เกือบจะ “ชนเดือนพอดี” หลังจากที่พรรคไทยรักษาชาติ เปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ ที่สร้างความสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งวงการ ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ก่อนที่ในที่สุดจะกลายเป็นชนักปักหลัง และจุดหักสำคัญให้ฝ่ายระบอบทักษิณอาจจะพ่ายในสนามการเลือกตั้ง ที่เสียเปรียบอยู่แล้วด้วยกติกาตามรัฐธรรมนูญ ที่ร่างขึ้นมาโดยฝ่าย คสช. และเครือข่าย
ส่งผลให้ กกต.ชงเรื่องเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคแบบทันควัน
และศาลรัฐธรรมนูญก็มีประกาศวันอ่านคำวินิจฉัยไว้แล้ว เป็นวันพฤหัสที่ 7 มีนาคม ที่จะมาถึง
ผลของคำวินิจฉัยนั้น แทบฟันธงได้โดยไม่มีใครรองเลย ว่าน่าจะต้องถูกยุบพรรคแน่ๆ ส่วนกรรมการบริหารพรรคจะโดนโทษทางการเมืองอะไรต่อไปนั้น ก็ค่อยลุ้นเอาเรื่องนั้นก็แล้วกัน
เมื่อศาลรัฐธรรมนูญจะชี้ขาดยุบพรรคก่อนการเลือกตั้ง ผลก็เท่ากับว่า ไม่มีพรรคไทยรักษาชาติ หรือ ทษช. ในบัตรเลือกตั้งอีกแล้ว ใครกาให้พรรคนี้ก็จะเป็นบัตรเสีย
ส่วนผู้สมัครของพรรคไทยรักษาชาติจะไปลงสมัครพรรคอื่นก็ไม่ทันเสียแล้ว
ซึ่งกระทบกระเทือนต่อเครือข่ายทักษิณแน่นอน เพราะนอกจากพรรคไทยรักษาชาติ จะมีอดีต ส.ส.ในมือที่น่าจะคว้าที่นั่งจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตได้ อย่างน้อยก็ 3 หรือ 5 ที่นั่ง
แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงของการตั้งพรรคอะไหล่ไทยรักษาชาติ นั่นก็คือ เอามาเป็นตัวเก็บกวาด “คะแนนเสียง” ของคนรักทักษิณที่ยังมีอยู่ ให้แปรมาเป็นจำนวนที่นั่งในสภาฯ ให้มากที่สุด
นั่นเพราะในการเลือกตั้ง ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เป็นการ “เพิ่ม” ที่นั่ง ส.ส.เข้าไปชดเชยจำนวน ส.ส.เขต สำหรับพรรคที่ได้ ส.ส.เขตน้อยกว่าสัดส่วนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจริงทั่วประเทศ
ดังนั้นพรรคไหนที่ได้ที่นั่ง ส.ส.มากกว่าหรือเท่ากับสัดส่วนเสียงของผู้มีสิทธิเลือกตั้งแล้ว ก็จะไม่ได้ชดเชยจำนวนปาร์ตี้ลิสต์ในส่วนนี้
ด้วยเหตุนี้ พรรคแม่จึงจำเป็นต้องสร้างพรรคลูกขึ้นมาคอย “เก็บ” คะแนนที่ล้นเกินและไม่ส่งผลให้ได้จำนวน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เพิ่มอีกแล้ว
นี่คือการ “แก้เกม” กติกาการเลือกตั้งที่ฝ่ายยุทธศาสตร์ของฝ่ายทักษิณคิดได้
และเพื่อลดความสับสน ทั้งสองพรรคนี้เหมือนจะตกลงแบ่งเขตกันตี เช่น พื้นที่ไหนที่เพื่อไทยน่าจะแพ้แน่ๆ ก็จะไม่ส่งผู้สมัครลงไป เปิดทางให้ไทยรักษาชาติลงไปเก็บคะแนนส่วนนี้มา
ดังนั้น หากพรรคไทยรักษาชาติจะถูกยุบไปจริงในวันที่ 7 มีนาคมที่กำลังจะมาถึง ก็เท่ากับว่า ไม่มีตัวเก็บคะแนนให้ และพรรคแม่อย่างเพื่อไทยก็ไม่มีตัวผู้สมัครมาเก็บคะแนนในเขตดังกล่าวด้วย
เท่ากับเพื่อไทยเสียทั้งโอกาสจะได้ปาร์ตี้ลิสต์ชดเชย และเสียแม้แต่โอกาสลงไปเก็บคะแนนรวมระดับประเทศที่จะเอามาคิดเป็นปาร์ตี้ลิสต์สำหรับเขตเหล่านั้น
ซึ่งถ้าสมมติคิดออกมาแล้ว เพื่อไทยได้ ส.ส.เขตมากกว่าสัดส่วนคะแนนนั้นก็แล้วไป แต่ถ้าสมมติเกิดพลิกผันไม่ได้ ส.ส.เขตตามแผน ก็อาจจะมีคะแนนไม่พอที่จะได้ชดเชยเก้าอี้ระบบปาร์ตี้ลิสต์
นี่คือความเสียหายจากการเล่นเกมเสี่ยงเดิมพันทางการเมืองสูงแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้
คำถามคือ คะแนนที่หายไปของไทยรักษาชาตินี้จะกระจายลงไปให้ใคร
คงไม่ต้องสงสัยว่า คนที่จะเลือกพรรคไทยรักษาชาติ คงจะเป็นกลุ่มคนที่ไม่พอใจกับระบอบ คสช.และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาแน่นอนอยู่แล้ว ดังนั้นเสียงของ ทษช.ที่หายไปนี้ คงจะไม่ไปตกลงแก่พรรคพลังประชารัฐ หรือพรรคแนวร่วมอย่างแน่นอน
ก็เป็นไปได้ที่เสียงเหล่านั้นจะกระจายลงไปยังพรรคอะไหล่เบอร์รองๆ ของเพื่อไทย อย่างเช่นพรรค “เพื่อชาติ” หรือ “เพื่อธรรม” หรือแม้แต่พรรคแนวร่วมฝ่าย “ไม่เอาทหาร” อย่างอนาคตใหม่หรือเสรีรวมไทย
แต่เสียงเหล่านั้นก็อาจจะเป็น “เบี้ยหัวแตก” ไม่เท่ากับการมีพรรคลูกที่มีศักยภาพมาตามเก็บเป็นเรื่องเป็นราวดังเช่นแผนเดิมและเมื่อมาเกลี่ยระดับประเทศแล้ว อาจจะได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์น้อยมาก หรืออาจจะถึงกับไม่ได้เลย ถ้าคะแนนที่เคยเป็นกลุ่มนี้กระจายแตกตัวลงไปยิบย่อยไม่เป็นเอกภาพ
จึงนับว่าเป็นการเดินหมากตัวเองเข้าตาจนโดยแท้
ส่วนพรรคแนวร่วมไม่เอาทหาร อย่างเสรีรวมไทย หรืออนาคตใหม่ อาจจะได้คะแนนหลงบ้าง ก็เป็นผลประโยชน์ที่ได้มาฟรีๆ ไม่ว่าจะได้มากน้อยแค่ไหนก็ตาม
เว้นแต่ในที่สุด ก่อนเลือกตั้ง มีการ “สั่งการ” มาจากแดนไกลว่า เขตไหนที่ไม่มีพรรคเพื่อไทย ให้เลือกพรรคใดพรรคหนึ่งที่แนวร่วมและพอจะคุยกันได้ไปเลยพรรคเดียว ก็อาจจะส่งผลให้สมการทางการเมืองเปลี่ยนไปเช่นกัน
ซึ่งพรรคที่น่าสนใจที่จะเอาคะแนนที่หลุดหายไปของไทยรักษาชาติไปฝากไว้ และมี “ศักยภาพ” พอที่จะต่อกรกับฝ่ายพรรค “ลุงตู่” ได้ ก็เห็นจะได้แก่ พรรคที่ความนิยมกำลังมาแบบดีวันดีคืนในหมู่คนหนุ่มสาว วัยรุ่นที่จะได้ใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นครั้งแรก จากกระแส “พ่อของฟ้า” คือพรรคอนาคตใหม่
ที่ว่ามีศักยภาพที่สุด เพราะนอกจากความนิยมที่โดดขึ้นมาในช่วงไม่กี่สัปดาห์ของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แล้ว “อนาคตใหม่” ยังเป็นพรรคที่ส่งผู้สมัครลงทุกเขตด้วย เพราะกลยุทธ์ของพรรคนี้คงประเมินกันแล้วว่าให้เก็บคะแนน ส.ส.เขตนั้นคงยากหรือเป็นไปแทบไม่ได้เลย ดังนั้นผู้สมัครระบบแบ่งเขตที่ส่งไปนั้น ก็เพื่อเก็บรวมคะแนนความนิยมให้ได้จากทุกเขตเลือกตั้งทั่วประเทศไทย เพื่อให้มีคะแนนเข้าไปแบ่งจำนวนปาร์ตี้ลิสต์บ้างนั่นเอง
ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจะออกหน้าไหน แต่ค่อนข้างแน่ใจได้แล้วว่า ในสมการการเมืองหลังเลือกตั้งนี้ น่าจะขีดชื่อพรรคไทยรักษาชาติออกไปจากการวิเคราะห์ได้เลย
ส่วนคะแนนของฝ่ายอยากเห็น “ลุงตู่” อยู่ต่อนั้นคงไม่เพิ่มไปมากกว่านี้อีกแล้ว เว้นแต่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ที่ฉุดดึงคะแนนเขาขึ้นมาอีกครั้ง
อะไรก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น ในสมการอันพลิกผันของการเมืองไทย.