การพบกันของสองผู้นำชาติที่เป็นอดีตปฏิปักษ์กันที่สิงคโปร์เมื่อเร็วๆ นี้ เป็นเรื่อง “เหลือเชื่อ” หลายซับหลายซ้อน
นอกจากเรื่องเหลือเชื่อที่สุด ซึ่งไม่มีใครคาดฝันว่าประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาจะมาจับมือกับผู้นำเกาหลีเหนือแล้ว ยังซ้อนไว้ด้วยเรื่องเหลือเชื่อแต่น่ายินดีมากมาย
ความเป็นไปได้ที่ว่าสองประเทศนี้จะมานั่งคุยกันดีๆ บนโต๊ะเจรจานั้น เดิมจะเรียกว่ามีต่ำเต็มที ชนิดที่เรียกว่าไปพูดเรื่องนี้ เอาแค่สัก 5 ปีก่อนหน้านี้ ใครๆ ก็คงมองว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน
ยิ่งคนที่จับมือฝ่ายสหรัฐฯ คือ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งก่อนหน้านี้ ไม่มีใครเชื่อว่ามหาเศรษฐีพิธีกรโทรทัศน์จะก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกได้
เอาเป็นว่าตอนที่นายทรัมป์ประกาศจะลงชิงชัยในตำแหน่งประธานาธิบดี บรรดาสื่อต่างๆ มองว่าเป็น “ข่าวตลก” ที่จัดอยู่ในหมวดหมู่ของ “ข่าวบันเทิง” ไม่ใช่ “ข่าวการเมือง” ด้วยซ้ำ
เมื่อชนะการเลือกตั้งแบบ “ช็อกโลก” ไปแล้ว ทั่วโลกก็คงมองว่านายทรัมป์ คงจะมาดำรงตำแหน่งแบบเป็น “ประธานาธิบดีตัวตลก” รอวันถูกถอดถอน นักวิเคราะห์ทางการเมืองหลายคนเชื่อว่าเขาไม่น่าจะอยู่ครบเทอมด้วยซ้ำ
ไม่มีใครคิดว่า “ตัวตลก” ทางการเมือง จะกลายเป็น “มหาบุรุษสันติภาพ” ผู้ที่มีบทบาทในการสร้างความเป็นไปได้ในการยุติสงครามในคาบสมุทรเกาหลีที่ยืดเยื้อยาวนานมากว่า 60 ปีลงสำเร็จ
กลายเป็น “ตัวเต็ง” ในการคว้ารางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ร่วมกันกับนายคิม จองอึน และนายมุน แจอิน
ส่วนตัวนายคิม จองอึน เองนั้น ถ้าใครจะบอกว่า วันหนึ่งเขาจะเดินออกจากประเทศเกาหลีเหนืออันลึกลับ มาเดินเล่นชมราตรีในสิงคโปร์ ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เชื่อได้ยากอีกเช่นกัน
ข่าวคราวเล่าลือถึงความโหดร้ายของนายคิม จองอึน ก่อนหน้านี้เป็นเรื่องที่น่ากลัวยิ่งนัก เช่นการจัดการกับบรรดา “หอกข้างแคร่” ในทางการเมือง ทั้งที่บางคนเป็นญาติสนิทด้วยวิธีอันทารุณโหดร้าย
มีการ “โชว์พาวเวอร์” เพื่อไม่ให้บรรดาทหารเสนาบดีทั้งหลายกระด้างกระเดื่อง ด้วยการสั่งประหารชีวิตบิ๊กทหารอย่างไม่ไว้หน้า ด้วยความผิดเล็กน้อยแค่ว่าแอบหาวหรือหลับในระหว่างการชุมนุมพลหรือฟังเขากล่าวสุนทรพจน์
การกระชับอำนาจอย่างเข้มงวดนี้เองทำให้ไม่มีใครกล้าลองของกับเขา ที่อาจจะมีจุดอ่อนคือความที่ขึ้นสู่อำนาจโดยที่มีอายุยังน้อย
กับท่าทีแข็งกร้าวกับกลุ่มประเทศในคาบสมุทรเกาหลี มีการซ้อมยิงขีปนาวุธข้ามประเทศไปตกเฉี่ยวไปเฉี่ยวมาทั้งกับเกาหลีใต้และญี่ปุ่น จนภูมิภาคดังกล่าวเกิดความตึงเครียด ญี่ปุ่นต้องเปิดสัญญาณเตือนภัยพร้อมไว้เสมอหากเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธ ส่วนเกาหลีใต้ก็เข้าสู่สภาพพร้อมรบตลอด
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ท่ามกลางบรรยากาศดังกล่าว ไม่มีใครกล้าคาดหวังเลยว่า สถานการณ์ความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลีจะคลี่คลายลง อย่าว่าแต่ไปไกลถึงขั้น “ยุติสงคราม” เลย
ในเรื่องความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกาเอง การขึ้นมาครองอำนาจของนายคิม ในช่วงประธานาธิบดีโอบามา ก็มีเหตุสำคัญอันกระทบกระเทือนความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศนี้อย่างรุนแรง เมื่อทางการเกาหลีเหนือ จับกุมและลงโทษเด็กหนุ่มนักท่องเที่ยวชาวสหรัฐฯ อย่างโหดร้าย
“ออตโต วอร์มเบียร์” (Otto Warmbier) คือชื่อของหนุ่มนักศึกษาเคราะห์ร้ายชาวเวอร์จิเนียวัย 22 ปี ที่ซื้อทัวร์แหวกแนวไปเที่ยวเกาหลีเหนือ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เขาได้ขโมยแผ่นภาพโฆษณาชวนเชื่อของเกาหลีเหนือที่มีไว้สำหรับปลุกใจพนักงานโรงแรมไว้หมายเอากลับไปเป็นที่ระลึก การกระทำดังกล่าวถือว่าเข้าข่ายเป็นการลบหลู่ดูหมิ่นผู้นำเกาหลีเหนือ และถูกพิพากษาให้ลงโทษใช้แรงงานอย่างหนัก 15 ปี
ไม่ว่าทางสหรัฐฯ จะพยายามทุกวิถีทางที่จะนำนายวอร์มเบียร์กลับบ้าน แต่ก็ไม่บรรลุผลสำเร็จ นับตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีโอบามา จนถึงประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ในที่สุดวอร์มเบียร์ ก็ได้ “กลับบ้าน” จริงๆ ในสภาพเป็นผัก หลังจากรับโทษอยู่ในเกาหลีเหนือเป็นเวลา 18 เดือน และไปเสียชีวิตในแผ่นดินแม่ โดยไม่รู้สึกตัวไม่รู้เรื่องรู้ราว ท่ามกลางความโศกเศร้าของคนในครอบครัว
โศกนาฏกรรมของวอร์มเบียร์ ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือและสหรัฐอเมริกาเลวร้ายลงไปอีก และก็เป็นนายทรัมป์นั่นเอง ที่ออกมาประณามการกระทำของทางการเกาหลีเหนืออย่างรุนแรง ว่าเป็นไปโดยไร้ซึ่งมนุษยธรรม ป่าเถื่อน และไม่มีหลักนิติธรรม
นายวอร์มเบียร์เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2560 หรือขาดไปอีก 7 วัน จะครบหนึ่งปี ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์จับมือครั้งประวัติศาสตร์ที่เซ็นโตซา สิงคโปร์เมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมานี้
ข้อตกลงสำคัญๆ ที่ลงนามกันระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศ ได้แก่การฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างกัน การลดอาวุธนิวเคลียร์ที่จะนำไปสู่สภาวะการปลอดนิวเคลียร์ในที่สุด รวมถึงการสานต่อปฏิญญาปันมุนจอม ที่เป็นเหมือนการประกาศการสิ้นสุดของสงครามเกาหลี และเป็นการเริ่มต้นของความเป็นไปได้ในการรวมชาติ ที่นายคิม จอง อึน และนายมุน แจอิน ได้ลงนามร่วมกันไปเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
ตลอดจนความตกลงในการคืนศพหรืออัฐิของทหารอเมริกันผู้เสียชีวิตในเกาหลีเหนือกลับสู่แผ่นดินแม่ กลับสู่ครอบครัว
สันติภาพที่เกิดขึ้นจากการพบปะกันระหว่างสองผู้นำ จะนำความสงบสุขมาสู่คาบสมุทรเกาหลี และยุติสงครามที่ถือว่าเป็นพื้นที่ขัดแย้งคุกรุ่นที่สุดที่ยังหลงเหลืออยู่นับแต่ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง สงครามเย็น และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ในตอนหนึ่งของการแถลงข่าว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวแสดงความระลึกถึงความตายของเด็กหนุ่ม ออตโต วอร์มเบียร์ว่า
“การพบปะกันในครั้งนี้ จะไม่อาจเกิดขึ้นได้ หากปราศจากเหตุของวอร์มเบียร์ ความตายของเขาจะไม่เป็นเรื่องสูญเปล่าอย่างแน่นอน”
หากการประชุมครั้งประวัติศาสตร์ที่สิงคโปร์นำมาสู่สันติภาพอันแท้จริงในคาบสมุทรเกาหลีได้เมื่อไร นอกจากผู้นำทั้ง 3 แล้ว ชื่อของเด็กหนุ่มผู้น่าสงสารจากเวอร์จิเนียร์ ก็จะเป็นอีกหนึ่งชื่อได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ ในฐานะของผู้พลีชีพเพื่อสันติภาพ แม้จะปราศจากความยินยอมของเจ้าตัวก็ตามที.