ในตอนนี้ คงไม่มีกระแสข่าวเรื่องใดถูกพูดถึงกับทั่วบ้านทั่วเมือง ไปมากกว่าข่าว “คุณป้าทุบรถ” อีกแล้ว
จากการที่คุณบุญศรี แสงหยกตระการ เจ้าของคฤหาสน์หรู ในหมู่บ้านเสรีวิลล่า ย่านสวนหลวง เขตประเวศ นั้นอดรนทนไม่ได้ กับการที่มีรถยนต์ที่มาซื้อของในตลาดนัดที่อยู่รายล้อมบ้านของเธอ มาจอดขวางประตูหลายต่อหลายครั้ง
จนกระทั่งถึงกับฟิวส์ขาด หยิบขวานออกมาจามทุบรถปิ๊กอัพที่จอดขวางหน้าบ้านของเธอ และเป็นคลิปไวรัลไปทั่วโลกโซเชียล
เมื่อข้อมูลข่าวสาร ที่มาว่าทำไมคุณป้าถึงฟิวส์ขาดทุบรถปรากฏออกมา ก็ปรากฏว่ากระแสต่างๆ ในโลกโซเชียลนั้นมาเข้าข้างเจ้าของบ้านอย่างล้นหลาม
เนื่องจากคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนที่มีบ้านอยู่ริมถนน หรือในตรอกในซอยที่ดันโชคร้ายไปอยู่ใกล้ตลาดนัดหรือร้านค้า ต่างก็เคยมีประสบการณ์ของการถูกพวกคนมักง่ายมาจอดรถขวางหน้าบ้านกันแล้วทุกคน ซึ่งรวมถึงพวกจอดรถซ้อนคัน จอดรถขวางทางเข้าออก แล้วยังเข้าเกียร์ใส่เบรกมือเอาไว้อีก
นอกจากนี้ ยังปรากฏด้วยว่า คุณป้าเจ้าของบ้าน ได้พยายามทำทุกวิธีทางแล้วที่จะต่อสู้เรียกร้องในช่องทางที่ถูกต้อง และในทางกฎหมายจนหมดแล้ว ถึงกับนำคดีไปฟ้องศาลปกครองจนมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวระหว่างการพิจารณาคดี
แต่ก็ปรากฏว่า ทางฝ่ายหน่วยงานของรัฐ คือเขตประเวศ ก็หาได้นำพาไม่ ทั้งๆ ที่รู้ก็รู้อยู่ ว่าตลาดนัดที่ก่อความเดือดร้อนเสียหายให้คุณป้า และบ้านเรือนแถวนั้น เป็นตลาดนัดเถื่อนที่ไม่ได้ขออนุญาต แต่ก็ยังสามารถเปิดขายเป็นตลาดอยู่ได้หลายปี โดยความรู้เห็นของทางฝ่ายราชการเจ้าหน้าที่
เรียกว่าเป็นการละเลยต่อหน้าที่อันร้ายแรง
การกระทำของคุณป้า ถือว่าเป็นการกระทำความผิดตามกฎหมาย ฐานทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งในทางคดีในส่วนของคุณป้า ก็คงจะต้องว่ากล่าวกันไป
แต่ผลสะเทือนที่เกิดขึ้นต่อทางฝ่ายรัฐนั้นใหญ่หลวงยิ่งกว่า
นั่นเพราะการกระทำความผิดของคุณป้านั้น เกิดจากการทำงานที่ปล่อยปละละเลย ไม่ใช้บังคับกฎหมายให้เป็นกฎหมาย
เมื่อกฎหมายไม่เป็นกฎหมาย ประชาชนพึ่งพากฎหมายไม่ได้ ก็นำไปสู่การละเมิดกฎหมายเพื่อชำระสะสางแก้ปัญหากันเอง
อันนี้แหละครับที่ถือว่าเป็นอันตรายและถือเป็นเรื่องน่ากลัว
เพราะการที่เรามีรัฐ มีกฎหมายนั้นก็เป็นเพราะว่า เราไม่ต้องการให้ราษฎรชำระความหรือแก้ไขความขัดแย้งกันเอง ที่อาจจะส่งผลให้เกิดเป็นการใช้ความรุนแรง และทำให้สังคมและรัฐประเทศนั้นตกอยู่ในสภาพอนาธิปไตย หรือที่เรียกว่า “บ้านเมืองไม่มีขื่อมีแป”
รัฐจึงต้องออกกฎหมายขึ้นมา เพื่อเป็นกติกาการอยู่ร่วมกันของสังคม และรับที่จะบังคับตามกฎหมาย ยุติข้อโต้แย้ง หรือตัดสินกรณีพิพาทให้แทนที่ประชาชนจะจัดการกันเองตามแต่กำลังความสามารถ ซึ่งก็จะเป็นการไม่ยุติธรรม
ดังนั้น หน้าที่ของรัฐในการรักษาและบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย จึงถือว่าเป็นหน้าที่หลักที่สำคัญที่สุด และเป็นหน้าที่พื้นฐานของรัฐ
เมื่อรัฐละเลยหรือย่อหย่อนต่อการทำหน้าที่นี้ ก็จะเกิดสภาพอนาธิปไตย หรือความวุ่นวายไร้ขื่อแป
รัฐที่บังคับใช้กฎหมายไม่ได้ จึงถือเป็น “รัฐล้มเหลว”
ดังนั้น กรณีเรื่องคุณป้าทุบรถ จึงเป็นฝีหนองแรกที่แตกออกมา หรือยอดภูเขาน้ำแข็งของความล้มเหลวของรัฐ และกลไกของระบอบราชการไทย
ที่กดดันจนกระทั่งคนที่ทำตามกฎหมายอย่างดีแล้วทุกอย่าง ถูกกระทบสิทธิของตัวเอง ไม่สามารถพึ่งพากฎหมายและรัฐได้ ต้องละเมิดกฎหมาย ใช้กำลังในการแก้ไขปัญหา
ผลการทุบรถเพียงหนึ่งคันของคุณป้า จึงส่งผลเป็นไฟลามทุ่มที่อาจจะเกิดพฤติกรรมเลียนแบบได้ เพราะคนเห็นแล้วว่า ถ้าต่อสู้ดีๆ ตามระเบียบและขั้นตอนของกฎหมาย ก็คงไม่มีใครเหลียวแลจัดการ
แต่ต้องทำอะไรสักอย่าง ที่แม้จะเป็นการฝ่าฝืนหรือละเมิดกฎหมาย เพื่อให้เรื่องของตัวเองนั้น “แดง” ขึ้นมาเป็นกระแสสังคม แล้วทางฝ่ายรัฐหรือทางราชการจึงค่อยตาลีตาเหลือกขึ้นมาดูแลจัดการให้
ตั้งแต่ทางเขต กทม.ยันรัฐบาล จึงต้องลุกขึ้นมาเพื่อแก้ไขเยียวยาปัญหานี้
ดังนั้นเรื่องนี้ ผู้ที่จะต้องรับผิดชอบ ทั้งในทางวินัยและทางกฎหมาย ก็เห็นจะเป็นทางเขตประเวศผู้เกี่ยวข้องนั่นแหละ
ว่าปล่อยปละละเลยให้เกิดตลาดผิดกฎหมาย ก่อความเดือดร้อนรำคาญและสร้างความรบกวนให้แก่ชาวบ้านอยู่ได้อย่างไรตั้งหลายปี โดยที่รู้เห็นเรื่องนี้อยู่นาน
สิ่งที่ทาง กทม.และรัฐบาลผู้เกี่ยวข้อง จะต้องสาวลึกให้ได้คำตอบลงไปอีกชั้นหนึ่ง ก็คือว่า เรื่องนี้มีผลประโยชน์อันมิชอบเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่
เพราะการเปิด “ตลาด” ขึ้นมาไม่ว่าจะตลาดถาวรหรือตลาดนัด ก็ล้วนแต่จะต้องมีผลประโยชน์มหาศาลเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งนั้น
เรื่องนี้จึงจะส่งผลสะเทือนต่อไปเป็นทอดๆ และจะทำให้บรรดาตลาดนัดทั้งเถื่อนทั้งถูกกฎหมาย ที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้ คือใครมีลานโล่ง มีที่ดินกว้างขวางสักไร่สองไร่ ก็เปิดตลาดนัดกันได้แล้ว บางทีก็เปิดกันกลางหมู่บ้านชุมชน โดยไม่สนใจว่ารถราจะติดขัด คนจะเดือดร้อนเพราะกลิ่น เสียง สัตว์รบกวน หรือรถยนต์ที่จอดกันมั่วซั่วไม่เป็นที่หรือไม่
ในตอนที่กระแสแรงแบบนี้ ทางภาครัฐ คงจะต้องลุกขึ้นมากวดขันตรวจตราเอาจริงเอาจัง เพื่อไม่ให้เรื่องมาแดงขึ้นอีกในพื้นที่ของตัวเอง จะซวยกันเปล่าๆ
ซึ่งรวมไปถึงการกระทำอื่นๆ ที่เป็นเรื่องของการละเมิดกฎหมายและรบกวนผู้คนในสังคม แต่รัฐไม่เคยดูแลอีกหลายต่อหลายเรื่อง เช่น รถมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งบนฟุตปาท ร้านค้าแผงลอยที่ขายกันแน่นจนผู้คนไม่มีพื้นที่จะเดินบนถนน
ลองคิดดูว่า ถ้า “ทุบรถโมเดล” ถูกใช้เพื่อแก้ปัญหาที่ชาวบ้านชาวเมืองเหลืออด เพราะการปล่อยปละละเลยของเจ้าหน้าที่รัฐ แล้วลุกขึ้นมาปฏิเสธกฎหมายชำระปัญหากันเอง แล้วเกิดการกระทบกระทั่งกันของคนสองฝ่ายกันไปๆ มาๆ
เช่น คนรำคาญรถจอดขวางหน้าบ้านเลยทุบรถ เจ้าของรถเลยลากปืนมายิงเจ้าของบ้าน แบบนี้จะเกิดสภาพวุ่นวายเละเทะแค่ไหน
หน่วยงานที่รับผิดชอบคงต้องเร่งที่จะจัดการ เพื่อไม่ให้เกิดสภาวะรัฐล้มเหลวในระดับเล็กๆ ที่อาจจะลามไปเป็นปัญหาสังคมได้ เช่นนี้ขึ้นมาอีก