“รักเกียรติ ” โต้ ปปง.ไม่มีอำนาจยึดทรัพย์ตกทอด ยันต้องดำเนินการตามคำพิพากษาศาลฎีกา ขณะที่พนักงานสอบสวนเตรียมส่ง “รักเกียรติ” ให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิจารณาพรุ่งนี้
วันนี้ (31 ต.ค.) คณะแพทย์ได้เดินทางมาเจาะเลือดเพื่อตรวจร่างกาย นายรักเกียรติ สุขธนะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จำเลยคดีทุจริตยา เนื่องจากนายรักเกียรติมีโรคประจำตัวคือความดันสูง และโรคเบาหวาน แต่อาการไม่น่าเป็นห่วง
นายรักเกียรติ กล่าวว่า การที่ต้องนอนอยู่ที่สถานีตำรวจไม่สบายเหมือนกับอยู่ข้างนอก เพราะไม่เคยลำบากมาก่อน และกำลังปรับสภาพเพื่อไปรับโทษในเรือนจำตามที่ศาลพิพากษาสั่งจำคุก 15 ปี ส่วนเหตุที่ไม่ไปรับฟังคำพิพากษาของศาลที่ผ่านมา เพราะยังทำใจไม่ได้
สำหรับกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) จะยึดทรัพย์นั้น นายรักเกียรติยืนยันว่า ปปง.ไม่มีอำนาจที่จะดำเนินการยึดทรัพย์บุคคลใกล้ชิด เช่น บุตร และภรรยาได้ เนื่องจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำสั่งยึดทรัพย์ตนตั้งแต่ปี 2541 ดังนั้น ปปง.ไม่มีอำนาจที่จะทำนอกเหนือคำสั่งของศาลฎีกา พร้อมปฏิเสธไม่มีทรัพย์สิน บ้าน และที่ดิน จำนวน 24 แปลง ตามที่มีข่าวจะถูกยึด เนื่องจากไม่ได้เป็นเจ้าของทรัพย์สิน ส่วนภรรยามีชื่อในที่ดินก็จริง แต่ได้มาก่อนดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี
“ทรัพย์สินจำนวน 233 ล้านบาท ที่ปรากฏในสำนวนการสอบสวน เป็นบัญชีเงินเข้า-ออก สมัยเมื่อปี 2541 แต่แท้จริงแล้วเป็นเงินที่เล่นการพนันที่มีการโอนผ่านบัญชี แต่เมื่อเล่นเสียไม่ได้หักออก จึงทำให้ตัวเลขมีมากถึงขนาดนั้น ท้ายที่สุดเสียการพนันหมด ผมว่า ปปง.ไม่มีอำนาจยึดทรัพย์สิน นอกเหนือจากคำพิพากษาของศาลฎีกา และจะยึดได้เฉพาะที่เป็นชื่อของผมเท่านั้น” นายรักเกียรติ กล่าว
นายรักเกียรติ ยืนยันว่า กรณีที่ปรากฏตัวต่อสาธารณชนจนทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล และการจับกุมตัวครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไร ไม่ใช่แผนการของรัฐบาลเพื่อกลบกระแสข่าวเรื่องภาคใต้
โดยในวันพรุ่งนี้ (1 พ.ย.) ตำรวจ สภ.อ.ปากเกร็ด จะนำตัวนายรักเกียรติส่งให้ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เวลา 09.00 น.
วันนี้ (31 ต.ค.) คณะแพทย์ได้เดินทางมาเจาะเลือดเพื่อตรวจร่างกาย นายรักเกียรติ สุขธนะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จำเลยคดีทุจริตยา เนื่องจากนายรักเกียรติมีโรคประจำตัวคือความดันสูง และโรคเบาหวาน แต่อาการไม่น่าเป็นห่วง
นายรักเกียรติ กล่าวว่า การที่ต้องนอนอยู่ที่สถานีตำรวจไม่สบายเหมือนกับอยู่ข้างนอก เพราะไม่เคยลำบากมาก่อน และกำลังปรับสภาพเพื่อไปรับโทษในเรือนจำตามที่ศาลพิพากษาสั่งจำคุก 15 ปี ส่วนเหตุที่ไม่ไปรับฟังคำพิพากษาของศาลที่ผ่านมา เพราะยังทำใจไม่ได้
สำหรับกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) จะยึดทรัพย์นั้น นายรักเกียรติยืนยันว่า ปปง.ไม่มีอำนาจที่จะดำเนินการยึดทรัพย์บุคคลใกล้ชิด เช่น บุตร และภรรยาได้ เนื่องจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำสั่งยึดทรัพย์ตนตั้งแต่ปี 2541 ดังนั้น ปปง.ไม่มีอำนาจที่จะทำนอกเหนือคำสั่งของศาลฎีกา พร้อมปฏิเสธไม่มีทรัพย์สิน บ้าน และที่ดิน จำนวน 24 แปลง ตามที่มีข่าวจะถูกยึด เนื่องจากไม่ได้เป็นเจ้าของทรัพย์สิน ส่วนภรรยามีชื่อในที่ดินก็จริง แต่ได้มาก่อนดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี
“ทรัพย์สินจำนวน 233 ล้านบาท ที่ปรากฏในสำนวนการสอบสวน เป็นบัญชีเงินเข้า-ออก สมัยเมื่อปี 2541 แต่แท้จริงแล้วเป็นเงินที่เล่นการพนันที่มีการโอนผ่านบัญชี แต่เมื่อเล่นเสียไม่ได้หักออก จึงทำให้ตัวเลขมีมากถึงขนาดนั้น ท้ายที่สุดเสียการพนันหมด ผมว่า ปปง.ไม่มีอำนาจยึดทรัพย์สิน นอกเหนือจากคำพิพากษาของศาลฎีกา และจะยึดได้เฉพาะที่เป็นชื่อของผมเท่านั้น” นายรักเกียรติ กล่าว
นายรักเกียรติ ยืนยันว่า กรณีที่ปรากฏตัวต่อสาธารณชนจนทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล และการจับกุมตัวครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไร ไม่ใช่แผนการของรัฐบาลเพื่อกลบกระแสข่าวเรื่องภาคใต้
โดยในวันพรุ่งนี้ (1 พ.ย.) ตำรวจ สภ.อ.ปากเกร็ด จะนำตัวนายรักเกียรติส่งให้ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เวลา 09.00 น.