xs
xsm
sm
md
lg

“ทุบโต๊ะข่าว” ลุงพลทุบ ทุบลุงพล ทุบเรตติ้ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: กิตตินันท์ นาคทอง



กิตตินันท์ นาคทอง Facebook.com/kittinanlive

เหตุการณ์ที่ “ลุงพล” หรือนายไชย์พล วิภา วัย 45 ปี หนึ่งในผู้ต้องสงสัยคดีการเสียชีวิตของเด็กหญิงชมพู่ วัย 3 ขวบ แห่งบ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร แย่งไมโครโฟนก่อนใช้มือทุบหลังและทำท่าจะบีบคอ นายนภัส ปราณีตพลกรัง หรือฟ้า ผู้สื่อข่าวอมรินทร์ทีวี เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2564 สั่นสะเทือนวงการโทรทัศน์ไทย

เพราะผู้คนต่างจับจ้องไปที่ช่องอมรินทร์ตอนค่ำแบบไม่ได้นัดหมายมาก่อน บางคนไม่ชอบดูข่าวช่องอมรินทร์หลังจากนำเสนอข่าวลุงพลจากผู้ต้องสงสัยกลายเป็น “ซุป’ตาร์” ก็ยังต้องหันหลังกลับมาดู เพียงเพราะว่ารอดู “อมรินทร์ขยี้ลุงพล” ดูว่าพิธีกรฝีปากกล้าอย่าง “พุทธอภิวรรณ องค์พระบารมี” จะออกมาตอบโต้ลุงพลอย่างไร

ค่ำคืนนั้นพุทธอภิวรรณอุทิศเวลาสั้นๆ ในช่วงแรก จากนั้นหลังข่าวในพระราชสำนัก ช่วงที่ 2 ขึ้นหัวข้อ “ลุงพลทำร้ายนักข่าว” ขยี้แบบชุดใหญ่ไฟกะพริบกว่า 1 ชั่วโมง 15 นาที ตั้งแต่พฤติกรรมแปลกๆ ของลุงพล ย้อนรอยคำสาบานลุงพล อดีตคนที่ร่วมงานกันอย่างอุ๊บ วิริยะ และ หมอปลา มือปราบสัมภเวสี แม้กระทั่งเพลง “อยากเป็นป้าแต๋นแฟนลุงพล” ก็ยังขยี้

คืนวันนั้นเฟซบุ๊กไลฟ์มีคนดูพร้อมกันมากกว่า 1 แสนคน และยอดผู้ชมคืนวันนั้นรวมกันเกือบ 1 ล้านครั้ง ไม่ใช่แค่หน้าจอมือถือ แต่รายการทุบโต๊ะข่าวคืนวันนั้น ยังทุบเรตติ้งบนจอทีวี ชนะฟรีทีวีบางช่องอีกต่างหาก


 พอย้อนไปดูข้อมูลจากเว็บไซต์ TVDigitalWatch.com พบว่า สัปดาห์ที่แล้วทุบโต๊ะข่าวเรตติ้งขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2564 ด้วยตัวเลขเฉลี่ย 2.701 ตามหลังละคร ล่า ท้า ชน ของช่อง 7HD ด้วยตัวเลขเฉลี่ย 4.400 หลังเปิดประเด็น “ลุงพลประกาศตัดขาดสื่อหลัก”งดให้สัมภาษณ์ 2 เดือน จะสัมภาษณ์เฉพาะยูทูปเบอร์เท่านั้น

พอมาถึง วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 ทุบโต๊ะข่าวยังเป็นอันดับ 2 ด้วยตัวเลขเฉลี่ย 2.898 ตามหลังละคร รหัสริษยา ของช่อง 7HD ตัวเลขเฉลี่ย 3.653 แต่พบว่าตัวเลขผู้ชมใน กทม. อมรินทร์ชนะช่อง 7HD อยู่ที่ 3.178 ต่อ 2.477 วันนั้นมีกรณียูทูปเบอร์สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านกกกอก และกรณีป่าไม้ตรวจสอบตอไม้ที่ลุงพลอ้างว่าเป็นไม้ตะเคียน

กระทั่งวันที่ลุงพลแย่งไมโครโฟนสื่อ อังคารที่ 19 มกราคม 2564 เรตติ้งทุบโต๊ะข่าวก้าวกระโดดมาที่ 3.911 ตามหลังละคร รหัสริษยา ของช่อง 7HD ที่ใกล้จะอวสาน ตัวเลขเฉลี่ย 4.129 แต่พบว่าตัวเลขผู้ชมใน กทม. อมรินทร์ชนะช่อง 7HD อยู่ที่ 3.977 ต่อ 3.041 ส่วนต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นจาก 2.851 มาเป็น 3.900 แม้จะอันดับ 2 รองจากช่อง 7HD ซึ่งอยู่ที่ 4.311

นอกจากนี้ ช่องที่นำเสนอข่าวลุงพลแข่งกัน อย่างไทยรัฐทีวี รายการไทยรัฐนิวส์โชว์ ในวันนั้นก็มีเรตติ้งขึ้นมาเป็นอันดับ 4 ด้วยตัวเลข 2.508 (กทม. 2.788 ต่างจังหวัด 2.461) ขณะที่ลุงพลใช้ช่องวัน 31 ให้สัมภาษณ์ในรายการเอาให้ชัด แบบผู้ชมไม่ทันตั้งตัว เรตติ้งอยู่ที่ 0.749 และรายการแฉ ช่องจีเอ็มเอ็ม 25 ที่เชิญหมอปลามาออกรายการ เรตติ้งอยู่ที่ 0.327

วันพุธที่ 20 มกราคม 2564 เรตติ้งทุบโต๊ะข่าวลดลงมาเหลือ 3.228 (กทม. 2.275 ต่างจังหวัด 3.387) จากกรณีที่ลุงพลมีท่าทีอ่อนลง แต่ก็ยังอยู่ในอันดับ 2 ตามหลังละคร ล่า ท้า ชน ของช่อง 7HD ตัวเลขเฉลี่ย 4.551 (กทม. 3.083 ต่างจังหวัด 4.797) ที่น่าเซอร์ไพร์สก็คือ วันนั้นพุทธอภิวรรณเซอร์ไพร์ส เอาลุงพลมาออกรายการและเจอกับหมอปลา

แม้กระแสลุงพลที่ตอนหลังจะแผ่ว อาจจะทำให้รายการคู่แข่งอย่างไทยรัฐนิวส์โชว์แซงขึ้นมาในภายหลัง แต่ผลจากการขยี้ลุงพลอย่างต่อเนื่อง ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนที่รักลุงพลก็ดูว่าพุทธอภิวรรณจะขยี้อะไร ส่วนคนที่ไม่ชอบลุงพลก็อยากรู้ว่าพุทธอภิวรรณจะขยี้อะไรเช่นกัน ถือว่ายังไปได้เรื่อยๆ ด้วยเรตติ้งประมาณ 2.6-2.7


การนำเสนอข่าวของลุงพล ไม่ว่าจะเป็นช่องอมรินทร์หรือช่องอื่นๆ ถูกตั้งคำถามจากแวดวงวิชาชีพสื่อและสังคมว่า จากคดีการเสียชีวิตของเด็กหญิงบนภูเหล็กไฟ กลายเป็นการเข้าถึงสิทธิส่วนบุคคลเพื่อให้ได้ข้อมูล ทั้งจากครอบครัวเด็กหญิงชมพู่ ครอบครัวลุงพล หนึ่งในผู้ต้องสงสัย และชาวบ้านกกกอกจนเกิดความแตกแยก ทำให้เกิดข้อกังขาว่าล้ำเส้นหรือไม่

จากข่าวอาชญากรรม กลายมาเป็นเรียลลิตี มีครบทุกรส ทั้งเงื่อนงำคดีการเสียชีวิต เรื่องลี้ลับ ไสยศาสตร์ และหนึ่งในผู้ต้องสงสัยคนสำคัญอย่างลุงพล ถูกปั้นเรื่องราวให้เป็นชาวบ้านธรรมดาน่าสงสาร ลามมาถึงสัดส่วน น้ำหนัก ส่วนสูง มีรูปและคลิปร้องเพลงสมัยหนุ่มๆ แม้กระทั่งความสนใจในงานวงการบันเทิง คนดูเกิดความเห็นใจ มีชื่อเสียงเงินทองหลั่งไหลมา

แม้นักข่าวที่เคยลงพื้นที่บ้านกกกอกนานกว่า 1 เดือน และหัวหน้าช่างภาพตัดสินใจลาออก แต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อยเมื่อเทียบกับทีมข่าวที่มีมากกว่า 30-40 ชีวิต และนักข่าวบางคนดูเหมือนจะมีความสุขกับชื่อเสียงที่ได้รับ โดยเฉพาะเอ็มวีเพลง “เต่างอย” เวอร์ชันจินตรา พูลลาภ ร้องคู่กับลุงพล ที่ปรากฎภาพนักข่าวพร้อมช่างภาพเต้นอยู่ในเฟรม

ข่าวลุงพลมีทั้งคนชอบและแอนตี้ แต่ก็ต้องยอมรับในฝีมือของ “พุทธอภิวรรณ” ที่ทำให้เรตติ้งรายการข่าวกลายเป็นความบันเทิงหลังสองทุ่ม แซงหน้าละครขึ้นมาได้

พุทธอภิวรรณ องค์พระบารมี ที่สวมหมวกอีกใบหนึ่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายข่าวอมรินทร์ทีวี เดิมชื่อ วีรวัฒน์ เนียมนัด แต่เปลี่ยนชื่อเพราะแสดงให้เพื่อนร่วมงานเห็นว่า ไม่จำเป็นต้องเสียเงินให้หมอดูแพงถึง 5,000 บาทเพื่อเปลี่ยนชื่อก็ได้ สำเร็จการศึกษาจากคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ทำงานที่สำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น. จัดรายการวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน

จากหน้าปัดวิทยุ ก้าวมาถึงหน้าจอทีวี เป็นพิธีกรข่าวให้กับสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมหลายสถานี ขณะนั้นได้พบกับพิธีกรคู่หูอย่าง จิตดี ศรีดี สำเร็จการศึกษาจากคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ จัดรายการข่าวดึกด้วยกัน แม้พุทธอภิวรรณเวลาทำงานจะต้องเป๊ะ จึงต้องดุและเจ้าระเบียบอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็ทำงานรับส่งด้วยกันได้


กระทั่งปี 2557 พุทธอภิวรรณตัดสินใจย้ายมาร่วมงาน อมรินทร์ทีวี ในช่วงที่กำลังก่อตั้งทีวีดิจิทัล ระหว่างนั้นลองโทรศัพท์ไปชวนจิตดีมาร่วมงาน แม้เจ้าตัวจะชั่งใจ แต่สุดท้ายเมื่อได้ฟังคำพูดของพุทธอภิวรรณที่กล่าวชักชวนให้ "ลองทำในสิ่งที่เราไม่เคยทำ" เพื่อเปลี่ยนชีวิตตัวเอง จิตดีจึงได้ย้ายมาทำงาน จัดรายการทุบโต๊ะข่าวร่วมกัน

ในช่วงนั้นพุทธอภิวรรณกับจิตดีแยกทำรายการอีกทีมหนึ่ง ซึ่งขณะนั้นอมรินทร์ทีวีกำลังปั้น ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา อ่านข่าวค่ำ แต่สุดท้ายก็เลิกจัด พุทธอภิวรรณเคยกล่าวในรายการ Praew Talk ของนิตยสารแพรวว่า ตอนมาใหม่ๆ มีผู้ใหญ่บางคนปรามาสผ่านมาทางผู้ใหญ่ที่อมรินทร์ว่า บอกว่า “ไปเอาไอ้เด็กสองคนนี้มา เดี๋ยวช่องมึงก็เจ๊งหรอก”

พุทธอภิวรรณไม่ได้โกรธกับคำพูดนี้ แต่คิดว่าสักวันหนึ่งจะเอาชนะคำสบประมาทของผู้ใหญ่บางคนให้ได้ โดยยึดหลักอยู่ 3 อย่าง คือ “ขยัน อดทน และสร้างสรรค์”

ย้อนกลับไปในสมัยที่ทำงานเก่า ด้วยความที่มองตัวเองเก่งที่สุดในบริษัท ผู้ใหญ่มักมอบหมายงานมาให้ เมื่อพุทธอภิวรรณสัมภาษณ์นักการเมืองรายหนึ่งออกอากาศสด สัมภาษณ์แรงจึงถูกสวนกลับมา ทำนองว่า ก่อนจะมาถามรู้ข้อกฎหมายหรือเปล่า ทำเอาไปไม่เป็น จากที่เคยทำการบ้านแบบหลวมๆ เขาก็ทำการบ้านมากขึ้น กลายเป็นที่มาของ "ความเป๊ะ" ถึงปัจจุบัน

และด้วยคำที่สบประมาทนี้เอง พุทธอภิวรรณตัดสินใจอุทิศเวลากับรายการที่ต้องชนกับละครอย่างเต็มที่ ใครจะเชื่อว่าเขาทำงาน 7 วันต่อสัปดาห์ เข้าออฟฟิศตอนบ่ายเพื่อเตรียมรายการ ทำการบ้าน หลังจัดรายการเสร็จก็ต้องประชุมสรุปงานกันต่อ กว่าเลิกงานก็เกือบจะตีสอง นอกจากนี้ยังต้องจัดรายการนิวส์ทอล์ค “ต่างคนต่างคิด” อีกด้วย


แม้ที่ผ่านมาพุทธอภิวรรณจะถูกวิจารณ์จากคนดู โดยเฉพาะ “แย่งจิตดีพูดไปหมด” แต่ก็มีคนดูติดรายการนี้งอมแงม เรตติ้งไม่ธรรมดาอยู่ที่ 0.6-0.7 ครั้งหนึ่งเมื่อกลางปี 2559 เขาเคยยื่นใบลาออกกะทันหัน และคืนบัตรพนักงานโดยให้เหตุผลว่าไปเรียนต่อ แต่ก็มีข่าวลือว่าจะไป "ช่องน้อยสี" ด้วยเงินเดือนนับล้านบาทต่อเดือน ผ่านไปเพียง 1 วัน เปลี่ยนใจกลับมาอีกครั้ง

เมื่อ กลุ่มเจริญ สิริวัฒนภักดี ทุ่มเงิน 900 ล้านบาท เข้าถือหุ้นอมรินทร์ พริ้นติ้ง กระทั่ง โชคชัย ปัญจรุ่งโรจน์ สามีของ ระริน อุทกะพันธุ์ ปัญจรุ่งโรจน์ ทายาทผู้ก่อตั้งอมรินทร์ ลาออกจากอมรินทร์ทีวี เปิดทางให้ผู้บริหารจากไทยเบฟเข้ามาแทน ปลายปี 2559 พุทธอภิวรรณ ได้รับตำแหน่งใหม่เป็น "ผู้อำนวยการสำนักข่าว" นำแม่ทัพคุมทีมข่าวไปโดยปริยาย

เดิมรายการทุบโต๊ะข่าวจะมาช่วงหลังข่าวในพระราชสำนัก แต่เมื่อเดือนพฤษภาคม 2563 ได้ขยายเวลาตั้งแต่ 18.50 น. ตามคู่แข่งอย่างไทยรัฐทีวี ที่มีรายการไทยรัฐนิวส์โชว์ โดยช่วงแรกจะคู่กับ จิตดี ศรีดี และ นภจรส ใจเกษม ส่วนช่วงที่สอง หลังข่าวในพระราชสำนัก จะจัดคู่กับ ธนญญ์ภสสร์ น้อยเวียง ยาวไปถึง 22.30 น. ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์มีช่วงเดียว ตอน 20.15 น.

ตลอดรายการไม่ได้มีเพียงแค่ข่าวลุงพลเพียงอย่างเดียว แต่ก็ยังมีข่าวทั่วไป ข่าวสังคม และข่าวอาชญากรรม ด้วยสไตล์การเล่าแบบถึงพริกถึงขิง เขาเป็นคนที่ลงมากำกับประเด็นข่าวเอง รวมทั้งยังทุ่มทุนให้ทีมงานสร้างอินโฟกราฟฟิก และแบบสามมิติ (3D Animation) ประกอบการเล่าข่าวเพื่อให้เห็นภาพ จากที่เคยทำเพียงวันละตัว-สองตัว กลายมาเป็น 10-20 ตัวต่อวัน 

ครั้งหนึ่ง พุทธอภิวรรณกล่าวในนิตยสารแพรว ฉบับเดือนตุลาคม 2563 ว่า มีเสียงวิจารณ์การนำเสนอข่าวแต่เรื่องดรามาพอสมควร ซึ่งก็รับฟัง แต่ดรามาคือชีวิต ข่าวก็สะท้อนชีวิต คนดูอยากรู้ สื่อก็อยากรู้ จึงทำให้เขารู้ และคลายข้อสงสัยด้วยการนำเสนอชีวิตของคนในแบบธรรมดาที่สุด เปรียบถ้าดรามาคือชีวิต เราก็ได้ช่วยเหลือชีวิตของพวกเขา

"เคยมีคนถามผมว่าสามารถทำข่าวให้คนสนใจได้มากกว่าละครหรือเปล่า เรตติ้งรายการข่าวจะชนะละครได้ไหม แต่สุดท้ายก็เกิดขึ้นได้ คนสนใจข่าวมากกว่าละครฟอร์มยักษ์ไปแล้ว นี่คือปรากฎการณ์ที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าพฤติกรรมคนดูเปลี่ยนไปแล้ว เนื่องจากคนทำข่าวอย่างเราเปลี่ยนตัวเอง คือต้องรู้ว่าคนดูอยากรู้อะไร จะทำอย่างไรให้คนดูหายสงสัยในหลายๆ เรื่อง"

แม้จะไม่รู้ว่าผู้ใหญ่บางคนที่ปรามาสว่า “เดี๋ยวช่องมึงก็เจ๊ง” เป็นใคร แต่ก็ดูเหมือนว่าในวันนี้พุทธอภิวรรณจะลบคำสบประมาทได้สำเร็จ ทุบเรตติ้งชนะฟรีทีวีบางช่องขึ้นมาได้ แต่ก็ดูเหมือนว่าเส้นทางของทุบโต๊ะข่าวยังต้องเจอความท้าทาย ตราบใดที่ยังมีเรื่องร้องเรียนจริยธรรมไปถึง กสทช. อาจจะต้องคอยตอบคำถามจากสังคมไม่มีวันสิ้นสุด
กำลังโหลดความคิดเห็น