กิตตินันท์ นาคทอง Facebook.com/kittinanlive
ช่วงหลังปีใหม่ 2564 ที่ผ่านมา ร้านอาหารทะเลแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า “คิง ซีฟู้ด” (KING SEAFOOD) ที่ตั้งอยู่ภายในวอล์กกิ้ง สตรีท พัทยาใต้ จ.ชลบุรี โพสต์ข้อความว่า “ประกาศปิดร้านเพราะโควิด และเพราะเจ้าหน้าที่คอร์รัปชัน”
หนึ่งในสาเหตุ เป็นเพราะ “การทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐ” ทั้งกรณีแรงงานข้ามชาติ หรือกรณีบ่อนการพนัน แต่กลับโยนความรับผิดชอบและภาระมาให้ภาคเอกชน คำสั่งปิดก่อนวันปีใหม่สร้างความเสียหาย ลูกค้ายกเลิกการจองทั้งหมด
ไม่มีทางเลือกนอกจากปิดร้าน โดยที่รัฐไม่เคยมีแผนเยียวยาผู้ประกอบการ และพนักงานที่จะได้รับผลกระทบใดๆ เลย
“เหนื่อยแล้วครับ ท้อแล้ว อยู่บ้านนี้เมืองนี้ ทำถูกต้อง ทำดีเสียสละ ไม่เคยได้ดี รอบนี้ไม่ขอกำลังใจจากคำว่า “สู้ๆ” แล้วนะครับ เพราะหนึ่งปีที่ผ่านมาเราสู้มาทุกรูปแบบแล้ว เราทำเต็มที่แล้ว ไม่มีอะไรที่เราเสียใจว่าเรายังทำได้ไม่ดีพอ วันนี้เราขอก้มหน้ารับชะตากรรม เป็นผู้แพ้แบบหมดทางสู้
ตอนนี้บอกตรงๆ ครับยังคิดไม่ออกว่าอนาคตจะไปทางไหน แต่ ณ เวลานี้ ขอปิดร้านจนกว่าจะมีอะไรดีขึ้นครับ ขอขอบคุณทุกกำลังใจในรอบปีที่ผ่านมาครับ ถึงจะน้อยนิด แต่เราจะไม่มีวันลืมลูกค้าทุกๆ ท่านที่อุดหนุนเราในยามที่เราลำบาก” ข้อความที่เฟซบุ๊กเพจ KING SEAFOOD ระบุ
ในตอนท้ายระบุว่า สำหรับลูกค้าคนใดที่ยังอยากจะช่วยอุดหนุน สั่งซอสเอ็กซ์โอ (XO) จากเรา เรายังมีขาย เราก็หวังว่าการล็อกดาวน์รอบนี้จะยังพอมีลูกค้าสั่งซอส พอที่จะให้เรารักษาพนักงานไว้บางส่วนได้
ศูนย์ข่าวศรีราชาเครือผู้จัดการ สอบถามกับ นางเปรมฤดี จิตติวุฒิการ อายุ 67 ปี เจ้าของร้าน KING SEAFOOD ระบุว่า ผู้โพสต์ข้อความเป็นลูกชาย ที่อัดอั้นตันใจจากผลกระทบที่เกิดขึ้น ไม่สามารถสู้กับปัญหาที่เกิดขึ้นได้อีกแล้ว
ปรากฎว่าพลังโซเชียลฯ มีอยู่จริง นอกจากจะแชร์ข้อความ ประจานความไม่เอาไหนของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ปล่อยให้ขบวนการ “บ่อนทำลายชาติ” ต้นตอการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ ยังคงลอยนวลโดยที่รัฐไร้น้ำยาแล้ว
ชาวเน็ตอีกส่วนหนึ่งยังแห่อุดหนุนซอสเอ็กซ์โอ ที่ทางร้านผลิตและจำหน่ายเองอย่างล้นหลาม เห็นได้จากภาพกล่องพัสดุนับร้อยกล่อง ทางร้านต้องออกมาโพสต์ขอบคุณทุกกำลังใจที่มอบให้ ทำให้กลับมายืนด้วยลำแข้งของตนเองได้
“ตราบใดยังขายซอสได้ พนักงานของร้านที่ยังอยู่กับเราจะไม่ตกงาน” โพสต์จากทางร้าน ระบุ
ผู้เขียนถือโอกาสสั่งซื้อซอสเอ็กซ์โอกับทางเพจ KING SEAFOOD เพื่อให้กำลังใจทางร้านไปในตัว ซึ่งทางร้านก็ใจดีที่ช่วงนั้นส่งฟรี ไม่นานนักซอสที่สั่งซื้อไว้ก็มาส่งถึงบ้าน
ทานกับข้าวเปล่าเหมือนทานน้ำพริก ก็ว่าอร่อยแล้ว ให้ที่บ้านลองนำไปทำข้าวผัดหมูก็อร่อยขึ้นไปอีก แม้ในวันนั้นที่บ้านยังสองจิตสองใจ ใส่ไปเพียงแค่ 2 ช้อนโต๊ะก็ตาม ถ้าใส่เพิ่มไปอีกรสชาติก็เข้มข้นกว่านี้ ที่บ้านชมว่าอร่อยมาก
พอถามว่ากระปุกละเท่าไหร่ ตอบไปก็เหวอเล็กน้อย แต่ก็อธิบายว่าเป็นซอสระดับพรีเมียม ใช้วัตถุดิบที่แตกต่าง ที่ซื้อมานอกจากจะช่วยทางร้าน ช่วยพนักงานร้านที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แล้ว ถือว่าให้รางวัลตัวเองและครอบครัวไปด้วย
ทางร้าน KING SEAFOOD อธิบายในเพจว่า ซอสเอ็กซ์โอ (XO Sauce) เป็นซอสที่เชฟอาหารจีนนิยมนำมาใช้ปรุงอาหารนั้น มีต้นตำรับจากฮ่องกง ซึ่งคำว่าเอ็กซ์โอ (XO) เป็นชื่อย่อที่ถูกยืมมาจากคำว่า Extra Old Cognac
ซึ่งในฮ่องกง คำว่า “คอนญัก” (Cognac) เป็นเหล้าบรั่นดีที่มีชื่อเสียงและนิยมกันมาก กลายเป็นวัฒนธรรมติดปากคนฮ่องกง ที่หมายถึงสินค้ามีคุณภาพสูงและหรูหรา
หลายคนก็เข้าใจผิดว่าซอสเอ็กซ์โอทำมาจากเหล้า แต่จริงๆ แล้วเป็นเพียงแค่คำเปรียบเปรย ถึงสินค้าที่ยิ่งเก่ายิ่งหายากยิ่งมีราคา เช่นเดียวกับวัตถุดิบทีนำมาใช่ทำซอสเอ็กซ์โอนั้นล้วนแล้วแต่จะเป็นวัตถุดิบที่หายากและมีราคาแพง
ซอสเอ็กซ์โอมีคุณสมบัติที่สามารถกระตุ้นความอยากอาหารได้เป็นอย่างดี เพราะมีอูมามิ (Umami) ที่ในวงการอาหารยุคใหม่ถือเป็น “รสมิติที่ห้า” นอกเหนือจาก เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เชฟหลายคนเรียกว่า “รสกลมกล่อม”
โดยเป็นรสชาติของกลูตาเมตอิสระ หนึ่งในกรดอะมิโน ซึ่งเป็นองค์ประกอบของโปรตีนที่พบได้ในอาหารตามธรรมชาติ จึงถือเป็นการชูรสของอาหารจากวัตถุดิบธรรมขาติ โดยไม่ต้องพึ่งสารสังเคราะห์อย่าง “ผงชูรส”แต่อย่างใด
ซอสเอ็กซ์โอของร้าน KING SEAFOOD ผลิตจากหอยเชลล์อบแห้งจากญี่ปุ่น กับกุ้งแห้ง ปลาอินทรย์เค็มจากไทย และแฮมยูนานจากจีน ผสมเครื่องปรุงทั้งพริก หอมแดง และกระเทียม บรรจุในน้ำมันคาโนลาและน้ำมันงาบริสุทธิ์
ทานกับข้าวเปล่าหรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็ได้ กินคู่กับติ่มซำก็ได้ ผัดกับบะหมี่หรือเส้นพาสต้าก็ได้ หรือจะนำไปผัดกับอาหารทะเล ทำเมนูข้าวผัด หรือสปาเกตตี้ก็ได้ คือเป็นซอสที่ครอบจักรวาลอยู่แล้ว แทบไม่ต้องใส่เครื่องปรุงเพิ่ม
สามารถเก็บในตู้เย็นได้นาน 6 เดือน ทางร้านผลิตใหม่ทุกวัน ได้วันละประมาณ 60 กระปุก นอกจากนี้ ทางร้านยังมีซอสสูตรที่แตกต่างกันจำหน่าย ทั้งซอสเนื้อพริกเสฉวน ซอสเอ็กซ์โอเจ และซอสเอ็กซ์โอมังสวิรัติ
มีเรื่องที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง ระหว่างที่สั่งซอสเอ็กซ์โอกับทางร้าน เห็นชื่อลูกชายเจ้าของร้านแล้วคุ้นๆ ด้วยความสงสัย ลองค้นในกฤตภาคข่าว พบว่าเขาเป็น “ช่างภาพสารคดี” มืออาชีพของเมืองไทย คว้ารางวัลด้านภาพถ่ายมาแล้วมากมาย
ที่น่าสนใจก็คือ ครั้งหนึ่งเขาเคยถูก “ช่างภาพระดับโลก” รังแก!
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2551 เพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย เขาได้มีโอกาสเข้าร่วมทำเวิร์คชอปของวิทยาลัยเพาะช่าง ซึ่งจะได้แสดงผลงานร่วมกับศิลปินแห่งชาติอย่าง อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี และ อาจารย์กมล ทัศนาญชลี
ส่วนใหญ่เป็นจิตรกรและประติมากร มีเพียงเขาและ “ช่างภาพระดับโลก” มาในฐานะช่างภาพ ซึ่งเขานำผลงานเป็นภาพใบหน้าผู้ลี้ภัยชาวธิเบตที่เขามองว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุดในชีวิตมาจัดแสดง
ในระหว่างเวิร์คชอป อาจารย์ถวัลย์ และอาจารย์กมล ได้เดินชมงานพร้อมแนะนำศิลปินรุ่นน้อง พอมาถึงคิวเขา “ช่างภาพระดับโลก” คนนั้นก็เดินแทรกเข้ามาพร้อมกับถามว่า “น้องถ่ายเองรึเปล่า?”
แม้เขาจะยืนยันว่าถ่ายเอง แต่ช่างภาพระดับโลกผู้นี้พยายามพูดว่า “ไม่น่าใช่นะ งานแบบนี้ ผมเคยเห็นช่างภาพต่างประเทศถ่าย คุณไปขโมยไฟล์เขามารึเปล่า” ต่อหน้าอาจารย์ถวัลย์
เขายืนยันว่า “ผมไปถ่ายมาที่อินเดียครับ” แต่ช่างภาพระดับโลกผู้นี้กล่าวว่า “น้องถ่ายเอง แต่ให้อีกคนจัดกล้องให้ใช่มั้ย” ทำให้อาจารย์ถวัลย์เดินผ่านผลงานไปโดยแทบไม่ได้พูดอะไร ส่วนเขาถึงกับฝันสลาย คิดว่าทำไมทำกันแบบนี้
อาจารย์เพาะช่างตัวเล็กๆ คนหนึ่งเดินมาคุยว่า “มันทำอย่างนี้เพราะงานมึงมีดีไง มันกลัวงานมึงเด่นกว่างานมัน”
ในปีนั้นเขาส่งรูปชุดนี้เข้าประกวดรางวัลของ ปตท. มีกรรมการคนหนึ่งบอกว่า งานของเขาถูกคัดออก เพราะอาจารย์ ถวัลย์บอกว่า งานชุดนี้ไปลอกช่างภาพต่างประเทศมา แสดงว่าอาจารย์ถวัลย์เชื่อช่างภาพระดับโลกคนนั้นมากกว่า
หลังจากนั้น เขาหมดศรัทธาในตัวอาจารย์ถวัลย์ และไม่เคยเข้าหาแกอีกเลย กระทั่งอาจารย์ถวัลย์ถึงแก่กรรม
ปรากฎว่าผ่านไป 7 ปี หลังพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ สวรรคต “ช่างภาพระดับโลก” ผู้นี้ ถูกสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ มีมติเอกฉันท์ให้ขับออกจากสมาชิกภาพ
เหตุเพราะไปนำไฟล์ภาพ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช และสมเด็จพระพันปีหลวง เสด็จออกมหาสมาคม ณ สีหบัญชร เมื่อปี 2549 จาก “อาจารย์รชฏ วิสราญกุล” ช่างภาพมืออาชีพไปตกแต่งภาพใหม่โดยไม่ได้รับอนุญาต
หนำซ้ำ ยังได้ใส่ชื่อตนเองในภาพเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ และนำไปเผยแพร่ในสื่อหลายประเภท ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์และโทรทัศน์ในหลายโอกาส โดยให้สัมภาษณ์เพื่อให้สาธารณชนเข้าใจว่าภาพดังกล่าวเป็นผลงานของตนเอง
พี่น้องในแวดวงช่างภาพที่ศรัทธาอาจารย์รชฏ ยอมไม่ได้ที่ผลงานอาจารย์รชฏถูกแอบอ้าง ออกมาชี้แจงความจริง ยืนยันว่าจุดที่ถ่ายภาพประวัติศาสตร์มุมเดียวกับอาจารย์รชฏ ไม่มี “ช่างภาพระดับโลก” แอบอ้างว่าเป็นผู้บันทึกอยู่เลยด้วยซ้ำ
“ช่างภาพระดับโลก” จากที่เคยรังแกเด็กในตอนนั้นก็เจอของจริง อาจารย์รชฏกล่าวว่า “รูปนี้เป็นรูปของผม ผมจำได้ ผมแน่ใจ แล้วคุณเอาไปออกสื่อ ผมบอกเลยว่ารูปนี้ผมยอมไม่ได้ ผมพร้อมไปพิสูจน์ในศาล ไม่ว่ายังไงรูปนี้ผมก็ไม่ยอม”
นับจากนั้นเป็นต้นมา “ช่างภาพระดับโลก” รายนี้ก็เลือกที่จะแสดงผลงานแบบเงียบๆ ก่อนที่จะหายไปจากวงการ
ส่วนช่างภาพสารคดีรายนี้ เปรียบเหมือนคนที่ "ตายแล้วฟื้น" หลังเหตุการณ์ผ่านไป 8 ปี เมื่อความจริงปรากฎ เขากล่าวว่า “ผมอาจจะไม่ประสบความสำเร็จในการถ่ายภาพเท่าคุณ แต่วันนี้แน่นอนแล้วว่าผมยังมีมีศักดิ์ศรีมากกว่าคุณ”
เวลาผ่านไป 5 ปี มาถึงเหตุการณ์ครั้งล่าสุด ในฐานะแอดมินหนุ่มแห่งร้าน KING SEAFOOD กิจการของครอบครัวที่เปิดมานานกว่า 25 ปี แม้จะต้องจำใจปิดร้านเพราะยอมแพ้ แต่พลังชาวเน็ตก็ทำให้เขา “ตายแล้วฟื้น” ขึ้นมาอีกครั้ง
หลังจากที่ร้านกลับมาเปิดเมื่อเดือนสิงหาคม 2563 แบกภาระขาดทุนมาโดยตลอด ด้วยความหวังที่ว่า ทุกอย่างจะดีขึ้น แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เป็นอย่างที่หวังเอาไว้ ทำให้รอบนี้ถือว่า “หมดแล้วจริงๆ” ทั้งกำลังกายและกำลังใจ
ความเสียหายจากการที่รัฐบาลประยุทธ์ ปล่อยให้มีการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐ กรณีแรงงานข้ามชาติ ที่เอาแต่โทษผู้ว่าราชการจังหวัดปลายทาง ซึ่งทำงานหนักจนล้มป่วยติดโควิด-19 โดยไม่สนใจต้นทางกับเบื้องหลังที่ผู้มีอำนาจมองไม่เห็น
หรือกรณีบ่อนทำลายชาติ ที่แพร่เชื้อโควิด-19 ถึงขนาดตำรวจยังพลิกลิ้นว่า “ไม่ใช่บ่อน” แต่เป็น “โกดัง” จนสังคมก่นด่าประนาม แต่ผู้มีอิทธิพลเจ้าของบ่อนทำลายชาติ ยังอยู่ดีมีความสุขทุกประการ โดยที่รัฐบาลประยุทธ์ทำอะไรพวกเขาไม่ได้
“อยู่บ้านนี้เมืองนี้ ทำถูกต้อง ทำดีเสียสละ ไม่เคยได้ดี" เป็นคำพูดที่เขากล่าวออกมาด้วยความเหนื่อยและท้อ เป็นคำพูดที่แทนใจประชาชนคนไทยอีกหลายคน ที่อึดอัดกับการบริหารประเทศในยุคนี้เช่นกัน
พลังไวรัลจากโลกโซเชียล อุ้มชูด้วยการอุดหนุนซอสเอ็กซ์โอของทางร้าน ออเดอร์นับร้อยกล่องถูกส่งไปยังที่ต่างๆ ทั่วประเทศ อาจเรียกได้ว่าเป็น “แมวเก้าชีวิต” ของแอดมินหนุ่มเจ้าของร้านอาหารทะเลในวันนี้
การอุดหนุนธุรกิจที่กำลังย่ำแย่จากพิษโควิด-19 คือการให้กำลังใจอย่างหนึ่ง ในช่วงที่รัฐบาลประยุทธ์ยังพึ่งพาไม่ได้ การพึ่งพากันเอง ยืนหยัดด้วยตัวเอง เป็นหนึ่งในหนทางแห่งความอยู่รอด
ใครที่สนใจอยากอุดหนุนช่วยทางร้าน ช่วยพนักงาน เชิญอินบอกซ์สั่งซอสเอ็กซ์โอ ได้ที่เพจของร้าน King Seafood โดยพลัน!