xs
xsm
sm
md
lg

รัฐบาลเสียงข้างน้อยกับกองทัพงูเห่า

เผยแพร่:   โดย: พระบาท นามเมือง

มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่
ไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือเป็นการโยนหินถามทาง เมื่อแหล่งข่าวจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้ออกมาเปิดเผยว่า สามารถรวบรวมเสียง ส.ส.เกิน 251 คน ตั้งรัฐบาลได้แล้ว

แต่ที่สำคัญที่สุด และทำให้กลายเป็นประเด็นฮือฮา คือแหล่งข่าวดังกล่าวนั้นอ้างว่าได้รับเสียงสนับสนุนจาก “พรรคเศรษฐกิจใหม่” ของนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ด้วย

จึงกลายเป็นประเด็นร้อนกันไป เมื่อทางคุณมิ่งขวัญถูกรุมจวกทางโลกไซเบอร์ว่าทำตัวเป็น “งูเห่า” หรืออย่างไร

เพราะที่ผ่านมาในการหาเสียงเลือกตั้งนั้น เขาแสดงออกเสมอมา เป็นจุดขายว่า จะอยู่ฝั่ง “ประชาธิปไตย” ไม่เอาเผด็จการและการสืบทอดอำนาจ

แต่ก็มีผู้สังเกตว่า ไม่เคยมีครั้งไหนที่คุณมิ่งขวัญประกาศชัดๆ เลยว่า จะสนับสนุนหรือไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ นอกจากใช้คำคลุม ๆ ว่าจะขอจับขั้วกับ “ฝ่ายประชาธิปไตย”

รวมถึงในการประกาศตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยหลังการเลือกตั้งที่โรงแรมแลงคาสเตอร์นั้น แม้ว่าตัวไม่ได้ไปและลงนามในสัญญา แต่เขาก็แสดงออกว่า จะอยู่ข้างนี้ ฝ่ายนี้นั่นแหละ

ดังนั้น เมื่อมีข่าวว่าไปร่วมงานกับพลังประชารัฐ ก็เลยสร้างความผิดหวังไม่พอใจให้บรรดาแฟนๆ โขอยู่

เพราะคนส่วนใหญ่ที่เลือกพรรคนี้นั้น คือคนกลุ่มที่ไม่อยากเห็น “ลุงตู่” กลับมาเป็นนายกฯ แต่ก็ไม่อยากเลือกพรรคเพื่อไทย รวมถึงไม่กล้าลองกับอนาคตใหม่ เลยซื้อแนวทางของพรรคที่มุ่งเน้นเศรษฐกิจของคุณมิ่งขวัญ

ถ้าเรื่องนี้เป็นการโยนหินถามทาง ก็เรียกว่าได้ก้อนอิฐกลับมากระบุงหนึ่ง จนเจ้าตัวต้องออกแถลงการณ์เป็นจดหมายเปิดผนึกว่า เรื่องที่มีข่าวว่าได้ไป “คุย” กับทางฝ่าย พลังประชารัฐ นั้นไม่เป็นความจริง

แต่ก็มีผู้สังเกตอีกนั่นแหละว่า แถลงการณ์ดังกล่าวก็ไม่ได้บอกอย่างชัดเจนอีก ว่าจะร่วมมือหรือไม่ร่วมมือกับพรรคพลังประชารัฐ

เช่นนี้ ความระแวงสงสัย ก็เหมือนยังขว้างงูเห่าไปไม่พ้นคอ

แต่อย่างไรก็ตาม คุณมิ่งขวัญก็มี “ต้นทุนทางการเมือง” ที่สูง และตัวเขาเองก็คงรู้ว่า คนที่เลือกเขานั้น มีความตั้งใจหรือเจตนารมณ์เช่นไรในทางการเมือง ดังนั้น ถ้าจะมา “หัก” ความคาดหวัง แล้วเป็น “งูเห่า” เลื้อยไปซบพลังประชารัฐจริงๆ ก็นับว่าอนาคตทางการเมืองของคุณมิ่งขวัญนั้นเป็นอันจบลงแน่นอน ทั้งยังจะมีมลทินว่าเป็น “งูเห่า” ที่ยอมเสียสัจจะ ไม่เคารพเสียงของ “แฟนคลับ” ที่เลือกมาติดตัวไปด้วย

ในส่วนพรรคอื่นๆ นั้น ก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวเช่นกัน อย่างกรณีของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่ง “แทงกั๊ก” มาจนถึงตอนนี้ ว่าตกลงจะไปทางไหน ไอ้เรื่องไม่ร่วมรัฐบาลกับฝ่ายเพื่อไทยนั้นแน่นอน แต่จะร่วมกับฝ่ายพลังประชารัฐ หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง

ฝ่ายของนายอภิสิทธิ์เอง และบรรดา “เลือดใหม่” ในพรรคนั้น เหมือนจะอยากให้พรรคเป็นฝ่ายค้านอิสระมากกว่า

ในขณะที่ ส.ส.ของพรรคส่วนใหญ่นั้นอยากไปร่วมงานกับพลังประชารัฐ และมีการวิเคราะห์ว่า เหตุที่พรรคพ่ายยับเยินแบบหมดรูปในการเลือกตั้งนั้น เป็นเพราะการ “แทงกั๊ก” และการประกาศว่าจะไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ของนายอภิสิทธิ์เองนั่นแหละ

แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง คือตามสมมติฐานว่า คนที่เคยเลือกพรรคประชาธิปัตย์ เปลี่ยนใจไปเลือกพลังประชารัฐ เพราะอยากสนับสนุน “ลุงตู่” เป็นนายกฯ

เช่นนี้ในทางกลับกัน เท่ากับเสียงของคนที่เลือกพรรคประชาธิปัตย์ส่วนใหญ่ คือคนที่ไม่ไปฝ่ายเพื่อไทยและอนาคตใหม่ แต่ก็ไม่อยากได้นายกฯ คนเดิมเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ จึงยากทีเดียว ที่ทางประชาธิปัตย์จะตัดสินใจ เพราะประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ต้องอาศัย “กระแส” ความนิยมจากประชาชนด้วย หากตัดสินใจพลาดไป อาจจะเสียฐานเสียงไปแบบกู่ไม่กลับในการเลือกตั้งครั้งหน้า

สำหรับ ส.ส.พรรคอื่นๆ ที่อยู่ในขั้วที่จัดตั้งเป็นรัฐบาลของฝ่ายเพื่อไทยนั้น ก็มีข่าวลือเรื่อง “งูเห่า” มาเป็นระลอกๆ

“งูเห่า” ในทางการเมืองไทย หมายถึง ส.ส.ที่เลือกจะไม่ออกเสียงตามมติพรรค คือพูดง่ายๆ ว่า “ไม่เชื่อง” กับทางพรรค หรือเหมือนการแว้งกัดของงูเห่าในนิทานเรื่องชาวนากับงูเห่า

ซึ่งวาทกรรม “งูเห่า” นี้เกิดขึ้นครั้งแรกในยุคปี 2540 สมัยที่บิ๊กจิ๋วลาออกจากนายกฯ และ ส.ส. พรรคประชากรไทยกลุ่มหนึ่ง นำโดยคุณวัฒนา อัศวเหม ทำการแหกมติพรรค ไปโหวตสนับสนุนนายชวน หลีกภัย ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่สอง

เหตุการณ์นี้ทำให้คุณสมัคร สุนทรเวช ที่เป็นหัวหน้าพรรคประชากรไทยในขณะนั้น ออกมาเปรียบเปรย ส.ส.กลุ่มนี้ว่าเป็น “งูเห่า” ที่ไม่รู้บุญคุณ “ชาวนา” ที่ช่วยเหลือกันมา

และคำว่า “งูเห่า” นี้ ก็ถูกใช้เรื่อยมาเป็นศัพท์ทางการเมืองไทย

ทั้งยังเคยมีแนวบรรทัดฐานไว้โดยศาลรัฐธรรมนูญว่า ส.ส.มีสิทธิที่จะลงมติอย่างมีอิสระ ถ้าพรรคจะขับให้พ้นสมาชิกภาพ ก็ไม่กระทบกระเทือนต่อความเป็น ส.ส.สามารถหาพรรคใหม่สังกัดได้

และก็ได้เกิดปรากฏการณ์ “งูเห่า” ขึ้นอีกครั้งในปี 2552 เมื่อคุณเนวินนำสมาชิกพรรคพลังประชาชน (ซึ่งเป็นพรรคที่สืบทอดไปจากไทยรักไทยอีกทีหนึ่ง) ไปเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ ชูนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี

กล่าวโดยสรุป คือการเป็น “งูเห่า” ของ ส.ส.นั้น เป็นเอกสิทธิ์ที่จะทำได้โดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญและประเพณีทางการเมืองของไทย

จึงเกิดข่าวลือว่า มีการหว่านข้อเสนอไปให้บรรดา ส.ส.ที่เพิ่งได้เข้ามาในสมัยแรก ที่อยู่ในขั้วที่จับเป็นรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ให้เปลี่ยนใจมาเป็น “งูเห่า” เถอะ

นัยว่า “อามิส” ในการแปรพักตร์นั้นว่ากันที่หลักสิบล้าน

ซึ่งสำหรับ ส.ส.โนเนมที่ได้รับเลือกเข้ามาแบบฟลุ้กๆ เพราะการขี่กระแสของพรรค บางคนชาวบ้านนั้นไม่รู้จักชื่อและเห็นหน้าเลยด้วยซ้ำ

“ต้นทุนทางการเมือง” ของ ส.ส.หน้าใหม่เหล่านี้แทบไม่มี หากจะเบี้ยวหรือเป็นงูเห่า แม้จะมีราคาที่ต้องจ่ายว่า คงจะเล่นการเมืองต่อไปไม่ได้

แต่ก็ยังได้เงินแปดหลักไปไว้อุ่นๆ ในกระเป๋า สบายไปได้หลายปี

เช่นนี้ “ไข่งูเห่า” จึงยังแฝงตัวอยู่ในพงหญ้าการเมืองไทย รอวันที่มันจะฟักตัวกันออกมาเลื้อยเพ่นพ่าน.


กำลังโหลดความคิดเห็น