา