ในที่สุดความคลุมเครือมานานก็สิ้นสุดลง เมื่อพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งได้รับการประกาศ เมื่อวันพุธที่ 23 มกราคม 2562
พร้อมกันกับที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง ประกาศให้วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม 2562 เป็นวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป เป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี หากนับการเลือกตั้งทั่วไปครั้งสุดท้ายที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายในปี 2554 (ไม่นับเลือกตั้ง 2 ก.พ. 57 ที่เป็นโมฆะ)
หากเราวัดกระแสตอบรับของการประกาศความชัดเจนเรื่องวันเลือกตั้ง ก็คงบ่งชี้ได้ถึงสัญญาณบางอย่างทางการเมืองจากประชาชน
นั่นคือความยินดีของประชาชนส่วนใหญ่ และตลาดหุ้นก็เด้งรับปิดบวกตลอด 3-4 วันที่ผ่านมานี้
คือทุกฝ่าย “โล่งใจ” กับอนาคตของประเทศ ที่เริ่มมองเห็นได้ว่าจะดำเนินต่อไปในทิศทางไหน มีกรอบเวลาที่ชัดเจนเมื่อไร
และหากเราตีความสัญญาณเหล่านี้จริงจังลงในระดับรายละเอียด ก็จะเห็นว่า ความดีใจเหล่านี้ แฝงความยินดีต่อกำหนดการที่แน่ชัด ถึงการสิ้นสุดลงของการปกครองในระบอบ คสช.ที่ดำเนินมายาวนานกว่า 4 ปี
บางความเห็นในสื่อโซเชียล แสดงออกชัดเจนว่า คราวนี้จะได้ไม่ต้องอดทนกับ “มนุษย์ลุง” ที่มาออกโทรทัศน์ทุกเย็นวันศุกร์กันเสียที
สัญญาณนี้น่าจะส่งผลไม่ดีเท่าไรต่อความพยายามในการสืบทอดอำนาจต่อไปโดยชอบรัฐธรรมนูญของฝ่ายทหาร ที่แน่นอนว่าได้แก่พรรคพลังประชารัฐที่ชัดเจนระดับหนึ่งแล้วว่าพร้อมจะสนับสนุน “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เป็นว่าที่นายกฯ คนแรกที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2560
อาจจะต้องยอมรับว่า จนถึงการประกาศวันเลือกตั้งชัดเจนนี้ ที่ผ่านมา รัฐบาล คสช.นั้นทำผลงานไม่เข้าตาประชาชนสักเท่าไร ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ทั้งเศรษฐกิจ การปฏิรูปประเทศ การปราบปรามการคอร์รัปชัน
จะมีอยู่เรื่องเดียวเท่านั้น คือการรักษาความสงบเรียบร้อย แต่นั่นแหละ ทุกฝ่ายก็ยอมรับว่า การรักษาความสงบเรียบร้อยโดยรัฐบาลทหารที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จนั้น เป็นเพียงการใช้อำนาจปิดปากผู้เห็นต่างจากรัฐบาล และซุกความขัดแย้งไว้ใต้พรม โดยห้ามทุกฝ่ายอื้อหือ
ความสงบเรียบร้อยภายใต้ความล้มเหลวของกลไกรัฐที่ไร้ประสิทธิภาพไปเสียทุกภาคส่วน ไม่เพียงพอแล้วสำหรับประชาชน
จนเขาอยากจะลองไปเสี่ยงกับอนาคตที่ไม่มั่นคงแน่นอน ที่แม้ไม่รู้ว่าจะได้ใครมาเป็นนายกฯ หรือรัฐบาลต่อไป แต่อย่างไรก็ยังดีกว่าเก่า หรือแม้กระทั่งทำใจว่านายกฯ จะเป็นคนเดิม แต่การได้นักการเมืองหรือนักบริหารมืออาชีพมาเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาล ก็น่าจะดีกว่ารัฐบาลขุนทหารและข้าราชการที่ทำงานไม่เข้าตาเช่นทุกวันนี้
เสียงตอบรับดีใจที่จะมีการเลือกตั้งเสียที ยิ่งเฮแรงเท่าไร จึงเหมือนเป็นเสียงตะโกนไล่รัฐบาลปัจจุบันดังขึ้นเท่านั้น
อย่างที่เขียนไปแล้วหลายครั้ง ว่าจากเดิมทีนอนมา ขอบอกว่า รอบนี้เหนื่อยหนักแน่นอน
กระนั้นก็ยังมีปัญหาสองอย่างที่ได้รับการยกขึ้นมากล่าวถึงกัน ภายหลังจากกำหนดวันเลือกตั้งออกมาแล้วอย่างชัดเจน
นั่นคือ “กับดัก” หรือ “เงื่อนไข” ในบทเฉพาะกาลตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 268 ที่ว่า ต้องดำเนินการเลือกตั้ง ส.ส.ให้แล้วเสร็จภายใน 150 วัน หลังจากที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการเลือกตั้ง 4 ฉบับ มีผลใช้บังคับ ซึ่งตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2561
กำหนด 150 วันนั้นจะครบในวันที่ 9 พฤษภาคม 2562
ซึ่งนักกฎหมายส่วนใหญ่มองว่า คำว่า “จัดการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จ” นี้หมายความรวมถึงการประกาศผลการเลือกตั้งด้วย ที่รัฐธรรมนูญกำหนดกรอบเวลาให้ กกต.ต้องประกาศผลการเลือกตั้งให้สมบูรณ์ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่มีการเลือกตั้ง
ถ้า กกต.ใช้เต็มแม็กจริงๆ ก็จะไปจบกรอบเวลาที่วันที่ 23 พฤษภาคม 2562 ซึ่งเกินกรอบเวลา 150 วันตามรัฐธรรมนูญไปเป็นสิบๆ วัน
แต่ 60 วันที่ว่านั้น คือระยะเวลา “อย่างช้า” นั่นคือ กกต.จะสามารถประกาศผลการเลือกตั้งที่สมบูรณ์ก่อนหน้านั้นก็ได้
ถ้าให้อยู่ในกรอบเวลา 150 วัน ก็เท่ากับจะเหลือเวลาให้ กกต. 45 วันเท่านั้น นั่นคือ กกต.ต้อง “เร่งมือ” สุดกำลังให้ประกาศผลการเลือกตั้งได้เร็วกว่ากรอบเวลาตามรัฐธรรมนูญถึงประมาณ 25% เลยทีเดียว
จริงอยู่ว่า คำว่า “จัดการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จ” นี้ จะตีความว่าหมายถึงการจัดให้มีการหย่อนบัตรเลือกตั้งเสร็จก็เสร็จ ไม่รวมการประกาศผลก็อาจจะได้ อันนี้ก็เป็นความเห็นของนักกฎหมายบางท่าน เช่น อาจารย์วิษณุ เครืองาม
แต่นั่นก็ดูจะแถไถช่วยกันเกินไปหน่อย
คนที่จะให้คำตอบได้ก็เห็นจะเป็นศาลรัฐธรรมนูญ ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ชี้ขาดการตีความรัฐธรรมนูญ แต่ข้อจำกัดของความเป็นศาล คือการจะยื่นเรื่องเข้าไปนั้น จะแค่เป็นปัญหาต้องสงสัยเฉยๆ นั้นไม่ได้ จะต้องมี “เรื่อง” หรือ “ปัญหา” เกิดขึ้นแล้ว จึงจะส่งให้ศาลวินิจฉัยได้
ข้อยากมันจึงอยู่ตรงนี้ คือจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญได้ ก็แปลว่าการประกาศผลการเลือกตั้งต้องล่วงเลยวันที่ 9 พฤษภาคมไปแล้ว
และถ้าศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า 150 วัน ต้องนับรวมการประกาศผลการเลือกตั้งโดยสมบูรณ์ด้วย ก็จะส่งผลให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ
นี่คือ “กับระเบิด” ที่หลงเหลืออยู่ สำหรับการประกาศวันเลือกตั้งที่ชัดเจนแล้วว่าเป็นวันที่ 24 มีนาคมนี้
แต่ปล่อยให้เรื่องนั้นเป็นปัญหาในอนาคตเถิด
เพราะทันทีที่ปี่กลองแห่งการเลือกตั้งดังขึ้น คือสัญญาณเริ่มต้นของจุดจบแห่งยุค คสช.และขึ้นบทใหม่ของประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่แม้เราไม่รู้ว่าบทต่อไปจะเขียนไว้อย่างไร แต่ก็เพียงพอแล้วสำหรับเวลาของประเทศที่เสียไปกับการปฏิรูปที่ล้มเหลวอีกครั้ง.
พร้อมกันกับที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง ประกาศให้วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม 2562 เป็นวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป เป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี หากนับการเลือกตั้งทั่วไปครั้งสุดท้ายที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายในปี 2554 (ไม่นับเลือกตั้ง 2 ก.พ. 57 ที่เป็นโมฆะ)
หากเราวัดกระแสตอบรับของการประกาศความชัดเจนเรื่องวันเลือกตั้ง ก็คงบ่งชี้ได้ถึงสัญญาณบางอย่างทางการเมืองจากประชาชน
นั่นคือความยินดีของประชาชนส่วนใหญ่ และตลาดหุ้นก็เด้งรับปิดบวกตลอด 3-4 วันที่ผ่านมานี้
คือทุกฝ่าย “โล่งใจ” กับอนาคตของประเทศ ที่เริ่มมองเห็นได้ว่าจะดำเนินต่อไปในทิศทางไหน มีกรอบเวลาที่ชัดเจนเมื่อไร
และหากเราตีความสัญญาณเหล่านี้จริงจังลงในระดับรายละเอียด ก็จะเห็นว่า ความดีใจเหล่านี้ แฝงความยินดีต่อกำหนดการที่แน่ชัด ถึงการสิ้นสุดลงของการปกครองในระบอบ คสช.ที่ดำเนินมายาวนานกว่า 4 ปี
บางความเห็นในสื่อโซเชียล แสดงออกชัดเจนว่า คราวนี้จะได้ไม่ต้องอดทนกับ “มนุษย์ลุง” ที่มาออกโทรทัศน์ทุกเย็นวันศุกร์กันเสียที
สัญญาณนี้น่าจะส่งผลไม่ดีเท่าไรต่อความพยายามในการสืบทอดอำนาจต่อไปโดยชอบรัฐธรรมนูญของฝ่ายทหาร ที่แน่นอนว่าได้แก่พรรคพลังประชารัฐที่ชัดเจนระดับหนึ่งแล้วว่าพร้อมจะสนับสนุน “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เป็นว่าที่นายกฯ คนแรกที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2560
อาจจะต้องยอมรับว่า จนถึงการประกาศวันเลือกตั้งชัดเจนนี้ ที่ผ่านมา รัฐบาล คสช.นั้นทำผลงานไม่เข้าตาประชาชนสักเท่าไร ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ทั้งเศรษฐกิจ การปฏิรูปประเทศ การปราบปรามการคอร์รัปชัน
จะมีอยู่เรื่องเดียวเท่านั้น คือการรักษาความสงบเรียบร้อย แต่นั่นแหละ ทุกฝ่ายก็ยอมรับว่า การรักษาความสงบเรียบร้อยโดยรัฐบาลทหารที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จนั้น เป็นเพียงการใช้อำนาจปิดปากผู้เห็นต่างจากรัฐบาล และซุกความขัดแย้งไว้ใต้พรม โดยห้ามทุกฝ่ายอื้อหือ
ความสงบเรียบร้อยภายใต้ความล้มเหลวของกลไกรัฐที่ไร้ประสิทธิภาพไปเสียทุกภาคส่วน ไม่เพียงพอแล้วสำหรับประชาชน
จนเขาอยากจะลองไปเสี่ยงกับอนาคตที่ไม่มั่นคงแน่นอน ที่แม้ไม่รู้ว่าจะได้ใครมาเป็นนายกฯ หรือรัฐบาลต่อไป แต่อย่างไรก็ยังดีกว่าเก่า หรือแม้กระทั่งทำใจว่านายกฯ จะเป็นคนเดิม แต่การได้นักการเมืองหรือนักบริหารมืออาชีพมาเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาล ก็น่าจะดีกว่ารัฐบาลขุนทหารและข้าราชการที่ทำงานไม่เข้าตาเช่นทุกวันนี้
เสียงตอบรับดีใจที่จะมีการเลือกตั้งเสียที ยิ่งเฮแรงเท่าไร จึงเหมือนเป็นเสียงตะโกนไล่รัฐบาลปัจจุบันดังขึ้นเท่านั้น
อย่างที่เขียนไปแล้วหลายครั้ง ว่าจากเดิมทีนอนมา ขอบอกว่า รอบนี้เหนื่อยหนักแน่นอน
กระนั้นก็ยังมีปัญหาสองอย่างที่ได้รับการยกขึ้นมากล่าวถึงกัน ภายหลังจากกำหนดวันเลือกตั้งออกมาแล้วอย่างชัดเจน
นั่นคือ “กับดัก” หรือ “เงื่อนไข” ในบทเฉพาะกาลตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 268 ที่ว่า ต้องดำเนินการเลือกตั้ง ส.ส.ให้แล้วเสร็จภายใน 150 วัน หลังจากที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการเลือกตั้ง 4 ฉบับ มีผลใช้บังคับ ซึ่งตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2561
กำหนด 150 วันนั้นจะครบในวันที่ 9 พฤษภาคม 2562
ซึ่งนักกฎหมายส่วนใหญ่มองว่า คำว่า “จัดการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จ” นี้หมายความรวมถึงการประกาศผลการเลือกตั้งด้วย ที่รัฐธรรมนูญกำหนดกรอบเวลาให้ กกต.ต้องประกาศผลการเลือกตั้งให้สมบูรณ์ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่มีการเลือกตั้ง
ถ้า กกต.ใช้เต็มแม็กจริงๆ ก็จะไปจบกรอบเวลาที่วันที่ 23 พฤษภาคม 2562 ซึ่งเกินกรอบเวลา 150 วันตามรัฐธรรมนูญไปเป็นสิบๆ วัน
แต่ 60 วันที่ว่านั้น คือระยะเวลา “อย่างช้า” นั่นคือ กกต.จะสามารถประกาศผลการเลือกตั้งที่สมบูรณ์ก่อนหน้านั้นก็ได้
ถ้าให้อยู่ในกรอบเวลา 150 วัน ก็เท่ากับจะเหลือเวลาให้ กกต. 45 วันเท่านั้น นั่นคือ กกต.ต้อง “เร่งมือ” สุดกำลังให้ประกาศผลการเลือกตั้งได้เร็วกว่ากรอบเวลาตามรัฐธรรมนูญถึงประมาณ 25% เลยทีเดียว
จริงอยู่ว่า คำว่า “จัดการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จ” นี้ จะตีความว่าหมายถึงการจัดให้มีการหย่อนบัตรเลือกตั้งเสร็จก็เสร็จ ไม่รวมการประกาศผลก็อาจจะได้ อันนี้ก็เป็นความเห็นของนักกฎหมายบางท่าน เช่น อาจารย์วิษณุ เครืองาม
แต่นั่นก็ดูจะแถไถช่วยกันเกินไปหน่อย
คนที่จะให้คำตอบได้ก็เห็นจะเป็นศาลรัฐธรรมนูญ ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ชี้ขาดการตีความรัฐธรรมนูญ แต่ข้อจำกัดของความเป็นศาล คือการจะยื่นเรื่องเข้าไปนั้น จะแค่เป็นปัญหาต้องสงสัยเฉยๆ นั้นไม่ได้ จะต้องมี “เรื่อง” หรือ “ปัญหา” เกิดขึ้นแล้ว จึงจะส่งให้ศาลวินิจฉัยได้
ข้อยากมันจึงอยู่ตรงนี้ คือจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญได้ ก็แปลว่าการประกาศผลการเลือกตั้งต้องล่วงเลยวันที่ 9 พฤษภาคมไปแล้ว
และถ้าศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า 150 วัน ต้องนับรวมการประกาศผลการเลือกตั้งโดยสมบูรณ์ด้วย ก็จะส่งผลให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ
นี่คือ “กับระเบิด” ที่หลงเหลืออยู่ สำหรับการประกาศวันเลือกตั้งที่ชัดเจนแล้วว่าเป็นวันที่ 24 มีนาคมนี้
แต่ปล่อยให้เรื่องนั้นเป็นปัญหาในอนาคตเถิด
เพราะทันทีที่ปี่กลองแห่งการเลือกตั้งดังขึ้น คือสัญญาณเริ่มต้นของจุดจบแห่งยุค คสช.และขึ้นบทใหม่ของประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่แม้เราไม่รู้ว่าบทต่อไปจะเขียนไว้อย่างไร แต่ก็เพียงพอแล้วสำหรับเวลาของประเทศที่เสียไปกับการปฏิรูปที่ล้มเหลวอีกครั้ง.