xs
xsm
sm
md
lg

หนักแผ่นดิน-หนักที่ใคร

เผยแพร่:   โดย: พระบาท นามเมือง

พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก
“บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ คงนึกไม่ถึงว่า การออกมา “คำราม” เพื่อหมายจะส่งสัญญาณเตือนให้พวก “นักการเมือง – นักเลือกตั้ง” ไม่ให้เข้ามาแตะรั้วแดนเขตทหารถอยเท้ากลับไปนั้น จะได้ผลออกมาในทางตรงกันข้ามแบบนี้

ย้อนกลับไปในวันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ ที่ “บิ๊กแดง” ทิ้งระเบิดลูกใหญ่ลงกลางวงข่าวเพื่อตอบโต้ “คุณหญิงหน่อย” สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ปาร์ตี้ลิสต์หมายเลขหนึ่งพรรคเพื่อไทย และหนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ที่เพิ่งจัดปราศรัยใหญ่ไปเมื่อช่วงวันหยุดที่ผ่านมา โดยชูนโยบายตัดงบกลาโหม 10 เปอร์เซ็นต์ และยกเลิกการเกณฑ์ทหาร

โดย “บิ๊กแดง” ไล่คุณหญิงสุดารัตน์ว่า “ให้ไปฟังเพลงหนักแผ่นดินไง”

แถมเท่านั้นยังไม่พอ ยังมีคำสั่งออกไปยังวิทยุทหารทุกคลื่นที่มี รวมถึงระบบเสียงตามสายหอกระจายข่าวในค่ายทหาร ให้นำเพลง “หนักแผ่นดิน” มาเปิดด้วย

ในตอนแรก เขาคงคิดว่า การเล่น “ไม้แข็ง” ที่ “แรง” ขนาดนี้จะช่วยกำราบนักการเมืองได้ ว่าหาเสียงอย่างไรก็หาไป อย่ามายุ่งกับทหาร

แต่เรื่องกลับกลายเป็นการไปปลุกกระแสแนวร่วมมุมกลับจากประชาชน และย้อนกลับมาเล่นงานตัวเขาเองอย่างเจ็บแสบ

กระแสการโต้กลับของผู้คนในสังคมนั้นแรงเกินคาด มีการตั้งคำถามว่า บิ๊กแดงปลุกผีเพลง “หนักแผ่นดิน” ขึ้นมาเพื่ออะไร เพื่อข่มขู่ว่าจะใช้ความรุนแรงหรือไม่

เพราะในประวัติศาสตร์การเมือง เพลง “หนักแผ่นดิน” นี้เป็นเครื่องเร่งปฏิกิริยาตัวหนึ่งที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 กันขึ้น ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็น “บาดแผล” ประวัติศาสตร์ไทย และเมื่อชำระประวัติศาสตร์ที่ยอมรับได้กันออกมาแล้ว นั่นเป็นเหตุการณ์ที่ทหาร ตำรวจ และลูกเสือชาวบ้าน “ล้อมสังหาร” นักศึกษากลางเมือง และมีการทารุณกรรมศพ ข่มขืนผู้หญิง

ภาพของศพบนต้นมะขาม ถูกเก้าอี้ฟาด เป็นสัญรูปที่แสดงถึงความรุนแรงของความบ้าคลั่งเรื่องชาตินิยมและการใช้ความรุนแรงของทหาร สัญลักษณ์นี้ถูกนำมาใช้ในกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับการปกครองด้วยระบอบทหาร ดังเช่นที่ได้ไปปรากฏอยู่ฉากสำคัญในมิวสิควิดีโอ “ประเทศกูมี” ที่โด่งดังเป็นกระแสในช่วงปลายปีที่แล้ว

แต่เรื่องที่หนักที่สุด คือการ “ขุด” เอาประเด็นเรื่อง “มรดก 4 พันล้าน” ของ “บิ๊กจ๊อด” พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์หัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) บิดาบังเกิดเกล้าของ “บิ๊กแดง” ที่ถูกฟื้นฝอยขึ้นมาแฉกันวุ่นวาย

โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่า บิดาท่านรับราชการอย่างไร ถึงได้ร่ำรวยเป็น 4 พันล้าน เป็นมรดกตกทอดมาให้ทายาททั้งเมียหลวงและเมียใหม่ได้แย่งกันเอิกเกริกอย่างนั้น

กระแสโต้กลับนี้ทำให้ฝ่ายกองทัพ “ถอนเรื่อง” แทบไม่ทัน โดยมีคำสั่งระงับให้เลิกเปิดเพลงดังกล่าวในวิทยุทหารแล้ว หรือบางข่าวก็ว่าไม่มีการสั่งการมาตั้งแต่ต้น เป็นความเข้าใจผิด ฯลฯ แต่อย่างไรก็ดี เอาเป็นว่า จะไม่มีเพลง “หนักแผ่นดิน” เปิดกันในวิทยุยานเกราะและเครือข่ายวิทยุทหารอื่นๆ แล้ว

คำถามว่า ทำไมการปลุกกระแส “หนักแผ่นดิน” ในรอบนี้นอกจากจุดไม่ติดแล้ว ยังแว้งกลับไปเล่นงานทั้งฝ่ายทหารและฝ่ายตัวบิ๊กแดงเองได้นั้น ก็เป็นเพราะว่า ทางฝ่ายบิ๊กแดงหรือกองทัพประเมินตัวเองผิด และเลือกใช้อาวุธหนักเกินตัวยิงไป ในสภาพที่ภูมิทัศน์ทางการเมืองอันเป็นสนามรบเปลี่ยนแปลงไป

การเลือกใช้อาวุธผิดนั้นก็เพราะว่า เดิมทีเพลง “หนักแผ่นดิน” มีไว้เพื่อปลุกใจให้คนออกมาปกป้องประเทศชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถาบันพระมหากษัตริย์ ให้พ้นจากการคุกคามและการล่วงละเมิด

แต่เมื่อนำเอาเพลงนี้มา “ปกป้อง” สมบัติหรือผลประโยชน์ของตัวเอง ในที่นี้คืองบประมาณของกองทัพ มันจึงเป็นเรื่องผิดฝาผิดตัวไปมาก

และที่ว่าประเมินตัวเองและสังคมผิด ก็เพราะว่า ในตอนนี้กระแสความนิยมของทหารเริ่มตกต่ำลง และเรื่อง “งบประมาณของกองทัพ” ก็ถูกตั้งข้อครหามาตลอด

ประเด็นไม่ได้อยู่ที่กองทัพได้งบประมาณมากน้อยเพียงไร แต่สำหรับประชาชนแล้ว การซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพในช่วงเวลาที่ คสช.บริหารประเทศแบบเบ็ดเสร็จอยู่นั้น นอกจากจะมีความถี่บ่อยและจำนวนมากแล้ว ก็ยังมีความไม่โปร่งใสไม่น่าไว้ใจในหลายๆ เรื่อง จนเชื่อว่ามีคนได้เงินทอนจากการนี้ และ “นายทหารใหญ่” ในกองทัพก็เหมือนรวยเอาๆ

กระแสเรื่อง “งบกองทัพ” นี้เป็นเรื่องที่คนทุกสีทุกฝ่ายเห็นตรงกันจนเกือบเป็นฉันทามติ ดังนั้นการที่นักการเมืองเสนอให้ลดทอน (ไม่ใช่ตัดไปเสียหมด) งบทหารลง “บ้าง” จึงเป็นเรื่องที่ประชาชนส่วนใหญ่ยอมรับได้

และยิ่งมาพิจารณาตัวเงินที่ว่าจะปรับลดแล้ว ก็พบว่าเป็นเงินจำนวนมหาศาล คือ สองหมื่นล้านบาท เท่ากับถ้า “ตูน บอดี้สแลม” จะวิ่งจากเบตงมาเชียงรายในโครงการ “ก้าวคนละก้าว” ให้ได้เงินเท่าจำนวนนี้ ก็ต้องวิ่งถึงประมาณ 15 รอบเลยทีเดียว

ในสภาพที่ยอมรับกันว่าเศรษฐกิจไม่ดี ก็ไม่แปลกใจที่ข้อเสนอนโยบายนี้จะถูก “ขานรับ”

ส่วนเรื่องการยกเลิกการเกณฑ์ทหารนั้น ก็ต้องยอมรับว่า มันเป็นนโยบายที่ลึกๆ แล้ว คนทั่วไปก็เห็นด้วย เอาง่าย ๆ ไม่มีใครอยากเกณฑ์ทหารกันหรอก ดูได้จากการหาทางวิ่งเต้น “ยัดทหาร” เพื่อลูกหลานตัวเองจะไม่ถูกเกณฑ์
และยิ่งข่าวเรื่องการฝึกซ้อมที่ทำให้ทหารเกณฑ์ตายหรือพิการกันในค่าย ระดับนักเรียนนายร้อยยังตายได้ ก็อีกเรื่องหนึ่ง

แถมซ้ำด้วย “ภาพลักษณ์” ของการที่นายทหารเอา “ทหารเกณฑ์” ไปเป็นทหารรับใช้ตามบ้าน ให้ซักผ้า ตัดหญ้า ทำสวน ที่เดิมเคยเป็นแค่เรื่อง “นินทา” กันเบาๆ ในร้านกาแฟ แต่ก็มาชัดเจนเห็นภาพมีหลักฐานเอาก็ยุคของโซเชียล ก็ลดทอนข้ออ้างของทางกองทัพว่าต้องเกณฑ์แรงงานชายหนุ่มไป “รับใช้ชาติ” ได้

กล่าวโดยสรุป คือ กองทัพสำคัญผิดว่า “ทหาร” ยังเป็น “พระเอก” ในสายตาประชาชนอยู่ ซึ่งเพราะการบริหารประเทศของ คสช.ในช่วงเกือบ 5 ปีที่ผ่านมา และที่พวกท่านแสดงให้สังคมเห็น ทำให้ภาพไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว

และในภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนไป โซเชียลเน็ตเวิร์คทำให้การกระจายข่าวนั้นเป็นรูปแบบหลายทาง ไม่สามารถควบคุมทิศทางได้อีก ในโลกของอินเทอร์เน็ต ข้อมูลชุดเดียวที่คนหาได้และขุดค้นขึ้นมา เช่นเรื่องของบิ๊กจ๊อด ก็ถูกแชร์ไปได้เป็นล้าน แบบที่ต่อให้กองทัพมีหน่วยปฏิบัติการข่าวสาร ก็ตามเก็บกวาดให้ไม่ได้

ก็ทั้งหมดนี่แหละ ทำให้อาวุธหนัก เพลง “หนักแผ่นดิน” แทนที่จะยิงไประเบิดที่ฝั่งนักการเมืองให้ขยาด กลายเป็นโยนระเบิดไม่พ้นบังเกอร์ สะเก็ดระเบิดกระจายไปพวกเดียวกันบาดเจ็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนถอดสลักแล้วโยนไป คือตัวท่าน ผบ.ทบ.เอง.



กำลังโหลดความคิดเห็น