“ปิดเกม” เพื่อไปรอ “จบเกม”

หลังจากผ่านการเลือกตั้งมากว่าหนึ่งเดือน ในที่สุดก็เหมือนกับว่า เกมการเมืองที่ยื้อยุดฝุ่นคลุ้งขมุกขมัวอยู่นี้ก็น่าจะจบเกมเห็นภาพชัดกันได้แล้วเสียที

เริ่มจากการที่ กกต.ประกาศรับรองรายชื่อ ส.ส.ระบบเขตมาก่อนในวันที่ 7 พฤษภาคมที่ผ่านมา

และเมื่อเช้าวันที่ 8 พฤษภาฯ ศาลรัฐธรรมนูญประกาศว่า กฎหมายเลือกตั้งมาตรา 128 ว่าด้วยการคิดคะแนนปาร์ตี้ลิสต์นั้นไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ให้ดำเนินกระบวนการต่อไปได้

ค่ำๆ ของวันเดียวกัน กกต.ก็ประกาศชื่อ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อออกมาจนเกือบครบ ขาดตำแหน่งเดียวที่ต้องรอผลเลือกตั้ง ส.ส.เขตจากจังหวัดเชียงใหม่เสียก่อน ซึ่งเป็นไปตามที่คาดหมายไว้ คือ กกต.เลือกใช้สูตรที่ประกาศให้พรรคเล็กพรรคน้อยได้ ส.ส.ด้วย ทำให้สภาชุดใหม่นี้ จะมีพรรคการเมืองมีที่นั่งในสภากว่า 30 พรรคเลยทีเดียว

และตามข่าว ในวันที่ 10 พฤษภาฯ นี้ จะมีการประกาศรายชื่อ ส.ว. 250 คน

ก็เรียกว่าทางสะดวกโยธิน พร้อมที่จะดำเนินการประชุมสภาเพื่อเลือกนายกฯ กันได้ แม้หลังจากนี้อาจจะมีการฟ้องร้องหรือแจกใบแดงใบดำกันบ้าง แต่ก็ไม่น่าจะมีผลอะไรเปลี่ยนแปลงมากมายนัก

ผลการคิดคะแนนของ กกต.ทำให้ฝ่ายพรรคไม่เอา “ลุงตู่” ที่เคยจับขั้วกันได้ก่อนหน้านี้ มีเสียงเหลือราว 245 เสียง ไม่พอจัดตั้งรัฐบาล

ส่วนฟากอุ้มตู่นั่งต่อนั้น ก็เชื่อกันว่า พรรคเล็กๆ ที่ได้อานิสงส์จากการคิดคะแนนของ กกต.หนุนนำให้ได้เป็น ส.ส.เอื้ออาทร ก็น่าจะสนับสนุนทางฝั่งพลังประชารัฐกันหมด

และเมื่อบวกกับฝ่าย ส.ว.คนกันเองซึ่งก็มาจากรัฐบาลบ้าง อดีต สนช.บ้างอีก 250 คน ก็เรียกว่าไม่มีปัญหา

นายกฯ คนแรกตามรัฐธรรมนูญปี 2560 ก็จะได้แก่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คนเดิมค่อนข้างแน่นอนแล้ว

และน่าจะเป็นรัฐบาลผสม 24 พรรค เรียกว่าเป็นรัฐบาลประวัติศาสตร์ที่มีพรรคร่วมรัฐบาลมากที่สุด

ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า การเมืองบทแรกหลังการเลือกตั้งนั้นก็สามารถ “ปิดเกม” ลงได้แล้ว

และ คสช.ก็จะมีอันต้องสลายตัวกันไปตามรัฐธรรมนูญ รวมถึงอำนาจตามมาตรา 44 ด้วย

อาจกล่าวได้ว่า เป็นการเริ่มต้นเกมใหม่ที่พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องเป็นรัฐบาลภายใต้โหมด “การเมือง” เต็มตัว

ที่จะต้องมีสภาไว้ตรวจสอบ มีฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ รวมทั้งการจะขับเคลื่อนนโยบายอะไร ก็จะไม่มี “ทางลัด” อีกต่อไป ถ้าเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องใช้เงินหรืองบประมาณ ก็จำเป็นจะต้องออกกฎหมายมา

ในสถานะของรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ และประกอบด้วยพรรคร่วมกว่า 20 พรรคนั้น ก็เรียกว่า การดำเนินการอะไรที่จะต้องผ่านสภานั้น ก็เรียกว่าจะต้องปวดหัวกันเหมือนจับปูใส่กระด้งกันทุกคราวไป

แม้ว่าพรรคเล็กหลายพรรค ส่วนใหญ่จะประกาศว่าไม่ต้องการตำแหน่งอะไรในรัฐบาลก็ตาม แต่การที่ความมั่นคงของรัฐบาลนั้น เพียงแค่พรรคเล็กสักพรรคหรือสองพรรค “เล่นตัว” ไม่ยอมยกมือให้แล้ว ก็อาจจะทำให้รัฐบาลนั้นล่ม ไม่สามารถผ่านกฎหมายหรือไม่ได้รับเสียงไว้วางใจในสภาได้แล้ว

ดังนั้นการจะต้องคอยรักษาเอาใจ ส.ส.ต่างพรรคเกือบ 20 พรรค 20 คน และถ้าใครแตกแถวไปสักคนก็อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาลได้

นี่ยังไม่ต้องพูดถึงว่า ในบรรดาพรรคร่วมที่จะมีการต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรี หรือขับเคลื่อนนโยบายกันแบบพรรคใครพรรคมัน

เรียกว่า ถ้าเป็นการเล่นเกม จากที่เคยเล่นแบบ Easy Mode ที่เคยมีอำนาจเด็ดขาดล้นฟ้า มีมาตรา 44 มีกองทัพคอยหนุนการใช้อำนาจด้วยคำสั่ง คสช.สารพัดฉบับ

กลายเป็นต้องเล่นใน Extreme Hard Mode ที่นอกจากจะต้องดีลกับเกมจับปูใส่กระด้งแล้ว ไหนยังจะต้องรับมือกับบรรดาสื่อ กลุ่มมวลชนสารพัดชื่อตลอดจนประชาชนทั่วไป ที่สามารถจะวิพากษ์วิจารณ์หรือแม้แต่ชุมนุมกันได้แบบเสรี จะตั้งข้อหาเคลื่อนไหวทางการเมือง ให้เอาทหารอุ้มพาไปปรับทัศนคติก็ไม่สามารถทำได้อย่างโจ๋งครึ่มอีกแล้ว
ที่สำคัญ สิ่งที่จะเป็นการบ้านให้รัฐบาลใหม่แต่นายกฯ หน้าเก่าเข้ามารับสะสาง ก็คือผลงานที่รัฐบาลของท่านเองทำมาแล้ว ตลอดเวลาเกือบ 5 ปีที่ผ่านมานี้เอง

“ท่าไม้ตายเก่า” ที่บอกว่า ความผิดพลาด พินาศ ล้มเหลว หรือคอร์รัปชันนั้น เกิดขึ้นจากรัฐบาลเก่า พูดไปก็เข้าตัว หรือถ้าจะกล่าวโทษย้อนหลังไปถึงรัฐบาลเมื่อ 5 ปี 10 ปีที่แล้วได้ลงคอก็ลองดู

และกับปัญหาเศรษฐกิจต่างๆ ที่รุมเร้าอยู่ นโยบายประชานิยมแจกแหลกที่เริ่มต้นไว้ก่อนเลือกตั้งและยังเป็นผลผูกพัน ในขณะที่การจัดเก็บภาษียังไม่เข้าเป้า มีการดำริจะขึ้นภาษีต่างๆ ยิบย่อย และยังค่าครองชีพที่รัฐบาลเคยต้องรักษาคุมไว้ก็ชักจะตรึงไว้ไม่อยู่
เวลาฮันนีมูนรัฐบาลใหม่ของคนหน้าเดิม เพิ่มเติมคือมาจากการเลือกตั้งนั้น คงจะสั้นและลำบากลำบนทีเดียว

เอาว่าศึกชิมลางแรกที่จะต้องปาดเหงื่อกัน คือตอนเสนอกฎหมายงบประมาณประจำปี 2563 ก็อาจจะได้เห็นอะไรสนุกๆ กันแล้ว.