อาจารย์ชัยอนันต์ สมุทวณิช มีบทบาทในการผลักดันเหตุการณ์ทางการเมืองครั้งสำคัญๆ มาหลายครั้ง โดยเฉพาะเมื่อมีการเซ็นชื่อเรียกร้องรัฐธรรมนูญ 100 คน ในปี 2516 ซึ่งทั้งอาจารย์และผมรวมอยู่ด้วย
แต่ก่อนหน้านั้น มีการกำหนดยุทธศาสตร์กันก่อนโดยจัดการชุมนุมกันที่บ้านสะพานควายของเรา มีนักวิชาการรุ่นใหญ่ เช่น อาจารย์เสน่ห์ จามริก นักวิชาการรุ่นพี่ผม และผู้นำนักศึกษารวมกันแล้วเกือบ 20 คน เต็มห้องรับแขก ต้องนั่งบนขั้นบันไดเพราะเก้าอี้ไม่พอ
มีการหารือว่าการเรียกร้องเพื่อจะให้ได้รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมานั้นจะต้องทำอย่างไร
ผมจำได้ไม่ลืมคืออาจารย์รุ่นหนุ่มท่านหนึ่งกล่าวว่า ไม่มีทางที่จะได้มาด้วยสันติวิธี มีแต่การต่อสู้อย่างน้อยต้องกดดันด้วยการเดินขบวนบนท้องถนน
หลังการประชุม อาจารย์ชัยอนันต์และคุณสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ก็ไปประชุมที่สิงคโปร์
เรื่องเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ จะไม่เขียนถึง แต่เมื่อเหตุการณ์กำลังตึงเครียดนั้น เราได้รับการติดต่อตัวแทนจากมิตรประเทศมหาอำนาจชาติหนึ่งมาพบที่บ้านสะพานควาย
“พวกนักศึกษาไม่มีทางสู้กับกองทัพได้แน่” ตัวแทนซึ่งเป็นชายสองคนบอกกับอาจารย์ชัยอนันต์ ซึ่งผมนั่งฟังอยู่ด้วย
พวกเขาบอกว่าจะมีการต่อสู้และใช้อาวุธกับนักศึกษา เขาจึงเสนอที่จะให้อาวุธจำนวนมากกับพวกเราไปสู้กับทหาร
“พวกเขาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย เป็นผู้บริสุทธิ์ เราจะไม่ยอมรับอาวุธจากต่างชาติมาสู้กับทหารไทยหรอก”
นี่เป็นคำตอบที่เด็ดขาดของอาจารย์ชัยอนันต์ ผมจำได้ดี และพวกเขาก็ต้องยอมรับ
คิดดูว่า เหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ที่ลุกลามทั่วประเทศจะเกิดอะไรขึ้นหากสู้กันด้วยอาวุธในทุกจังหวัด บ้านมืองจะเกิดความรุนแรงเสียหายขนาดไหน
หลังเหตุการณ์สงบ มีข้อเสนอให้ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ ให้มีคนสัก 60-80 คน แต่เสาะหามาจากคนดีๆ อาชีพต่างๆ จังหวัดละคน แต่ต่อมาก็ออกมาในรูปแบบของสมัชชาแห่งชาติ 2,000 กว่าคน โดยหาคนดีๆ หลากหลายอาชีพมาจากทั่วประเทศ สมัชชาจำนวนดังกล่าวมาประชุมกันเลือกบุคคล 240 คน ที่สนามม้านางเลิ้ง ก็เลยเรียกสภาสนามม้าพวกนักวิชาการเข้าไปเป็นสมาชิกสมัชชาหลายคน อาจารย์ชัยอนันต์อายุ 29 ปีขณะนั้น รัฐธรรมนูญ 2515 ยังใช้บังคับอยู่ สมาชิกสภานิติบัญญัติต่อมีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปี
นักวิชาการ 3 คน ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ คืออาจารย์ชัยอนันต์ สมุทวณิช อาจารย์ปราโมทย์ นาครทรรพ อาจารย์พงศ์เพ็ญ ศกุนตาภัย และมีผู้หญิงคนหนึ่งคือคุณสุมาลี วีระไวทยะ จากบางกอกโพสต์รวมอยู่ด้วย มี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช และ พล.อ.สุรกิจ มัยลาภ และประธาน คืออาจารย์ ดร.ประกอบ หุตะสิงห์
รัฐธรรมนูญปี 2517 ถือว่าเป็นฉบับที่เป็นประชาธิปไตยและก้าวหน้าที่สุดฉบับหนึ่ง คือ นายกรัฐมนตรีต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และรัฐมนตรีไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ห้ามข้าราชการประจำเป็นรัฐมนตรี และสมาชิกรัฐสภา และหมวด 5 แนวนโยบายแห่งรัฐ มาตรา 93 ให้รัฐพึงบำรุงรักษาสิ่งแวดล้อมให้สะอาดและพึงขจัดสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ซึ่งทำลายสุขภาพและอนามัยของประชาชน
เมื่อร่างรัฐธรรมนูญเสร็จ มีคนทาบทามให้อาจารย์ชัยอนันต์เข้าพรรคการเมืองอย่างน้อยสองพรรคใหญ่ แต่เขากลับเข้าไปพัฒนาระบบสภาและร่วมกับคณะ Inter-Parliamentary Union ในฝ่ายไทย
อาจารย์ชัยอนันต์มีความคิดว่าควรมีรัฐมนตรีภาค หมายความว่ารัฐมนตรีที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากภาคนั้นๆ และเคยเสนอ พล.อ.สายหยุด เกิดผล ว่าควรเอาคนมุสลิมมาเป็นรัฐมนตรีภาคด้วย
การอยู่ใกล้อำนาจรัฐของอาจารย์คือเข้าไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งมี 3 กลุ่มประกอบด้วยกลุ่มเทคโนแครต กลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ และกลุ่มนักรัฐศาสตร์
ที่ปรึกษานายกฯ ว่าไปแล้วก็มีอำนาจมาก แต่ไม่ปรากฏว่าใช้อำนาจเกินควรเลย แต่เป็นยุคที่นายกรัฐมนตรีเอาเรื่องการแก้ไขปัญหาความยากจนในชนบทเป็นวาระแห่งชาติ และอาจารย์ชัยอนันต์ก็วางแผนแนวทางจัดระบบบริหารการพัฒนาชนบท
อาจารย์เคยเขียนไว้ว่า
“การเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีนั้นไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้น เพราะเมื่อถึงคราวที่จะต้องเลือกระหว่างความเจริญทางเศรษฐกิจกับความมั่นคงแห่งชาติแล้ว ผู้นำกลับเลือกอย่างแรก ผมจึงหมดศรัทธาในตัวผู้นำทางการเมือง และบุคคลชั้นนำที่ดูแลการพัฒนาเศรษฐกิจของไทยบางคน ผมเริ่มเรียนรู้ว่าในการเมืองนั้นมีการใช้นักวิชาการให้ทำการศึกษาพอเป็นพิธี ส่วนการตัดสินใจไม่ได้อยู่กับหลักการข้อเท็จจริงและเหตุผล”
เมื่อเกิดกบฏยังเติร์ก หัวหน้าคณะปฏิวัติ พล.อ.สัณห์ จิตรปฏิมา โทรศัพท์มาตามด้วยตัวเองว่าต้องการตัวมาก ขอให้เข้ามาที่กองบัญชาการด้วย
“ในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น ผมอยู่กับพ่อ เรานั่งรถออกมา ถ้าเลี้ยวขวาออกจากซอยก็จะมุ่งหน้าไป บก.คณะปฏิวัติ แต่พ่อผมเลี้ยวซ้ายและบอกว่าไปบ้านท่านอาจารย์สัญญากันดีกว่า เรามีความสนิทสนมคุ้นเคยกับท่านอาจารย์สัญญาตั้งแต่ยังเล็ก เพราะอาจารย์สัญญาเป็นเพื่อนนักเรียนอังกฤษกับคุณลุงหลวงพรหมทัตตเวทีญาติของเรา แม่เราไปบ้านอาจารย์บ่อยๆ ผมหมุนโทรศัพท์จากบ้านท่านอาจารย์สัญญาถึง พล.อ.สัณห์ ซึ่งเวลานั้นกำลังคิดว่าจะสู้ตาย ผมขอให้ท่านอาจารย์สัญญาพูดกับ พล.อ.สัณห์ขอให้เห็นแก่ความสงบของบ้านเมือง”
ต่อจากนั้น อาจารย์ก็กลายเป็นผู้ถวายฎีการ่วมกับนักวิชาการ 99 คน ในปี 2531 อันเป็นเหตุให้พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ตัดสินใจวางมือทางการเมืองไปและเคลื่อนไหวเรียกร้องให้นายทักษิณ ชินวัตร ลาออก
ในประเด็นการริเริ่มสร้างกลไกทางการเมืองให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมือง อาจารย์ก็เสนอ “สภากระจก” เป็นสภาคู่ขนานของประชาชน ซึ่งมีเสียงตอบรับ เช่น อาจารย์สุริยะใส กตะศิลา อาจารย์ประจำวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต เสนอว่าน่าจะมีการระดมคนที่ไม่ได้รับการคัดเลือกเป็น สปช.มาตั้งเป็นสภากระจกรับฟังความเห็นจากสาธารณะทำงานคู่ขนานและส่งเสริม สปช.ถือเป็นแนวคิดที่ดี อย่างน้อยคนเหล่านี้ก็มารวมตัวกันมาผลักดันเรื่องการปฏิรูปประเทศ และเห็นว่านายกรัฐมนตรีควรพิจารณาตามกลุ่มเรียกร้องให้มีการจัดตั้งสภาประชาชน (สภากระจก) เพื่อสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นแบบไม่เป็นทางการ หลีกเลี่ยงการสร้างแรงกดดันที่มากเกินไป
และในการพิจารณา (ร่าง) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ความจำเป็นของการมีสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ตอนที่ 2) “แผน 8 ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในมาตรา 87 ทวิ เข้าสู่ระบบการให้มีการปรึกษากับภาคประชาชนเป็นลักษณะสร้างระบบให้ถาวรต่อเนื่อง รายละเอียดจะปรากฏในกฎหมายที่จะบัญญัติต่อไปในสภานี้ เป็นสภาคล้ายสภากระจก มีการตรวจสอบแผนที่ฝ่ายราชการหรือนักวิชาการจัดทำขึ้นมา
อาจารย์ชัยอนันต์ สมุทวณิช เสียชีวิต ทิ้งผลงานทั้งทางการเมืองที่เคยมีส่วนในการเปลี่ยนแปลงและริเริ่มสิ่งใหม่ๆ และผลงานทางวิชาการไว้มากมาย สิ่งเหล่านี้ย่อมเป็นอมตะ.