กิตตินันท์ นาคทอง Facebook.com/kittinanlive
หลังหยุดให้บริการมานานกว่า 2 ปี จากสถานการณ์โควิด-19 ล่าสุดการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดให้บริการรถไฟ ชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ ฝั่งประเทศมาเลเซีย ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา
(อ่านประกอบ : เปิดแล้ว! รถไฟหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์-มาเลเซีย เชื่อมเส้นทางการท่องเที่ยว 2 ประเทศ หลังหยุดยาวจากโควิด-19)
ตอนที่ได้ยินข่าวก็รู้สึกดีใจ เพราะประมาณปี 2562 เคยแบกเป้นั่งรถไฟ KTM Komuter จากปาดังเบซาร์ 2 ชั่วโมง ไปถึงบัตเตอร์เวอร์ธ แล้วข้ามเรือเฟอร์รี่ไปเที่ยวเกาะปีนัง รู้สึกประทับใจในความทันสมัย สะอาด ปลอดภัย
พอขากลับ ถึงสถานีปาดังเบซาร์แล้ว จ๊อบพาสปอร์ตเสร็จ มาเจอรถไฟไทยนั่งพัดลม รถไฟค่อยๆ ข้ามประตูพรมแดนไทย-มาเลเซีย มาถึงสถานีชุมทางหาดใหญ่ กลับสู่บรรยากาศเดิม ๆ อีกครั้ง พูดอะไรไม่ได้เท่าไหร่
อันที่จริงก็ใช่ว่ารถไฟไทยจะไม่พัฒนาเลยเสียทีเดียว ที่ใกล้เคียงก็มี รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง แต่ยังไปได้ถึงสถานีรังสิต กับสถานีตลิ่งชัน เทียบกับของมาเลเซียมีนับร้อยกิโลเมตร ก็ต้องรอขยายเส้นทางให้ไปไกลกว่านี้กันต่อไป
ก่อนหน้านี้สถานการณ์โควิด-19 เกิดการแพร่ระบาดทั่วโลก ทางการมาเลเซียออกมาตรการห้ามเข้า-ออกประเทศในช่วงที่ผ่านมา รถไฟชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ จึงหยุดให้บริการไปเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2563
ย้อนกลับไปในอดีต เราเคยมีขบวนด่วนพิเศษระหว่างประเทศ กรุงเทพ-บัตเตอร์เวอร์ธ และขบวนรถลังกาวี ชุมทางหาดใหญ่-กัวลาลัมเปอร์ ก่อนจะขยายไปถึงสถานียะโฮร์บาห์รู เพื่อเป็นทางเลือกข้ามแดนไปประเทศสิงคโปร์
ส่วนรถไฟชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ (มาเลเซีย) เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2558 สมัยก่อนใช้รถดีเซลรางนั่งปรับอากาศชั้น 2 แต่ทราบว่าสภาพรถไปต่อไม่ไหว จึงเปลี่ยนมาเป็นรถพัดลมแทน
การกลับมาเปิดรถไฟครั้งนี้ ออกจากสถานีชุมทางหาดใหญ่ รับ-ส่งผู้โดยสารที่สถานีคลองแงะ สถานีปาดังเบซาร์ ฝั่งไทย แล้วข้ามแดนไปจอดที่สถานีปาดังเบซาร์ ฝั่งมาเลเซีย ไป-กลับวันละ 4 ขบวน ได้แก่
- ขบวน 947 ชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ ออกจากชุมทางหาดใหญ่ 07.30 น. ถึงปาดังเบซาร์ 08.25 น.
- ขบวน 948 ปาดังเบซาร์-ชุมทางหาดใหญ่ ออกจากปาดังเบซาร์ 08.55 น. ถึงชุมทางหาดใหญ่ 09.50 น.
- ขบวน 949 ชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ ออกจากชุมทางหาดใหญ่ 14.00 น. ถึงปาดังเบซาร์ 14.55 น.
- ขบวน 950 ปาดังเบซาร์-ชุมทางหาดใหญ่ ออกจากปาดังเบซาร์ 15.40 น. ถึงชุมทางหาดใหญ่ 16.35 น.
เมื่อถึงสถานีปาดังเบซาร์ ฝั่งมาเลเซีย ที่นั่นมีด่านตรวจคนเข้าเมือง สามารถเข้าประเทศมาเลเซียตามขั้นตอนที่กำหนด แล้วต่อรถไฟ KTM Komuter ไปสถานีบัตเตอร์เวอร์ธ หรือรถไฟ ETS ไปกรุงกัวลาลัมเปอร์ได้
ซึ่งถ้าเป็นรถไฟ ETS นำขบวนรถรุ่นใหม่มาให้บริการตั้งแต่ปี 2562 หนึ่งในนั้นจะมีชั้น Business Class ที่นั่งกว้าง มีหน้าจอส่วนตัว และสิ่งอำนวยความสะดวกเทียบกับชั้นธุรกิจของสายการบิน
ปัจจุบัน คนไทยที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวประเทศมาเลเซีย จำเป็นต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน MySejahtera โดยกรอกข้อมูลแบบฟอร์มที่เรียกว่า Digital Pre-Departure Form (DPDF) ในเมนู Traveller แล้วนำมาแสดงแก่เจ้าหน้าที่
ผู้ที่ได้รับวัคซีนครบโดส ลงทะเบียนแล้วเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องกักตัว แต่ถ้าไม่ได้รับวัคซีน หรือได้รับวัคซีนไม่ครบโดส ต้องตรวจ RT-PCR ก่อนออกเดินทาง 2 วัน ตรวจ RTK-Ag ภายใต้การดูแลภายใน 24 ชั่วโมง และกักตัวอีก 5 วัน
(โปรดตรวจสอบมาตรการเดินทางเข้าประเทศมาเลเซียอีกครั้ง ได้ที่เว็บไซต์ https://mysafetravel.gov.my)
น่าสังเกตว่า การรถไฟมาลายา (KTM Berhad) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเดินรถไฟฝั่งประเทศมาเลเซีย โปรโมตขบวนรถไฟหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ จากประเทศไทยมาตั้งแต่ต้นเดือน ชาวมาเลเซียให้ความสนใจไม่น้อย
แต่สำหรับการรถไฟแห่งประเทศไทย ไม่พบว่ามีการประชาสัมพันธ์รถไฟหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์เลย มีเพียงนายสถานีชุมทางหาดใหญ่ออกมาให้ข่าว และสื่อมวลชนเพียงไม่กี่สำนักเท่านั้นที่นำเสนอข่าว
ตอนนี้ที่หาดใหญ่ รถทัวร์หาดใหญ่-กัวลาลัมเปอร์ กลับมาเปิดให้บริการแล้ว รถทัวร์หาดใหญ่-สิงคโปร์ จะเปิดให้บริการตามมา ไม่นับรวมเที่ยวบินแอร์เอเชียจากกัวลาลัมเปอร์ และสกู๊ตจากสิงคโปร์เข้ามาอีก
ทราบมาว่า หลังเปิดการเดินรถไฟชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ คนในพื้นที่ต่างรู้สึกดีใจที่รถไฟกลับมาวิ่งอีกครั้ง หวังจะกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ และเห็นว่ารถไฟไทยน่าจะปรับปรุงให้ทัดเทียมกับมาเลเซีย
ฟังแล้วทำให้นึกถึงโครงการรถไฟทางคู่ ชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ ระยะทาง 45 กิโลเมตร งบประมาณ 6,660 ล้านบาท พบว่าอยู่ในระหว่างผลักดันให้เป็น 1 ใน 7 เส้นทาง โครงการรถไฟทางคู่ระยะที่ 2
แต่ที่จะได้ก่อสร้างก่อนใครเพื่อน คือ โครงการรถไฟทางคู่ ช่วงขอนแก่น-หนองคาย ระยะทาง 167 กิโลเมตร งบประมาณ 29,700 ล้านบาท ทราบว่าเตรียมจะยื่นเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเดือนสิงหาคมนี้
สำหรับรูปแบบเส้นทางชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ จะเป็นรถไฟทางคู่ระบบปิด โครงสร้างพื้นดินและทางยกระดับ มีสถานีทั้งหมด 3 สถานี ได้แก่ สถานีศาลาทุ่งลุง สถานีคลองแงะ (ยกระดับ) และสถานีปาดังเบซาร์ (ฝั่งไทย)
ส่วนป้ายหยุดรถมี 3 จุด ได้แก่ ป้ายหยุดรถบ้านพรุ ป้ายหยุดรถคลองรำ ป้ายหยุดรถบ้านท่าข่อย และมีย่านกองเก็บและขนถ่ายสินค้า (Container Yard หรือ CY) 1 แห่ง คือ สถานีปาดังเบซาร์ (ฝั่งไทย)
เดิมโครงการนี้จะติดตั้งระบบจ่ายไฟฟ้า เพื่อรองรับการขยายเส้นทางรถไฟฟ้า ETS จากกรุงกัวลาลัมเปอร์ให้เข้ามาถึงสถานีชุมทางหาดใหญ่ แต่ปีที่แล้ว สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ศสช.) กลับไม่เห็นด้วย
ให้เหตุผลว่า การติดตั้งระบบจ่ายไฟฟ้า อาจจะเอื้อประโยชน์ให้กับมาเลเซีย ขอให้การรถไฟฯ ทบทวนโดยถอดระบบจ่ายไฟฟ้าออก และปรับให้เป็นรถไฟทางคู่เหมือนโครงการอื่นแทน
ตอนนั้นเป็นที่วิจารณ์กันว่า ทำไมสภาพัฒน์ฯ ถึงถ่วงความเจริญ เพราะการเพิ่มระบบจ่ายไฟฟ้า ไม่ใช่แค่คนมาเลย์ได้ประโยชน์ แต่คนหาดใหญ่ก็ได้ประโยชน์จากนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาด้วย แทนที่จะทำให้เชื่อมต่อกันได้สะดวก
แต่ก็มีคนเห็นแย้งว่า รถไฟโซนภาคใต้ยังไม่มีรถไฟฟ้า ถ้าจะทำก็ต้องทำใหม่หมด แต่หากก่อสร้างแล้วให้ฝั่งมาเลเซียเดินรถ อาจจะเสียสิทธิ์เส้นทางตกเป็นของมาเลเซีย ขนาดเสาจ่ายไฟฟ้าล้ำมายังฝั่งไทย ยังทำอะไรไม่ได้เลย
อีกสิ่งหนึ่งที่ยังสงสัยก็คือ การรถไฟฯ ยังคงใช้รถพัดลมให้บริการ โดยให้เหตุผลว่า “รถปรับอากาศไม่เพียงพอ” ซึ่งยังเกิดขึ้นกับการให้บริการรถไฟฟีดเดอร์ ธนบุรี-นครปฐม เพื่อรองรับรถไฟฟ้าสายสีแดง ที่สถานีชุมทางตลิ่งชัน
การรถไฟฯ มีแผนจัดหารถดีเซลรางปรับอากาศ (Hybrid DMU) 184 คัน งบประมาณ 14,260 ล้านบาท สำหรับบริการเชิงพาณิชย์ แต่สภาพัฒน์ฯ กำลังพิจารณาว่า จะเอารถไฟ EV หรือไฮบริด และจะเช่าหรือจะซื้อ
ไม่นับรวมโครงการจัดหารถดีเซลรางปรับอากาศอีก 216 คัน จัดหารถจักรสับเปลี่ยน 20 คัน เช่ารถจักรดีเซลไฟฟ้า 30 คัน จัดหารถดีเซลรางปรับอากาศ รองรับรถไฟทางคู่ เฟส 1 อีก 332 คัน
จัดหารถดีเซลรางปรับอากาศ รองรับรถไฟทางคู่สายใหม่ เชียงของและนครพนม อีก 102 คัน รองรับรถไฟทางคู่ เฟส 2 อีก 192 คัน และจัดหารถดีเซลราง ทดแทนรถโดยสารท้องถิ่นทั่วประเทศ อีก 148 คัน
รวมกันแล้ว 1,294 คัน วงเงินกว่า 1.1 แสนล้านบาท ตามแผนระยะยาวปี 2565-2576 ไม่นับรวมโครงการจัดหารถจักรไฮบริด ที่จะแบ่งออกเป็นเฟสแรก 20 คัน และเฟสสองอีก 50 คัน
(อ่านประกอบ : ส่องแผน "รถไฟ EV" อนาคตระบบรางไทย จาก "ดีเซล" สู่ "รถไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่" พลิกโฉม "ผู้นำระบบรางของอาเซียน")
ใจจริงถ้ารถดีเซลรางปรับอากาศมาถึงแล้ว อยากให้รีบนำมาใช้กับรถไฟฟีดเดอร์ ธนบุรี-นครปฐม, รังสิต-อยุธยา (เร็วๆ นี้) เพื่อเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีแดง รวมทั้งรถไฟชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ เพื่อเชื่อมต่อรถไฟฟ้ามาเลเซียด้วย
แม้จะต้องเปลี่ยนขบวนรถไฟกลางทาง แต่เมื่อเป็นรถปรับอากาศ และสภาพอากาศที่ร้อนตอนกลางวัน ก็ทำให้เกิดการเดินทางแบบไร้รอยต่อ และจูงใจให้คนหันมาใช้บริการระบบรางได้ รวมทั้งรองรับนักท่องเที่ยวแบบกลุ่ม
ในเมื่อโครงการรถไฟทางคู่หาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ จะไม่ทำระบบจ่ายไฟฟ้าแล้ว ถ้าถึงเวลาอันสมควร จัดหารถปรับอากาศมาใหม่แล้ว ก็ควรนำมาอำนวยความสะดวกแก่นักเดินทางทั้งสองประเทศน่าจะดี