เป็นข่าวครึกโครมมาแล้ว 2 วัน นับจาก ดช.วัย 10 ขวบ ขโมยลูกอม 34 บาท ซึ่งผู้เสียหายยืนยันไม่ยอมความ เดินหน้าดำเนินคดีสถานเดียว วันนี้ "ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์" ได้สัมภาษณ์ "เจ้เล้ง" ที่หลายๆ คนคิดว่า การกระทำของเธอในครั้งนี้นั้นออกจะใจร้ายไปสักหน่อย....ลองมาฟังมุมมองเธอกัน
นางอารยา อภิสิทธิ์อมรกุล หรือที่รู้จักติดปากนักช็อปย่านดอนเมืองว่า "เจ้เล้ง" เจ้าของบริษัทเอแอนด์เอ บิวตี้โปรดัก จำกัด หรือร้านเจ้เล้ง พลาซ่า ดูค่อนข้างจะมีธุระยุ่งพอสมควรเมื่อทีมงานไปถึง โทรศัพท์มือถือสองเครื่องส่งเสียงตี๊ดๆ ไม่ขาดระยะ เธออนุญาตให้ทีมงานเรียกเธออย่างที่คนอื่นเรียกกันแบบสบายปากว่า "เจ้เล้ง" ....และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เจ้ได้ตั้งคำถามใส่ทีมงานว่าวันนี้จะถามเรื่องอะไร
"วันนี้จะมาถามเจ้เรื่องอะไร จะถามเรื่องว่า ทำไมเจ้ใจร้ายใช่ไม๊ มานี่ เจ้จะบอกให้ฟัง....."
เจ้เล้งได้กล่าวถึงกรณีที่น้องปอ เด็กชายวัย 10 ขวบ ที่อาศัยอยู่ในแฟลตของการเคหะฯ ละแวกใกล้เคียงกับร้าน ได้ก่อเหตุเข้ามาขโมยขนมประเภทลูกอมภายในร้าน โดยเข้ามาเป็นแก๊ง ประมาณ 4 -5 คน และมีหัวโจกเป็นเด็กชายวัยรุ่น รูปร่างผอม ผมยาว อายุประมาณ 16 ปี เหตุดังกล่าวเกิดในช่วงเย็นของวันอาทิตย์ที่ 13 ที่ผ่านมา ซึ่งหลังเกิดเหตุพนักงานของร้านได้เห็นการกระทำของเด็กกลุ่มดังกล่าว จึงเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของร้านมาจับตัวเด็กเอาไว้ ด้าน "น้องปอ" ที่หลงกับเพื่อนถูกจับได้ หนีไม่ทัน พนักงานร้านคว้าตัวไว้ได้ขณะที่กำลังจะกระโจนหนี แต่เพื่อนๆ ร่วมแก๊งหนีไปได้ ว่าเด็กเหล่านี้ได้ก่อเหตุในร้านเป็นเวลาหลายครั้งแล้ว จับได้ก็ไม่เคยเอาเรื่อง ก็ปล่อยไปทุกครั้ง
"หลายๆ คนว่าเจ้ว่าใจร้าย เงินแค่ 30 บาททำไมไม่เอาเรื่อง คือในวันที่เกิดเหตุ เด็กลุ่มนี้ได้เข้ามาขโมยกินของในร้านจนอิ่ม ด้วยการไปยืนเบียดกับคนอื่นเวลาลูกค้าเยอะๆ พนักงานดูแลไม่ทั่วถึง แล้วแอบขโมยกิน หลังจากนั้น ก็เอากล่องเปล่ายัดกลับไปที่ชั้นวางของตามเดิม หลังจากกินจนพอใจแล้วก็จะขโมยกลับบ้าน รุ่นพี่ที่มาด้วยกันหนีกลับไปแล้ว ตัวเองหลงกับเพื่อน ก็เกิดความตกใจว่าจะออกทางไหน
อันนี้ที่ถามเด็กนะ เด็กก็บอกว่า ใกล้อะไร ใกล้อันไหนก็คว้าเลย ตรงไหนที่ไม่มีคนเฝ้า แต่บังเอิญตอนที่เด็กเค้าขโมย เค้ามองแล้วว่าไม่มีพนักงาน พนักงานเค้าไปเข้าห้องน้ำ พอเด็กปรี่เข้าไปหยิบขนมใส่กระเป๋า พนักงานเค้าเห็นพอดี พอพนักงานเขัามาถามเด็กก็ทำท่าจะกระโจนหนี เค้าก็เลยคว้าตัวกลับมาส่งดิชั้น..." เจ้เล้งเล่า
หลังจากที่เจ้เล้งได้ซักถาม "น้องปอ" น้องปอสารภาพว่าได้ลงมือขโมยขนมจริง และบอกว่าวันนี้มา 3 รอบแล้ว และทำเช่นนี้มา 6 เดือนแล้ว มาแทบทุกวัน วันไหนจังหวะดีก็ขโมย ถ้าไม่มีจังหวะก็ไม่ขโมย เจ้เล้งกล่าวว่า น้องปอได้ให้ข้อมูลว่าที่ทำเพราะว่าเพื่อนในแก๊งชักชวน และอ้างว่าถ้าคนไหนขโมยไม่ได้ ถือไม่เจ๋ง ไม่เก่ง ถือว่าใจไม่กล้า ไม่แน่จริง ก็เลยลงมือทำ
"ถามว่าดิฉันทำเกินกว่าเหตุไม๊ คือดิฉันไม่สนใจว่าคุณจะขโมยเท่าไหร่ แต่ขณะนี้คุณมาตั้งแก๊ง มาก่อกวนในร้านดิฉันหลายเดือนแล้ว นึกภาพเด็ก 4- 5 คนวิ่งกรูกันเข้ามาในร้าน ส่งเสียงเอะอะเจี๊ยวจ๊าว พนักงานในร้านก็ไม่กล้าทำอะไร ไม่กล้าพูด เพียงแต่คอยระวังเด็กเหล่านี้เท่านั้น จนสุดท้ายพนักงานก็ระอากับเด็กพวกนี้เช่นกัน พอดูคนนั้น คนนี้ก็ขโมยอีกทางนึง
จริงๆ แล้วเราไม่มีเวลาสนใจเรื่องนี้ เราคนทำมาหากิน ถามว่าดิฉันไปทำอะไรกับเด็ก ดิฉันไม่ได้ทำอะไร ตอนจับเด็กได้ดิฉันนอนอยู่บนเตียงไฟฟ้าที่มีระบบนวดอัตโนมัติ เพราะดิฉันเพิ่งไปผ่าตัดมา จำเป็นจะต้องนวด ก็ถามเด็ก ครั้งแรกเด็กเค้าไม่ยอมพูด บอกว่าทำครั้งแรก แต่พนักงานยืนยันว่าจำหน้าเด็กได้ ดิฉันก็บอกให้เด็กบอกความจริง ขู่ว่าไม่บอกจะจับขังเลยนะ
เด็กก็เลยยอมพูดว่าวันนี้เข้ามา 3 รอบแล้ว แล้วก็ขโมยติดต่อกันมา 6 เดือน คือเด็กเค้าพูดเอง ที่เราแจ้งความนั้นเราต้องการให้เด็กหลาบจำ ถ้าปล่อยไปแบบคราวก่อนๆ เด็กก็จะกลับมาขโมยอีก ดิฉันก็เลยโทรไปโรงพักแล้วก็ถามเค้าว่ามีเด็กเข้ามาขโมยของ จะให้ดิฉันทำยังไงดี ทางโรงพักก็บอกว่า พอดีกำลังจะมีสายตรวจออกตระเวนมาแถวนี้พอดี ให้ฝากเด็กไปกับสายตรวจ และมอบอำนาจให้พนักงานของเจ้ ไปแจ้งความแทนเจ้"
เจ้เล้งเล่าอีกว่า เมื่อครั้งเธอยังเป็นเด็ก ที่บ้านของเธอมีฐานะยากจน ในวัยประถม เด็กหญิงเล้งต้องรีบกลับมาจากโรงเรียนในตอนเย็น และออกไปเร่ขายสลากและขนมจำพวกลูกอม หมากฝรั่งที่หน้าโรงภาพยนตร์ เป็นการหารายได้ช่วยเหลือครอบครัว โดยบอกว่าตนเองนั้นเคยจนมากมาก่อน ไม่เคยรังเกียจคนจน คนจนมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีในตัวเอง ตราบที่ไม่ทำความเดือดร้อนให้ผู้อื่น และทำมาหากินสุจริต เธอนับถือคนจนที่ทำมาหากิน
"สมัยเด็กเจ้ก็จน แต่เราไม่ขโมยของ พ่อแม่เราอบรมให้เราทำมาหากิน การขโมยของไม่ใช่ว่าแค่ 34 บาท ... แค่ 1 บาท ก็ถือว่าเป็นการขโมย แต่คนจนที่ทำมาหากินเจ้นับถือนะ ไม่งอมืองอเท้า คนจนที่ทำอาชีพสุจริตถือว่าเป็นคนที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรี ทุกวันนี้เจ้ก็เลี้ยงข้าวนะ ทุกเดือน เลี้ยงคนที่เค้าไม่มีเท่าเรา ตั้งโต๊ะหน้าร้าน เลี้ยงอาหารคนจนเดือนละครั้ง เด็กกลุ่มนี้ก็เคยข้ามมากิน แล้วเจ้ยังเช่ารถแบบรถบัส ให้ลูกน้องพนักงานในร้านที่ไม่ค่อยมีเงิน ไม่มีโอกาสไปไหว้พระต่างจังหวัด เดินทางไปไหว้พระทำบุญ ทางเจ้ก็ออกให้หมด ไม่ต้องมีเงิน ไปแต่ตัวกับใจที่อยากจะไหว้พระ ข้าวน้ำ ค่าเดินทาง เราจัดการให้หมด เจ้ไม่เคยรังเกียจคนไม่มีที่ทำกิน "
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมเจ้ถึงพูดว่า ขอให้เอาเรื่อง "น้องปอ" ให้ถึงที่สุด เจ้เล้งตอบว่า ไม่เคยพูดว่าขอให้เอาเรื่องให้ถึงที่สุด แล้วที่จริงการแจ้งความดำเนินคดีถึงขนาดนี้อาจจะไม่เกิดขึ้น หากแม่ของเด็กไม่ไปร้องสื่อมวลชนจนกลายเป็นประเด็นใหญ่โต แต่น่าจะนำลูกมาขอโทษและรับปากกับเธอว่าจะสั่งสอนลูกให้ไม่ก่อเรื่องเช่นนี้อีก มากกว่า
"ถามว่าดิฉันจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดไม๊ ยืนยันว่าไม่เคยพูด มีแต่แม่เค้าพูดเอง เราไม่เคยเจอแม่เค้า มีแต่แม่เค้าไปพูดกับเด็กในร้าน บอกว่าจะมาพบดิฉันได้ไม๊ จะขอชดใช้ถึงร้อยเท่า ดิฉันก็บอกว่าถ้าจะมีพบเพื่อจะจ่ายค่าปรับเป็นสิบเป็นร้อยเท่านั้น คงไม่รับ เพราะดิฉันไม่ได้หากินกับเงินค่าปรับแบบนี้ เราไม่รับเงินใคร ไม่ได้หากินทางนี้ แต่ที่ให้กฎหมายดำเนินการ เพราะเมื่อเด็กขโมย ต้องถือว่าเป็นโจร ดิฉันไม่เชื่อหรอกว่า มาทำเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะในเมื่อเฉพาะวันนี้เด็กมาขโมยถึง 3 รอบ แล้วก็ทำมานานแล้วด้วย แต่กลับไปเปลี่ยนประเด็นขอความเห็นใจจากสังคม และจากที่เกิดเรื่องมาก็มีโทรศัพท์มาด่าเจ้ ด่าแล้ววาง ด่าแล้ววาง ดิฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร ด่าได้หากดิฉันผิด แต่โทรศัพท์ที่โทรมาด่านี่มีแค่สิบกว่าราย แต่จากบรรดาแวดวงธุรกิจค้าขายแบบเดียวกันนี่มีโทรศัพท์มาแสดงความเห็นใจหลายสิบรายด้วยกัน ดิฉันเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็แย่ เพราะพ่อแม่เด็กไปโวยวายที่โรงพักมาก...ก (ลากเสียง) เค้าเก่งที่ไปเอาสื่อมาได้ แล้วก็เก่งที่เรียกร้องความสนใจ ความเห็นใจจากสังคมได้"
และเมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงประเด็นการนำเด็กไปควบคุมตัวในห้องควบคุมตัว เจ้เล้งกล่าวว่า พอจะทราบว่าโครงสร้างห้องควบคุมตัวของสน.ดอนเมืองว่าเป็นอย่างไร ยืนยันว่าเด็กไม่ได้ถูกขังรวมกับผู้ต้องหาผู้ใหญ่คนอื่นๆ เรื่องนี้ที่เป็นประเด็นขึ้นมาก็เพราะพ่อแม่เด็กที่พูดเกินไป
"ดิฉันเชื่อว่าตำรวจไม่กล้าหรอกค่ะ ขณะนี้ตำรวจเองก็กลัว ถามเจ้าหน้าที่เค้าก็บอก เค้าก็คุยกับเด็กก็เห็นเด็กร่าเริงดี เจ้าหน้าที่ตำรวจทำตามกฎหมาย ทำตามหน้าที่ โอเคในสายตาสังคมกับความเป็นเด็ก ความอายุน้อย อาจจะคิดว่าทำเกินไปหน่อย แต่มันเป็นการอบรมนิสัยเด็กให้หลาบจำ ในเมื่อพ่อแม่ก็ทำเหมือนจะส่งเสริมลูก เพราะถ้าเป็นลูกดิฉัน ดิฉันจะดุว่า แล้วก็ขอโทษเจ้าของร้าน แล้วก็รีบพากลับบ้านเพราะอาย ถูกต้องไม๊คะ ...ไม่ใช่ว่าออกมาตีโพยตีพายว่าลูกตัวเองบริสุทธิ์ ลูกตัวเองเป็นเด็กอายุ 10 ขวบ ...ในเมื่อเด็กก็ยอมรับว่าขโมย แล้วก็ทำมาหลายครั้ง"
เจ้เล้งกล่าวอีกว่า คิดว่าการกระทำแบบนี้น่าจะทำให้เด็กกลุ่มดังกล่าวเข็ดหลาบและเลิกมาก่อกวนที่ร้าน แต่หลังจากนั้นในวันถัดมา เด็กกลุ่มดังกล่าวก็มาก่อกวนที่ร้านอีกในส่วนของพลาซ่า ซึ่งเป็นพื้นที่ที่จัดสรรให้ร้านอื่นๆ เช่าทำการค้าขาย ด้วยการนำขยะมาทิ้งไว้เรี่ยราดตามทาง และแอบเข้าไปเปิดก๊อกน้ำทุกก๊อกที่มีทิ้งไว้จนน้ำไหลนองเต็มพื้น บังเอิญว่าพื้นที่พลาซ่าเป็นจุดที่ไม่ค่อยได้วางเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เพราะไม่คิดว่าเด็กจะเข้าไปก่อกวนที่พื้นที่นั้น มีเฉพาะเจ้าหน้าที่ที่ดูแลการจอดรถของลูกค้า จึงไม่สามารถจับตัวได้ แต่ก็ได้สั่งให้ลูกน้องจับตาดูแล้วว่า หากเห็นเด็กกลุ่มนี้จะห้ามมิให้เข้ามาในร้านอีก
"เด็กเหล่านี้ไม่ธรรมดาหรอกค่ะ" เธอพูด
....และก่อนจะจากกัน สาวใหญ่เจ้าของห้างดังได้ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น ใครจะว่าว่า "ใจร้าย" ก็คงไม่สนใจ เพราะคิดว่าสิ่งที่ทำนั้นถูกต้องแล้ว ไม่ได้ไประรานหรือรังแกเด็ก ไม่ได้ไปสั่งให้ใครไปทำร้าย เพราะมีบางห้างบางร้านที่จับเด็กที่ขโมยได้ก็ทำร้าย ตบ ตี เพื่อให้เข็ดหลาบ แต่เธอไม่ได้ทำ เพียงแต่ปล่อยให้เป็นเรื่องของการดำเนินการทางกฎหมาย ส่วนเรื่องการตัดสินของสังคมว่าจะมองเธอเป็นอย่างไรนั้น "เจ้เล้ง" ก็บ่ยั่นเช่นกัน และยังยืนยันว่า หลังเกิดเรื่องแล้ว ยอดลูกค้าในร้านก็ยังแน่นดีไม่มีตก และคาดว่าคงจะไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อธุรกิจของเธอแน่นอน