ทันทีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ออกมาแย้มข่าวเตรียมเสนอออกหมายจับกุม 2 นักการเมืองพัวพันคดีความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะคดีปล้นปืนค่ายทหาร เมื่อวันที่ 4 ม.ค.2547 โดยมีอักษรย่อ คือ "ล. และ อ." เป็น 2 บุคคลอันตรายที่จะถูกหมายหัวออกหมายจับในเร็วๆ นี้
นาย “ล.” ที่ข้อมูลเชิงลึกบอกว่า เขาคืออดีตนักการเมืองท้องถิ่น จ.ยะลา เป็นเจ้าของโรงโม่หินแห่งหนึ่ง ซึ่งเจ้าหน้าที่เคยตรวจพบว่ามีการกักตุนระเบิดไดนาไมต์ และมีการซัดทอดจากผู้ต้องหาที่เคยถูกจับค้าอาวุธสงคราม ที่ จ.นครราชสีมา เมื่อประมาณ 3 ปีที่ผ่านมาว่า นาย ล.เป็นผู้อยู่เบื้องหลังและเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้กับผู้ก่อเหตุใน จ.ยะลา และ จ.ปัตตานี ซึ่งนาย ล.ยังมีชื่ออยู่ในแบล็กลิสต์ของผู้ก่อความไม่สงบ และค้าอาวุธสงคราม
ส่วนนาย "อ." พบว่า เป็นเจ้าของโรงเรียนปอเนาะแห่งหนึ่งใน จ.ปัตตานี และเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับการขว้างระเบิดเพลิงในตัวเมืองปัตตานีเมื่อปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ กรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นายถูกวัยรุ่นประกบยิงขณะขี่มอเตอร์ไซค์ แต่สามารถหักหลบและยิงวัยรุ่นเสียชีวิตทั้ง 2 คน ซึ่งวัยรุ่นดังกล่าวก็เป็นนักเรียนโรงเรียนปอเนาะของนักการเมืองคนดังกล่าวด้วย ซึ่งรายงานข่าวแจ้วว่า โรงเรียนปอเนาะดังกล่าวเป็นแหล่งซ่องสุมของเยาวชนในการฝึกอาวุธสงครามอีกด้วย
จากข่าว "ดีเอสไอ" เตรียมจับ 2 ผู้บงการป่วนใต้คนสำคัญ ทำให้ประชาชนคนในชาติ โดยเฉพาะพี่น้องชาวจังหวัดชายแดนภาคใต้ เริ่มมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อรัฐบาลได้กลับมาให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาไฟใต้อย่างจริงจัง หลังจากพักยกหาเสียงเลือกตั้งไปช่วขณะหนึ่ง ส่วนเมื่อจับกุมได้แล้วจะทำให้ไฟใต้ดับลงหรือไม่ ถือเป็น "คำถาม" ที่ ยังไม่มี "คำตอบ" ....
"คดีปล้นปืนค่ายทหาร" ปฐมบทแห่งความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำไม...จึงต้องถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นแกะรอยล่าตัวกลุ่มแกนนำโจรใต้อีกครั้ง...และทำไมก่อนหน้านี้การจับกุมผู้ต้องหา หรือผู้ถูกกล่าวหาร่วมขบวนการป่วนใต้ ..ยังไม่หมดอีกหรือ
และหากย้อนรอยไปดูคดีปล้นปืนค่ายกองพันพัฒนาที่ 4 และเหตุการณ์ความไม่สงบ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พบว่า เมื่อวันที่ 15 ก.ค.47 นายประทีป ตรีวิมล อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา พร้อมคณะทำงานได้นำคดีเข้าสู่กระบวนการศาลแล้ว โดยฟ้อง "นายนัจมุดดีน อูมา" อดีต ส.ส.นราธิวาส พรรคไทยรักไทย และนายอารีฟ หรือฮารีฟ โซ๊ะโก ตกเป็นจำเลยรวม 12 ข้อหาหนัก ประกอบด้วย ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อแบ่งแยกราชอาณาจักร ร่วมกันสะสมกำลังพลหรืออาวุธ หรือสมคบเพื่อเป็นกบฎ ร่วมกันกระทำการเป็นอั้งยี่ สมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปกระทำการเป็นซ่องโจร ร่วมกันฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่โดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขัง ปล้นทรัพย์ เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ร่วมกันก่อการร้าย และร่วมกันมีใช้ และพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต และสั่งให้ผู้ต้องหาชดใช้ค่าอาวุธปืนเอ็ม 16 จำนวน 400 กระบอกซึ่งถูกปล้นไปเป็นจำนวนกว่า 7 ล้านบาท คืนให้กับกองทัพบก
หลังจากก่อนหน้า อัยการได้ฟ้องผู้ต้องหาในคดีปล้นปืนไปแล้ว ประกอบด้วย นายมะแซ อุเซ็ง ผู้ต้องหาที่ 1, นายอัมเยาะ หรือฮามีเยาะ สะอุ ผู้ต้องหาที่ 12, นายนอรอดึง หรือมะรูดึง บินบือราเฮง ผู้ต้องหาที่ 14, นายแบมะ ไม่ทราบนามสกุล ผู้ต้องหาที่ 17, นายสมาน หรืออุสมาน วอฮะ ผู้ต้องหาที่ 18 ส่วนผู้ต้องหาที่เหลือซึ่งส่วนใหญ่เข้ามอบตัว อีก 26 คน อัยการสั่งไม่ฟ้อง โดยอ้างว่าพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง และผู้ต้องหาบางคนให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี จึงกันไว้เป็นพยานด้วย
โดยจากคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 26 คน ในครั้งนั้น พล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ รักษาการ ผบ.ตร.ในขณะนั้น ได้ทำความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องคดีของพนักงานอัยการกับผู้ต้องหาทุกคน โดยให้เหตุผลในการทำความเห็นแย้งว่า พนักงานสอบสวนมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะเอาผิดกับผู้ต้องหาทั้งหมดได้ แต่สุดท้าย อัยการสูงสุดมีความเห็นยืนคำสั่งไม่ฟ้องของอัยการ
วันที่ 21 ก.ค.47 นายนัจมุดดีน จำเลยในคดี เดินทางเข้ารายงานตัวต่อศาลอาญาพร้อมกับให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ก่อนยื่นคำร้องประกันตัวออกไป
30 ก.ค.47 ศาลสอบคำให้การของนายนัจมุดดีน โดยนายนัจมุดดีนยืนยันในความบริสุทธิ์ และจะขอต่อสู้ในทุกประเด็น พร้อมระบุการที่ตกเป็นจำเลยในคดีนี้ มั่นใจว่าจะไม่กระทบฐานเสียงของตัวเองเนื่องจากคนในพื้นที่ทราบดีว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์
27 ธ.ค.47 ศาลอาญา สืบพยานโจทก์นัดแรก โดยอัยการโจทก์นำ นายมะยูโซ๊ะ หะยีมามะ อายุ 47 ปี ผู้ใหญ่บ้านบือราแง ต.โต๊ะเด็ง อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส ผู้ต้องหาคดีปล้นปืน ซึ่งอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องก่อนหน้านี้ขึ้นเบิกความสรุป ใจความว่า รู้จักกับนายนัจมุดดีนในฐานะที่เป็นเป็น ส.ส.ในพื้นที่ เคยพูดคุยด้วยเพียงครั้งเดียวเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว และเคยเข้าร่วมประชุมกับนายนัจมุดดีน รวม 3 ครั้ง คือ ครั้งแรกเมื่อต้นเดือน พ.ย.46 มีผู้ร่วมประชุม 10 คน ครั้งที่สอง เมื่อปลายเดือน พ.ย.46 ที่โรงเรียนสัมพันธ์วิทยา จ.นราธิวาส และครั้งสุดท้าย เมื่อเดือน ธ.ค.46 ที่โรงเรียนสัมพันธ์วิทยา ในการประชุมทั้ง 3 ครั้งมีนายนัจมุดดีนเป็นประธาน ไม่เคยมีการพูดถึงเรื่องการปล้นอาวุธปืน หรือการวางแผนก่อความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้
นายมะยูโซ๊ะ เบิกความว่า พยานเคยถูกตำรวจจับกุมเมื่อเดือน มี.ค.47 ภายหลังเหตุการณ์ปล้นอาวุธปืนค่ายทหารกองพันพัฒนาที่ 4 จ.นราธิวาส โดยถูกจับพร้อมกับนายอนุพงศ์ และพวกรวม 5 คนภายหลัง ตำรวจแจ้งข้อหา พยานได้ให้การปฏิเสธ แต่กลับถูกตำรวจใช้ผ้าปิดตา ใส่กุญแจมัดมือ-เท้า ใช้ไฟฟ้าช็อต และปัสสาวะรดปาก ข่มขู่บังคับให้รับสารภาพ พยานจำยอมต้องรับสารภาพเพราะความกลัว พยานเข้าใจภาษาไทยเพียงเล็กน้อย อีกทั้งไม่มีล่ามแปล ตำรวจที่ทำทารุณกับพยานเป็นตำรวจที่ถูกส่งมาจากส่วนกลาง อีก 2 วันถัดมา ตำรวจนำพยานกับกำนันอนุพงศ์ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ โดยตำรวจบังคับให้พยานร่วมทำการชี้จุดที่เกิดเหตุที่มีการประชุมร่วมกับนายนัจมุดดีน ท่ามกลางสื่อมวลชนที่มาทำข่าวจำนวนมาก แต่พยานก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะกลัว
วันนั้นหลังการเบิกความของพยานเสร็จสิ้น พยานยังได้แถลงต่อศาลว่า ตำรวจกองปราบปรามเป็นผู้นำตัวพยานมาเบิกความต่อศาล เมื่อเบิกความเสร็จ พยานรู้สึกหวาดกลัว ไม่กล้ากลับไปที่กองปราบปรามอีก เนื่องจากกระเป๋าเสื้อผ้าของพยานอยู่กับตำรวจ ศาลจึงมีคำสั่งให้ พ.ต.ท.สมควร พึ่งทรัพย์ สว.แผนก 4 กก.2 กองปราบปราม ผู้นำพยานมาเบิกความ แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามนำกระเป๋าเสื้อผ้าของพยานมาให้ที่ศาลอาญาด้วย
คดีปล้นปืนค่ายทหาร-ก่อความไม่สงบจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ "ดีเอสไอ "จ้องจับ 2 นักการเมือง "ล. และ อ." จะนำไปสู่ความสงบในพื้นที่หรือไม่... หรือว่าเป็นการสร้างข่าว สร้างกระแส และสุดท้าย หากมีการจับกุมแล้วแต่ไร้หลักฐาน ไม่สามารถดำเนินคดีได้เหมือนกับผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 26 คนที่ถูกจับกุม และอัยการสั่งไม่ฟ้องไปก่อนหน้า
คดีปล้นปืน...ถือเป็นปฐมบทแห่งความรุนแรง ภายใต้โจทย์แบ่งแยกดินแดน...หลังคดีปล้นปืน ความรุนแรงได้เกิดตามมาหลายครั้งหลายครา (โจรใต้ ผู้ก่อการ ประชาชน และเจ้าหน้าที่รัฐ) ต้องสูญเสียเลือดเนื้อหลายต่อหลายราย เหตุการณ์กรือเซะ สลายม็อบตากใบ ที่ยังอยู่ในความทรงจำของผู้คน และถูกบันทึกไว้ในหน้าหนึ่งประวัติศาสตร์ "สถานการณ์ใต้" สุดท้าย คดีภาคใต้ หากทำเพื่อความสงบสุขของแผ่นดินชายแดนใต้ ทำเพื่อประเทศชาติโดยรวม ปราศจากการแบ่งแยกแบ่งฝ่ายทางการเมือง แน่นอน...ความสงบในพื้นที่ก็จะเกิดตามมาในเร็วๆนี้....


นาย “ล.” ที่ข้อมูลเชิงลึกบอกว่า เขาคืออดีตนักการเมืองท้องถิ่น จ.ยะลา เป็นเจ้าของโรงโม่หินแห่งหนึ่ง ซึ่งเจ้าหน้าที่เคยตรวจพบว่ามีการกักตุนระเบิดไดนาไมต์ และมีการซัดทอดจากผู้ต้องหาที่เคยถูกจับค้าอาวุธสงคราม ที่ จ.นครราชสีมา เมื่อประมาณ 3 ปีที่ผ่านมาว่า นาย ล.เป็นผู้อยู่เบื้องหลังและเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้กับผู้ก่อเหตุใน จ.ยะลา และ จ.ปัตตานี ซึ่งนาย ล.ยังมีชื่ออยู่ในแบล็กลิสต์ของผู้ก่อความไม่สงบ และค้าอาวุธสงคราม
ส่วนนาย "อ." พบว่า เป็นเจ้าของโรงเรียนปอเนาะแห่งหนึ่งใน จ.ปัตตานี และเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับการขว้างระเบิดเพลิงในตัวเมืองปัตตานีเมื่อปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ กรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นายถูกวัยรุ่นประกบยิงขณะขี่มอเตอร์ไซค์ แต่สามารถหักหลบและยิงวัยรุ่นเสียชีวิตทั้ง 2 คน ซึ่งวัยรุ่นดังกล่าวก็เป็นนักเรียนโรงเรียนปอเนาะของนักการเมืองคนดังกล่าวด้วย ซึ่งรายงานข่าวแจ้วว่า โรงเรียนปอเนาะดังกล่าวเป็นแหล่งซ่องสุมของเยาวชนในการฝึกอาวุธสงครามอีกด้วย
จากข่าว "ดีเอสไอ" เตรียมจับ 2 ผู้บงการป่วนใต้คนสำคัญ ทำให้ประชาชนคนในชาติ โดยเฉพาะพี่น้องชาวจังหวัดชายแดนภาคใต้ เริ่มมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อรัฐบาลได้กลับมาให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาไฟใต้อย่างจริงจัง หลังจากพักยกหาเสียงเลือกตั้งไปช่วขณะหนึ่ง ส่วนเมื่อจับกุมได้แล้วจะทำให้ไฟใต้ดับลงหรือไม่ ถือเป็น "คำถาม" ที่ ยังไม่มี "คำตอบ" ....
"คดีปล้นปืนค่ายทหาร" ปฐมบทแห่งความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำไม...จึงต้องถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นแกะรอยล่าตัวกลุ่มแกนนำโจรใต้อีกครั้ง...และทำไมก่อนหน้านี้การจับกุมผู้ต้องหา หรือผู้ถูกกล่าวหาร่วมขบวนการป่วนใต้ ..ยังไม่หมดอีกหรือ
และหากย้อนรอยไปดูคดีปล้นปืนค่ายกองพันพัฒนาที่ 4 และเหตุการณ์ความไม่สงบ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พบว่า เมื่อวันที่ 15 ก.ค.47 นายประทีป ตรีวิมล อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา พร้อมคณะทำงานได้นำคดีเข้าสู่กระบวนการศาลแล้ว โดยฟ้อง "นายนัจมุดดีน อูมา" อดีต ส.ส.นราธิวาส พรรคไทยรักไทย และนายอารีฟ หรือฮารีฟ โซ๊ะโก ตกเป็นจำเลยรวม 12 ข้อหาหนัก ประกอบด้วย ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อแบ่งแยกราชอาณาจักร ร่วมกันสะสมกำลังพลหรืออาวุธ หรือสมคบเพื่อเป็นกบฎ ร่วมกันกระทำการเป็นอั้งยี่ สมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปกระทำการเป็นซ่องโจร ร่วมกันฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่โดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขัง ปล้นทรัพย์ เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ร่วมกันก่อการร้าย และร่วมกันมีใช้ และพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต และสั่งให้ผู้ต้องหาชดใช้ค่าอาวุธปืนเอ็ม 16 จำนวน 400 กระบอกซึ่งถูกปล้นไปเป็นจำนวนกว่า 7 ล้านบาท คืนให้กับกองทัพบก
หลังจากก่อนหน้า อัยการได้ฟ้องผู้ต้องหาในคดีปล้นปืนไปแล้ว ประกอบด้วย นายมะแซ อุเซ็ง ผู้ต้องหาที่ 1, นายอัมเยาะ หรือฮามีเยาะ สะอุ ผู้ต้องหาที่ 12, นายนอรอดึง หรือมะรูดึง บินบือราเฮง ผู้ต้องหาที่ 14, นายแบมะ ไม่ทราบนามสกุล ผู้ต้องหาที่ 17, นายสมาน หรืออุสมาน วอฮะ ผู้ต้องหาที่ 18 ส่วนผู้ต้องหาที่เหลือซึ่งส่วนใหญ่เข้ามอบตัว อีก 26 คน อัยการสั่งไม่ฟ้อง โดยอ้างว่าพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง และผู้ต้องหาบางคนให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี จึงกันไว้เป็นพยานด้วย
โดยจากคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 26 คน ในครั้งนั้น พล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ รักษาการ ผบ.ตร.ในขณะนั้น ได้ทำความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องคดีของพนักงานอัยการกับผู้ต้องหาทุกคน โดยให้เหตุผลในการทำความเห็นแย้งว่า พนักงานสอบสวนมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะเอาผิดกับผู้ต้องหาทั้งหมดได้ แต่สุดท้าย อัยการสูงสุดมีความเห็นยืนคำสั่งไม่ฟ้องของอัยการ
วันที่ 21 ก.ค.47 นายนัจมุดดีน จำเลยในคดี เดินทางเข้ารายงานตัวต่อศาลอาญาพร้อมกับให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ก่อนยื่นคำร้องประกันตัวออกไป
30 ก.ค.47 ศาลสอบคำให้การของนายนัจมุดดีน โดยนายนัจมุดดีนยืนยันในความบริสุทธิ์ และจะขอต่อสู้ในทุกประเด็น พร้อมระบุการที่ตกเป็นจำเลยในคดีนี้ มั่นใจว่าจะไม่กระทบฐานเสียงของตัวเองเนื่องจากคนในพื้นที่ทราบดีว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์
27 ธ.ค.47 ศาลอาญา สืบพยานโจทก์นัดแรก โดยอัยการโจทก์นำ นายมะยูโซ๊ะ หะยีมามะ อายุ 47 ปี ผู้ใหญ่บ้านบือราแง ต.โต๊ะเด็ง อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส ผู้ต้องหาคดีปล้นปืน ซึ่งอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องก่อนหน้านี้ขึ้นเบิกความสรุป ใจความว่า รู้จักกับนายนัจมุดดีนในฐานะที่เป็นเป็น ส.ส.ในพื้นที่ เคยพูดคุยด้วยเพียงครั้งเดียวเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว และเคยเข้าร่วมประชุมกับนายนัจมุดดีน รวม 3 ครั้ง คือ ครั้งแรกเมื่อต้นเดือน พ.ย.46 มีผู้ร่วมประชุม 10 คน ครั้งที่สอง เมื่อปลายเดือน พ.ย.46 ที่โรงเรียนสัมพันธ์วิทยา จ.นราธิวาส และครั้งสุดท้าย เมื่อเดือน ธ.ค.46 ที่โรงเรียนสัมพันธ์วิทยา ในการประชุมทั้ง 3 ครั้งมีนายนัจมุดดีนเป็นประธาน ไม่เคยมีการพูดถึงเรื่องการปล้นอาวุธปืน หรือการวางแผนก่อความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้
นายมะยูโซ๊ะ เบิกความว่า พยานเคยถูกตำรวจจับกุมเมื่อเดือน มี.ค.47 ภายหลังเหตุการณ์ปล้นอาวุธปืนค่ายทหารกองพันพัฒนาที่ 4 จ.นราธิวาส โดยถูกจับพร้อมกับนายอนุพงศ์ และพวกรวม 5 คนภายหลัง ตำรวจแจ้งข้อหา พยานได้ให้การปฏิเสธ แต่กลับถูกตำรวจใช้ผ้าปิดตา ใส่กุญแจมัดมือ-เท้า ใช้ไฟฟ้าช็อต และปัสสาวะรดปาก ข่มขู่บังคับให้รับสารภาพ พยานจำยอมต้องรับสารภาพเพราะความกลัว พยานเข้าใจภาษาไทยเพียงเล็กน้อย อีกทั้งไม่มีล่ามแปล ตำรวจที่ทำทารุณกับพยานเป็นตำรวจที่ถูกส่งมาจากส่วนกลาง อีก 2 วันถัดมา ตำรวจนำพยานกับกำนันอนุพงศ์ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ โดยตำรวจบังคับให้พยานร่วมทำการชี้จุดที่เกิดเหตุที่มีการประชุมร่วมกับนายนัจมุดดีน ท่ามกลางสื่อมวลชนที่มาทำข่าวจำนวนมาก แต่พยานก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะกลัว
วันนั้นหลังการเบิกความของพยานเสร็จสิ้น พยานยังได้แถลงต่อศาลว่า ตำรวจกองปราบปรามเป็นผู้นำตัวพยานมาเบิกความต่อศาล เมื่อเบิกความเสร็จ พยานรู้สึกหวาดกลัว ไม่กล้ากลับไปที่กองปราบปรามอีก เนื่องจากกระเป๋าเสื้อผ้าของพยานอยู่กับตำรวจ ศาลจึงมีคำสั่งให้ พ.ต.ท.สมควร พึ่งทรัพย์ สว.แผนก 4 กก.2 กองปราบปราม ผู้นำพยานมาเบิกความ แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามนำกระเป๋าเสื้อผ้าของพยานมาให้ที่ศาลอาญาด้วย
คดีปล้นปืนค่ายทหาร-ก่อความไม่สงบจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ "ดีเอสไอ "จ้องจับ 2 นักการเมือง "ล. และ อ." จะนำไปสู่ความสงบในพื้นที่หรือไม่... หรือว่าเป็นการสร้างข่าว สร้างกระแส และสุดท้าย หากมีการจับกุมแล้วแต่ไร้หลักฐาน ไม่สามารถดำเนินคดีได้เหมือนกับผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 26 คนที่ถูกจับกุม และอัยการสั่งไม่ฟ้องไปก่อนหน้า
คดีปล้นปืน...ถือเป็นปฐมบทแห่งความรุนแรง ภายใต้โจทย์แบ่งแยกดินแดน...หลังคดีปล้นปืน ความรุนแรงได้เกิดตามมาหลายครั้งหลายครา (โจรใต้ ผู้ก่อการ ประชาชน และเจ้าหน้าที่รัฐ) ต้องสูญเสียเลือดเนื้อหลายต่อหลายราย เหตุการณ์กรือเซะ สลายม็อบตากใบ ที่ยังอยู่ในความทรงจำของผู้คน และถูกบันทึกไว้ในหน้าหนึ่งประวัติศาสตร์ "สถานการณ์ใต้" สุดท้าย คดีภาคใต้ หากทำเพื่อความสงบสุขของแผ่นดินชายแดนใต้ ทำเพื่อประเทศชาติโดยรวม ปราศจากการแบ่งแยกแบ่งฝ่ายทางการเมือง แน่นอน...ความสงบในพื้นที่ก็จะเกิดตามมาในเร็วๆนี้....


