ในสถานการณ์
บิ๊กเบญ
พลันที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ รองนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รอง ผบ.ตร. เข้าไปดูแล แก้ไขปัญหาวงการตำรวจไทย ที่วันนี้...โลกเปลี่ยน สังคมเปลี่ยน ความคาดหวังเปลี่ยน แต่การปรับปรุงอบรมยังเปลี่ยนไม่ทัน...โดยที่ นายกฯย้ำว่า "หากคนจบด็อกเตอร์ 3 คน ทำไม่ได้ก็ให้มันรู้ไป"
เรื่องอื้อฉาว "ตำรวจ สน.ลุมพินี ขังลืม 2 ผู้ต้องหาสามีภรรยา และ ตำรวจ สภ.อ.อุทัย และ สภ.อ.พระนครศรีอยุธยา ใช้ระบบ"ศาลเตี้ย" ซ้อมและใช้ไฟฟ้าช็อต อวัยวะเพศ ของผู้ต้องหา เพื่อให้รับสารภาพ" ถือเป็นเหตุการณ์ ที่ปลุกให้ผู้เกี่ยวข้องตื่นขึ้น มายอมรับกับความเป็นจริง ว่าวันนี้...."โครงสร้างใหม่(สตช.)เกิดแล้ว แต่การปฎิบัติ ยังใช้ระบบเก่า บุคคลากร ยังมีความคิดแบบเก่าๆ"
"ตำรวจขาดวุฒิภาวะ ถูกล่อหลอมมาเร็วเกินไป
ความฉลาดทางอารมณ์ไม่มี หลังถูกยั่วยุ
ถูกครอบงำจากรุ่นพี่ที่ได้กระทำในสิ่งผิดๆ
กำหนดสถิติการจับกุมเพื่อเป็นประโยชน์ในการย้ายสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น ผู้บังคับบัญชากดดันลูกน้องให้จับกุม เพื่อหวังแถลงข่าวเสนอหน้าเอาผลงาน ยึดติดค่านิยม เป็นตำรวจ คือ นายประชาชน"
นั่นคือ....คำพูดของเหล่าผู้รู้ ที่ได้วิพากษ์วิจารณ์ วงการตำรวจไทย หลังเกิด 2 เรื่องอื้อฉาว และแน่นอน ตำรวจ ไม่สามารถปฎิเสธความจริง ที่กำลังทำอยู่ หลายต่อหลายคดี ที่ ผู้บังคับบัญชา ขีดเส้นให้จับกุม การจับแพะ การซ้อมผู้ต้องหา จึงเกิดตามมา สุดท้าย หลายต่อ หลายคดี ที่ขึ้นสู่ศาลสถิตยุติธรรม ศาลต้องยกฟ้อง เนื่องจากไม่มีพยานหลักฐานเอาผิดกับแพะผู้บริสุทธิ์เหล่านั้นได้
คดีฆาตกรรม นางสาวเชอรี่แอน ดันแคน สาวลูกครึ่งไทย-อเมริกัน คือสุดยอดของการสร้างพยานเท็จโยนบาปให้คนบริสุทธิ์ สร้างรอยด่างให้กับวงการตำรวจไทย มาถึงทุกวันนี้....
อีกตัวอย่างชัดๆกรณีอัยการศาลจังหวัดปทุมธานี ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง น.ส.ทองคำ ครคง ผู้ต้องหาคดี "ปล้นทรัพย์" ที่ถูก "จับผิดตัว" โดยถูกขังคุกอยู่กว่า 1 ปี โดยรายนี้ซวยเพราะ"ชื่อ-นามสกุล" เดียวกันกับผู้กระทำผิด ทั้งๆที่ในบัตรประชาชนก็ระบุว่าเป็น "นางสาว" หรือ "น.ส." แต่ผู้ต้องหาเป็น "นาง" ทั้งๆที่กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน-เพื่อนบ้าน ยกขบวนเป็นพยานให้ แต่ก็ไม่เป็นผล
เหตุการณ์คล้ายๆกัน "ชาวเขา" คนหนึ่งเดินทางลงจากเขาเพื่อเยี่ยมญาติที่โรงพยาบาล แต่ถูกจับเป็นผู้ต้องหาเกี่ยวข้องกับการซื้อ-ขาย "ยาเสพติด" ถูกขังอยู่ 1 ปี 4 เดือน จนกลุ่มศิลปวัฒนธรรมกระจกเงาเข้าช่วยเหลือ จึงได้กลับคืนสู่ภูเขาสูงอีกครั้ง
ขณะที่ ข้อมูลการร้องเรียนกรณี "ติดคุกฟรี" โดยไม่ได้กระทำผิดเฉพาะปี 2545 มีถึง 123 ราย โดยพบคดีร่วม 30 เปอร์เซ็นต์ ในศาล คือ"แพะ"หรือ"เหยื่ออาชญากรรม" โดยที่ศาลไม่มีวันรู้ว่าคดีไหนใครเป็นแพะ ทุกอย่างพิจารณาจากพยานและหลักฐาน และไม่รู้ว่ามีการสร้าง "พยานเท็จ"หรือ "เอกสารปลอม"หรือไม่....
ความผิดพลาด ทั้งหลาย ทั้งปวง ที่กล่าวมา จะไม่เกิดขึ้น หรือ เกิดน้อยลง และหมดไป...
หาก"ตำรวจ"ด่านแรกของกระบวนการยุติธรรมไทย ทำคดีโดยยึดหลักตัวบท กฎหมายอย่างเข้มงวด เปลี่ยนทัศนคติ เปลี่ยนกระบวนการสอบสวน ลดความคิดดั้งเดิม โดยพัฒนาทั้งเรื่อง"ระบบและตัวบุคคล" ตั้งแต่เรียนจบ จนกระทั่งเกษียณ ดั่งที่ "ร.ต.อ.ปุระชัย" ตั้งความหวังไว้ และ...หากวันนั้นมาถึง "ตำรวจไทย" คือ "ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์" อย่างแท้จริง...
บิ๊กเบญ
พลันที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ รองนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รอง ผบ.ตร. เข้าไปดูแล แก้ไขปัญหาวงการตำรวจไทย ที่วันนี้...โลกเปลี่ยน สังคมเปลี่ยน ความคาดหวังเปลี่ยน แต่การปรับปรุงอบรมยังเปลี่ยนไม่ทัน...โดยที่ นายกฯย้ำว่า "หากคนจบด็อกเตอร์ 3 คน ทำไม่ได้ก็ให้มันรู้ไป"
เรื่องอื้อฉาว "ตำรวจ สน.ลุมพินี ขังลืม 2 ผู้ต้องหาสามีภรรยา และ ตำรวจ สภ.อ.อุทัย และ สภ.อ.พระนครศรีอยุธยา ใช้ระบบ"ศาลเตี้ย" ซ้อมและใช้ไฟฟ้าช็อต อวัยวะเพศ ของผู้ต้องหา เพื่อให้รับสารภาพ" ถือเป็นเหตุการณ์ ที่ปลุกให้ผู้เกี่ยวข้องตื่นขึ้น มายอมรับกับความเป็นจริง ว่าวันนี้...."โครงสร้างใหม่(สตช.)เกิดแล้ว แต่การปฎิบัติ ยังใช้ระบบเก่า บุคคลากร ยังมีความคิดแบบเก่าๆ"
"ตำรวจขาดวุฒิภาวะ ถูกล่อหลอมมาเร็วเกินไป
ความฉลาดทางอารมณ์ไม่มี หลังถูกยั่วยุ
ถูกครอบงำจากรุ่นพี่ที่ได้กระทำในสิ่งผิดๆ
กำหนดสถิติการจับกุมเพื่อเป็นประโยชน์ในการย้ายสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น ผู้บังคับบัญชากดดันลูกน้องให้จับกุม เพื่อหวังแถลงข่าวเสนอหน้าเอาผลงาน ยึดติดค่านิยม เป็นตำรวจ คือ นายประชาชน"
นั่นคือ....คำพูดของเหล่าผู้รู้ ที่ได้วิพากษ์วิจารณ์ วงการตำรวจไทย หลังเกิด 2 เรื่องอื้อฉาว และแน่นอน ตำรวจ ไม่สามารถปฎิเสธความจริง ที่กำลังทำอยู่ หลายต่อหลายคดี ที่ ผู้บังคับบัญชา ขีดเส้นให้จับกุม การจับแพะ การซ้อมผู้ต้องหา จึงเกิดตามมา สุดท้าย หลายต่อ หลายคดี ที่ขึ้นสู่ศาลสถิตยุติธรรม ศาลต้องยกฟ้อง เนื่องจากไม่มีพยานหลักฐานเอาผิดกับแพะผู้บริสุทธิ์เหล่านั้นได้
คดีฆาตกรรม นางสาวเชอรี่แอน ดันแคน สาวลูกครึ่งไทย-อเมริกัน คือสุดยอดของการสร้างพยานเท็จโยนบาปให้คนบริสุทธิ์ สร้างรอยด่างให้กับวงการตำรวจไทย มาถึงทุกวันนี้....
อีกตัวอย่างชัดๆกรณีอัยการศาลจังหวัดปทุมธานี ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง น.ส.ทองคำ ครคง ผู้ต้องหาคดี "ปล้นทรัพย์" ที่ถูก "จับผิดตัว" โดยถูกขังคุกอยู่กว่า 1 ปี โดยรายนี้ซวยเพราะ"ชื่อ-นามสกุล" เดียวกันกับผู้กระทำผิด ทั้งๆที่ในบัตรประชาชนก็ระบุว่าเป็น "นางสาว" หรือ "น.ส." แต่ผู้ต้องหาเป็น "นาง" ทั้งๆที่กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน-เพื่อนบ้าน ยกขบวนเป็นพยานให้ แต่ก็ไม่เป็นผล
เหตุการณ์คล้ายๆกัน "ชาวเขา" คนหนึ่งเดินทางลงจากเขาเพื่อเยี่ยมญาติที่โรงพยาบาล แต่ถูกจับเป็นผู้ต้องหาเกี่ยวข้องกับการซื้อ-ขาย "ยาเสพติด" ถูกขังอยู่ 1 ปี 4 เดือน จนกลุ่มศิลปวัฒนธรรมกระจกเงาเข้าช่วยเหลือ จึงได้กลับคืนสู่ภูเขาสูงอีกครั้ง
ขณะที่ ข้อมูลการร้องเรียนกรณี "ติดคุกฟรี" โดยไม่ได้กระทำผิดเฉพาะปี 2545 มีถึง 123 ราย โดยพบคดีร่วม 30 เปอร์เซ็นต์ ในศาล คือ"แพะ"หรือ"เหยื่ออาชญากรรม" โดยที่ศาลไม่มีวันรู้ว่าคดีไหนใครเป็นแพะ ทุกอย่างพิจารณาจากพยานและหลักฐาน และไม่รู้ว่ามีการสร้าง "พยานเท็จ"หรือ "เอกสารปลอม"หรือไม่....
ความผิดพลาด ทั้งหลาย ทั้งปวง ที่กล่าวมา จะไม่เกิดขึ้น หรือ เกิดน้อยลง และหมดไป...
หาก"ตำรวจ"ด่านแรกของกระบวนการยุติธรรมไทย ทำคดีโดยยึดหลักตัวบท กฎหมายอย่างเข้มงวด เปลี่ยนทัศนคติ เปลี่ยนกระบวนการสอบสวน ลดความคิดดั้งเดิม โดยพัฒนาทั้งเรื่อง"ระบบและตัวบุคคล" ตั้งแต่เรียนจบ จนกระทั่งเกษียณ ดั่งที่ "ร.ต.อ.ปุระชัย" ตั้งความหวังไว้ และ...หากวันนั้นมาถึง "ตำรวจไทย" คือ "ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์" อย่างแท้จริง...