xs
xsm
sm
md
lg

ศึก เหยื่อโคบอลท์ -60 ภาค 2

เผยแพร่:   โดย: อมรเดช ชูสุวรรณ

วานนี้ (17 ก.ค.) กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจาก สารพิษโคบอลท์ –60 ,คุณสมชาย หอมละออ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนาย และนายสุรชัย ตรงงาม ทนายความ ได้เดินทางไปยื่นอุทธรณ์ คัดค้านคำพิพากษาศาลแพ่ง ในคดีที่ นางสาวจิตราภรณ์ เจียรอุดมทรัพย์โจทก์และโจทก์ร่วมอีก10 คน ฟ้อง บ.กมลสุโกศล อิเลคทริค จำกัด,บริษัทกมลสุโกศล จำกัด,นางกมลา สุโกศล กรรมการผู้จัดการบริษัทฯ,น.ส.เลียบ เธียรประสิทธิ์ กรรมการบริษัทฯ, และนายเชวง สุวรรณรัตน์ ผู้จัดการฝ่ายเครื่องมือแพทย์ เป็นจำเลยที่ 1-5 ตามลำดับ ในความผิดฐานละเมิด เรียกค่าเสียหายรวม 109,264,360 บาท

โดยการยื่นอุทธรณ์ คัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้น เนื่องจากวันที่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมา ศาลแพ่งได้ตัดสิน ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งหมด รวม 640,270 บาท กับการชำระดอกเบี้ยอีกร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นการชดใช้เพิ่มเติมจากจำนวนเงิน ที่ศาลปกครองกลาง ได้พิพากษา ให้สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติฯ ชดใช้ไปแล้วเป็นจำนวนเงิน 5,222,301 บาท ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจ คือคำฟ้องอุทธรณ์โจทก์ ซึ่งได้เรียกค่าสินไหมทดแทนเพิ่มอีก 12 ล้านบาท และมีการจัดวางปัญหาข้อเท็จจริง และปัญหาข้อกฎหมายเป็นประเด็น ขึ้นสู้ เพราะไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ดังนี้

ประเด็นที่ (1) ที่ศาลชั้นต้น ยกฟ้องจำเลยที่ 2 (บ.กมลสุโกศล จำกัด) ซึ่งศาลมีความเห็นว่าไม่ต้องร่วมรับผิดกับ จำเลยที่ 1(บ.กมลสุโกศลอิเลคทริค จำกัด) นั้น

โจทก์ เห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้ครอบครองเครื่องฉายโคบอลท์ -60 อันเป็นวัตถุกัมมันตรังสี ซึ่งเป็นวัตถุอันตราย และแหล่งกำเนิดมลพิษ ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริม และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535 ดังนั้นการที่จำเลยที่ 1 และ2 มิได้ใช้ความระมัดระวัง ในการดูแลรักษา และจัดเก็บให้ถูกต้องปลอดภัย และไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายเกิดจากโจทก์ด้วยเหตุสุดวิสัย หรือเป็นเพราะความผิดของโจทก์ จึงถือได้ว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดมลพิษ และวัตถุอันตราย ที่ต้องร่วมกันรับผิดชอบต่อความเสียหายในฐานะผู้กระทำละเมิด
ประเด็นที่ 2 ที่ว่าจำเลยที่ 3 (นางกมลา สุโกศ ) จำเลยที่ 4 (น.ส.เลียบ เธียรประสิทธิ์) ต้องรับผิดชอบเป็นส่วนตัวหรือไม่

โจทก์ เห็นว่า เนื่องจากนิติบุคคล ไม่สามารถกระทำการด้วยตนเอง แต่ต้องกระทำการด้วยการแสดงออกด้วยกรรมการ คดีนี้ มีจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 โดยเป็นผู้สั่งการ และอนุญาตให้นำเครื่องฉายรังสีโคบอลท์ -60 มาเก็บไว้ที่โรงจอดรถของจำเลยที่ 2 โดยมิได้ขออนุญาตขนย้าย เก็บรักษา และครอบครอง ต่อสำนักงานพลังงานปรมณูเพื่อสันติ ให้ถูกต้องตามกฏหมาย และมิได้ดำเนินการเก็บรักษาเครื่องฉายรังสีโคบอลท์ -60 ในโรงเรือนที่ทีความแข็งแรงตลอดจนไม่มีป้ายเตือนที่ถูกต้อง ตามระเบียบ จนกระทั้งมีบุคคลนำเครื่องฉายโคบอลท์ -60 ออกจากลานจอดรถของจำเลยที่ 2 จนนำไปสู่ความเสียหายต่อสุขภาพโจทก์ทั้งหมดสภาพการณ์ดังกล่าว จึงถือได้ว่า เป็นผลโดยตรง จากการมีคำสั่ง หรือ คำอนุญาตของจำเลยที่ 3 และ4 ซึ่งต้องร่วมรับผิด เป็นการส่วนตัว ร่วมกับ จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ด้วย

ประเด็นที่ (3) โจทก์บางคน ต้องมีส่วนรับผิดในการกระทำละเมิด หรือไม่

โจทก์ เห็นว่า เนื่องจากข้อเท็จจริง เป็นอันยุติแล้วว่า แท่งสแตนเลส บรรจุสารกัมมันตรังสีโคบอลท์ –60 ไม่มีเครื่องหมาย หรือสัญลักษณ์ใดๆ แจ้งเตือนถึงอันตราย ที่ต้องใช้ความระมัดระวัง เป็นพิเศษในการรับซื้อ และตัดแยกชิ้นส่วน แท่งโลหะดังกล่าวเป็นพิเศษกว่าวัตถุอื่นๆ ดังนั้น การแยกชิ้นส่วน จึงมีความจำเป็นในการที่ต้องทำไปตามธุรกิจ การค้าตามปกติ มิได้เกิดจากความประมาท ใดๆ ทั้งสิ้นจึงไม่ควรได้รับค่าลดหย่อนความเสียหาย การพิจารณากำหนดค่าสินไหมทดแทน และสมควรได้รับค่าสินไหมทดแทน เต็มตามจำนวนที่ได้รับความเสียหายจริง

ประเด็นที่ (4) โจทก์ มีสิทธิ์เรียกร้องค่ารักษาพยาบาล ที่หน่วยงานรัฐออกให้หรือไม่

ตามที่ศาลชั้นต้นได้มีคำวินิจฉัยว่า ในส่วนขอค่ารักษาพยาบาลที่โจทก์แต่ละคนเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสุมทรปราการ และโรงพยาบาลราชวิถี ซึ่งแต่ละคนเรียกมานั้นปรากฏ จากคำเบิกความพยานโจทก์ว่า ทางโรงพยาบาลไม่ได้เรียกเก็บค่ารักษาพยาบาลแต่อย่างใด และโจทก์แต่ละคนไม่ได้จ่ายไปตามที่เรียกมา ศาลจึงไม่กำหนดให้

โจทก์เห็นว่า การรักษาพยาบาล ของโรงพยาบาลทั้งสองแห่ง เป็นสวัสดิการของรัฐ ซึ่งมิใช่การเข้าให้ความช่วยเหลือ ของจำเลยที่ 1 ถึง 4 ค่าใช้จ่ายเพื่อการรักษาพยาบนับ 10 ล้านบาท ที่รัฐจ่ายออกไป จำเลยที่ 1-4 ก็ไม่เคยใช้คืน หรือมีแนวคิดที่จะดำเนินการใดๆ จะชดใช้คืนให้แก่หน่วยงานของรัฐแต่อย่างใด
จึงไม่เป็นการตัดสิทธิ ในการที่โจทก์ จะเรียกเอาจากจำเลย ซึ่งเป็นผู้กระทำละเมิดโดยตรง

ประเด็นที่ (5) เมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์ และความร้ายแรง แห่งการกระทำละเมิดของโจทก์ ศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายอย่างอื่น ที่มิใช่ตัวเงินน้อยเกินไป และมิได้กำหนดค่าเสียหายในเชิงลงโทษ เพื่อเป็นการลงโทษ มิให้เป็นแบบอย่างให้เกิดการกระทำเช่นนี้อีก

โจทก์ เห็นว่า พฤติการณ์ และความร้ายแรงแห่งละเมิดของจำเลยที่ 1 ถึง 4 ไม่เพียงส่งผลต่อโจทก์ แต่ยังส่งผลถึงสาธารณชนโดยรวม สมควรที่ศาลจะได้ใช้ดุลยพินิจ กำหนดมาตรการเชิงลงโทษ กับจำเลย โดยกำหนดค่าเสียหายอันมิอาจคำนวณ เป็นตัวเงินค่าเสียหายในเชิงลงโทษ ให้กับโจทก์ทั้งหมด เพื่อเป็นแบบอย่างป้องกันมิให้ผู้ประกอบการ หรือบุคคลใด ที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์อันตราย อันอาจเกิดมลพิษต่อประชาชน และสิ่งแวดล้อมได้เพิกเฉยต่อความปลอดภัย อันเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเช่นในคดีนี้ จากนี้ ต้องจับตา ต่อไปว่า บ.สุโกศล ในฐานะจำเลย จะให้การต่อสู้ แก้คำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์อย่างไร เพราะกระบวนการต่อสู้ ในยกที่ 2 ได้เริ่มขึ้นแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น