ต้องยอมรับว่า ความ “ผิดหวัง” อย่างหนึ่งของประชาชนต่อการปรับ ครม.คณะ “ตู่ 5” ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นั้น คือการที่ “พี่ใหญ่” อย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งเป็นเหมือน “ตำบลกระสุนตก” ประจำตัวรัฐบาลและ คสช.และเป็นรัฐมนตรีที่ประชาชนตั้งข้อกังขาในหลายๆ เรื่องนั้น ยังคงนั่งอยู่ได้อย่างดีบนเก้าอี้เดิมอย่างเหนียวแน่น
จึงเหมือนเป็นเรื่อง “ตลกร้าย” ที่ในการถ่ายภาพร่วมกันของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ตามธรรมเนียม ท่านจะต้องเข้าไปร่วมในเฟรมด้วย
และบังเอิญที่มีจังหวะท่านยกมือขึ้นป้องบังแดด ก็เผยให้เห็น “นาฬิกา” และ “แหวนเพชร” สะท้อนแสงล่อตาสื่อและประชาชน เป็นเป้าใหญ่เป้าใหม่ ให้สังคมช่วยกันยิงคำถาม ตกลงมาที่ท่าน
จึงเป็นเหมือนเรื่องชะตากรรมกลั่นแกล้ง ที่ว่า เมื่อไม่ยอมปรับเอา “เป้ากระสุน” ออกไป ก็ได้เจอ “กระสุน” ตกลงไปรับรองกันตั้งแต่แรกประเดิมเข้าสู่ตำแหน่งของ ครม. ชุดใหม่กันเลยทีเดียว
“นาฬิกา” ที่เหมือนเป็นปัญหาที่สุดนั้น เป็นยี่ห้อ Richard Mille ที่นักกีฬา นางแบบ และผู้มีชื่อเสียงระดับมหาเศรษฐีทั่วโลกนิยมใส่กัน เป็นของสำหรับคนชั้นสูงที่มีเงินเหลือกินเหลือใช้โดยแท้ เพราะสนนราคาของนาฬิกายี่ห้อนี้ ว่ากันเป็นหลักล้านบาท
อย่างรุ่นที่เป็นปัญหาอยู่นี้ ก็เชื่อว่ามีราคาประมาณ 3 - 4 ล้านบาท
นั่นจึงตกเป็นเป้าแห่งความสงสัยของประชาชนทันที เพราะอย่างที่ท่านแก้ตัวไปว่าเป็นนาฬิกา “ของเก่า” แต่เมื่อไปเอาบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินที่ท่านยื่นไว้ก่อนเข้ารับตำแหน่งต่อ ป.ป.ช.มากางดู ก็ไม่ปรากฏการสำแดงรายการนาฬิกานี้ ในฐานะของทรัพย์สินอื่น
ดังนั้น ถ้าไม่ได้อยู่ในรายการทรัพย์สินที่มีอยู่ก่อนการเข้ารับตำแหน่ง ก็แปลว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างการดำรงตำแหน่ง ซึ่งก็เป็นปัญหาให้ท่านต้องตอบต่อไปอีกว่า ได้มาอย่างไร ในฐานที่คำนวณได้จาก “รายได้” ที่ได้แจ้งไว้ต่อ ป.ป.ช. เช่นกันว่า รวมเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ เงินเดือน เงินประจำตำแหน่งต่าง ๆ แล้ว ท่านมีรายได้อยู่เฉลี่ยปีละประมาณแปดแสนบาทปลายๆ เท่านั้น
จะบอกว่า เป็น “ของเก่า” ลืมแจ้ง ป.ป.ช.ก็อาจจะได้ แต่การไม่แจ้งรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันมีนัยสำคัญระดับหลักล้าน ก็ถือเป็นความผิดตามกฎหมาย ที่ต้องขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย
กล่าวกันตามตรง หากนี่เป็นนักการเมืองทั่วไป การปรากฏขึ้นของ “นาฬิกา” เรือนนี้นั้น จะเป็นปัญหาทางกฎหมายที่จะต้องเคลียร์กันยุ่งกันยาวแน่นอน ซึ่ง “ท่านผู้นั้น” ก็แบะท่าว่า ถ้าเกิดมี “ปัญหา” อะไรกับนาฬิกาหรูเรือนนี้ จะชี้แจงกับ ป.ป.ช. เอง
เมื่อนั้น เราก็จะได้รู้ว่า ป.ป.ช.ที่เก่งหนักเก่งหนากับ “นักการเมือง” ในระบบเลือกตั้ง จะมี “น้ำยา” แค่ไหนในการตรวจสอบผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองประเภทพิเศษนี้
อย่างที่ได้กล่าวไป ว่าตัวท่านนั้น ถือเป็น “รัฐมนตรี” ผู้ที่ถูกประชาชนตั้งคำถามมาเสมอ เป็นเหมือน “หลุมดำ” หรือ “เป้ากระสุนตก” ประจำคณะรัฐมนตรี
กระแสเรื่องของ “นาฬิกาหรู” นี้จึงถูกขยายความ และพูดถึงกันไปทั่วในโลกโซเชี่ยล
ผู้คนต่างเกาะกระแสล้อเลียนด้วยการถ่ายรูปโชว์นาฬิกาที่ตัวเองใส่ บางคนก็แอคท่าเอามือบังแดดให้คล้ายๆ กับรูปต้นฉบับด้วย ก็สร้างความบันเทิงเฮฮากันไป
โดยที่กระแสล้อเลียนนี้ไม่ใช่เพียงระบาดอยู่ในหมู่ผู้ไม่พอใจรัฐบาล ไม่ชอบทหาร หรือปฏิเสธการรัฐประหารทั้งนั้น แต่รวมถึงประชาชนทุกฝั่งทุกฝ่ายแบบไม่เลือกสีด้วย
เรียกว่า นอกจาก “น้องเกี่ยวก้อย” แล้ว ก็มี “ท่านผู้นี้” นั่นแหละ ที่สร้างความ “สมานฉันท์” ให้แก่ประชาชนทั่วไปอย่างไม่เลือกข้าง
กระแสการ “ตอบโต้” จากประชาชนที่แสดงออกผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์นี้ส่วนหนึ่งเป็นการระบายความอึดอัดคับข้องใจ ออกมาในรูปแบบของอารมณ์ขัน เพราะรู้ดีว่า ในที่สุดแล้ว เรื่องนี้ก็จะเหมือนกับเรื่องอื่นๆ ที่เคยผ่านมา อย่างเรื่องการไปทริปเปิบคาเวียร์หรู “ประชุม” ที่ฮาวาย ที่สุดท้ายก็ไม่สามารถทำอะไรได้ และปล่อยให้เรื่องเงียบหายไปแบบไม่ต้องชี้แจงต่อประชาชน
และ “พี่ใหญ่” ก็ยัง “เหนียวแน่น” เกาะติดกับ “ลุงตู่” ต่อไปเรื่อยๆ อย่างเห็นได้ชัดซึ่งความเกรงอกเกรงใจ ไม่กล้าแม้แต่ปรับหรือลดตำแหน่งใน ครม.ทั้งๆ ที่ก็น่าจะรู้ว่าเสียงสะท้อนกลับจากประชาชนเกี่ยวกับท่านผู้นี้นั้นเป็นอย่างไร ซึ่งประชาชนคนที่สนับสนุน “ลุงตู่” เอง ก็เริ่มจะมีข้อสงสัยแล้วว่า ท่านนายกฯ จะอุ้ม “ท่านผู้นั้น” ไปอีกจนถึงเมื่อไร หรือถ้าจะกลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้งหลัง เราจะได้ “ท่านผู้มากบารมี” ผู้นี้กลับมาเป็น “ของแถม” ด้วยหรือไม่
ถ้าคิดปลอบใจว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของฝ่ายที่รังชังไม่ชอบรัฐบาลอยู่แล้ว ทำอะไรพวกมันก็ด่า แล้วปล่อยเรื่องทิ้งไว้ หมายจะให้หายไปกับสายลมและความทรงจำ ก็อาจจะถือเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด
เพราะเรื่องนี้ถือเป็นการแสดงสภาวะผู้นำ และความเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง สำหรับนายกฯ ประยุทธ์ ผู้ที่ประชาชนอาจจะให้ความไว้วางใจให้ “กลับมา” อีกครั้งหลังจากมีการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญใหม่
ต้องย้ำว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อ่อนไหวต่อความรู้สึกของประชาชนทุกฝ่าย ไม่ว่าจะสนับสนุนหรือไม่สนับสนุน “ลุงตู่” ทั้งในการกุมบังเหียนรัฐบาลต่อไปในปัจจุบัน และในอนาคตที่เหมือนจะเคยชัดเจนว่า เราจะได้เห็นท่านกลับมาอีกครั้งในฐานะนายกฯ คนนอกหลังการเลือกตั้งครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญใหม่
อย่าลืมว่า นอกจาก “จุดแข็ง” ในเรื่องของความซื่อสัตย์สุจริต และความตั้งใจจริงของตัวผู้นำรัฐบาลเองแล้ว รัฐบาลนี้ไม่มีเรื่องไหนที่สอบผ่านอีกเลย โดยเฉพาะในเรื่องที่เป็นหน้าที่โดยตรงของรัฐบาล คือการบริหารและการแก้ปัญหาของประเทศ ส่วนเรื่องการ “ปฏิรูป” นั้นก็บอกกันตรงๆ ว่า ผลงานที่ผ่านมา ทำให้เลิกหวังกันไปหมดแล้ว
“จุดอ่อน” ในเรื่องของความจริงใจ และความซื่อสัตย์สุจริต ก็กำลังถูกท้าทายด้วยโครงการและนโยบายของรัฐหลายอย่างที่ไม่โปร่งใส เช่นเรื่องของโรงไฟฟ้าถ่านหิน และซ้ำเติมเข้าให้ด้วยประเด็นเล็กๆ น้อยๆ ในระดับตัวบุคคล จากเรื่อง “นาฬิกาวิเศษ” เข้าไปอีก
ความรู้สึกแบบ “หนีเสือปะจระเข้” หรือความสิ้นหวังที่ว่า ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ไม่ไว้วางใจ ไม่ว่าใครก็มีผลประโยชน์ทับซ้อนกันทั้งนั้น อาจจะทำให้ประชาชนปลงใจ ล้มคว่ำกระดานกลับไปสู่ระบบ “การเมืองโดยนักการเมืองอาชีพ” ก็ได้
เพราะไม่ว่าจะอย่างไร นักการเมืองเหล่านั้น ก็บริหารประเทศได้ดีกว่าอย่างเป็นรูปธรรม ที่สำคัญ คือถ้าไม่พอใจ ไม่เชื่อไม่ไว้วางใจ ยังด่าได้ ประท้วงได้โดยไม่ถูกจับเข้าค่ายทหาร รวมถึงยังถูกตรวจสอบโดยองค์กรอิสระหรือพาตัวมาขึ้นศาลได้บ้าง
ไม่เหมือนพวก “นักการเมืองอำนาจพิเศษ” ที่ไว้ใจไม่ได้พอๆ กัน หนำซ้ำทำงานก็ไม่เอาไหน แต่กลับมีอำนาจบาตรใหญ่เหนือประชาชน โดยตรวจสอบอะไรไม่ได้เสียด้วย.