หากจะถามว่า นายกรัฐมนตรีไทยคนใด ที่มีภาพลักษณ์ซื่อสัตย์เป็นที่ไว้วางใจประชาชนที่สุดในรอบ 20 ปีที่ผ่านมาแล้ว
หลายคนคงมีชื่อ “นายชวน หลีกภัย” ขึ้นมาเป็นอันดับแรกๆ
เชื่อว่าคอการเมืองรุ่นอายุ 40 ขึ้นไป คงไม่มีใครนึกเถียงเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต ของคุณชวน
ค่าที่แกเป็นคนสมมถะ มีฐานะอย่างไรก็อย่างนั้น แม้ว่าจะเคยเป็นนายกรัฐมนตรีถึง 2 สมัย แต่แกก็ยังอยู่บ้านเช่าซอยหมอเหล็งของเพื่อนสนิท
ขึ้นชื่อว่าไม่เคยใช้เงินซื้อเสียง หรือใช้ทุนทรัพย์ในการเล่นการเมือง จนเป็นที่พูดกันอย่างล้อเลียนว่า “กาแฟแก้วเดียวก็ไม่เลี้ยงใคร” (เพื่อให้ได้คะแนนเสียง)
ด้วยเหตุนี้ คุณชวนจึงได้ฉายาว่าเป็น “นายสะอาด” หรือ “Mr.Clean” แห่งวงการเมืองไทย
เอาเป็นว่า ไม่มีใครกังขากับ “ความสะอาด” ของคุณชวนเลยก็แล้วกัน
แต่ถ้าถามว่า ในยุคที่คุณชวนเป็นรัฐบาลถึงสองสมัยนั้น รัฐบาลของคุณชวนนั้น เป็นรัฐบาลที่ได้ชื่อว่าสะอาดที่สุด ปราศจากการคอร์รัปชันโกงกินหรือไม่
ข่าวร้ายก็คือ มันไม่เป็นเช่นนั้น
การเป็นนายกรัฐมนตรีของคุณชวนในสมัยแรก ช่วงปี 2535 - 2538 นั้นถือว่า “จบไม่สวย” ด้วยการต้องยุบสภาหนีการลงมติ จากข้อครหาในเรื่องการแจกที่ดิน สปก. 4-01 ให้แก่เครือญาติของนักการเมือง และบรรดาเศรษฐีผู้มีอันจะกิน ทั้งๆ ที่ตามเจตนารมณ์แล้ว สปก.นั้นเป็นการจัดสรรที่ดินเพื่อเกษตรกรผู้ยากจนที่จะได้มีที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง
ส่วนการเป็นนายกรัฐมนตรีของคุณชวนในสมัยที่สอง ช่วงปี 2540-2543 ก็มีคดีเรื่องทุจริตยาที่ฉาวโฉ่ ส่งผลให้มีคนระดับอดีตรัฐมนตรีต้องคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ติดคุกจริงประเดิมเรือนจำกันเป็นครั้งแรก รวมถึงข้อครหาของการทุจริตในคดีเรื่องผักสวนครัวรั้วกินได้ ที่เขาเอาไปล้อกันว่าเป็น “ผักสวนครัวฮั้วกันได้” เป็นที่เฮฮากันในยุคนั้น
อย่างไรก็ตาม เรื่องทุจริตหรือมีกลิ่นเหล่านั้นก็ไม่กระเซ็นเปื้อนตัวคุณชวนเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นเรื่องของ “คนใกล้เคียง” หรือคนในรัฐบาลของคุณชวนต่างหากที่เข้าไปพัวพันเกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ การบริหารประเทศของคุณชวน ก็มีลักษณะเป็นการบริหารงานไปตามการชี้นำของข้าราชการประจำ เป็นการทำงานแบบรูทีน ทำอะไรจะต้องรอรับรายงานตามระเบียบราชการหรือตามแบบพิธี คนถูกผู้คนล้อกันไปว่า ท่านจะยังไม่ตอบปัญหาอะไรเพราะ “ผมยังไม่ได้รับรายงาน” และบริหารประเทศด้วยแนวทางแบบ “ปลัดประเทศ”
แต่กระนั้น ก็ต้องยอมรับว่า คุณชวนก็ยังถือว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีคนรักอยู่มาก และยังคงมีภาพลักษณ์ของคนซื่อมือสะอาด สมถะเรียบง่าย เป็นแบบอย่างที่ดีของนักการเมืองในรุ่นต่อ ๆ มาอยู่อย่างมิเสื่อมคลาย
ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงมาฟื้นฝอยเอาเรื่องของคุณชวนมาเล่าน่ะหรือครับ ก็เพราะเกิดความรู้สึกว่า ท่านนายกฯ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจจะกำลังดำเนินรอยตามรัฐบาลของคุณชวนอยู่อย่างไม่รู้ตัว
สิ่งที่ “ลุงตู่” เหมือน “คุณชวน” อย่างที่ใครๆ ก็เถียงไม่ได้ คือ ภาพลักษณ์ของผู้มีความซื่อสัตย์สุจริตตั้งใจทำงานอย่างจริงจังเพื่อแก้ไขปัญหาบ้านเมือง
เสน่ห์ของท่านออกจะแตกต่างจากนายกฯ ชวนที่เป็นคนสุภาพเรียบร้อยแต่เชือดนิ่มๆ จนมีฉายาว่ามีดโกนอาบน้ำผึ้ง แต่สำหรับนายกฯ ตู่นั้นออกจะเป็น “ปังตอ” ที่ฟันฉับๆ อย่างไม่เกรงใจหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน พูดจริง พูดเร็ว พูดตรง ทำงานรวดเร็ว
ความที่พูดตรงไปตรงมา ขวานผ่าซาก บางทีเหมือนใช้อารมณ์ อาจจะไม่ถูกใจหลายฝ่าย แต่ก็ต้องยอมรับว่าในเรื่องนี้เป็น “เสน่ห์” ของนายกฯ ประยุทธ์ ที่ประชาชนทั่วไปชื่นชอบ จนเทความนิยมให้
อย่างที่แทบมองไม่ออกเลยว่า ต่อให้มีการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญใหม่นี้จริง จะมีใครที่จะมี “บารมี” และ “ความน่าเชื่อถือ” เพียงพอที่จะมาต่อกรกับท่านได้จนเชื่อว่าคอการเมืองส่วนใหญ่มองข้ามชอตกันไปหมดแล้ว ว่านายกฯ คนใหม่คนแรกจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ ก็คงเป็น “ท่านเดิม” นี้แหละ
แต่สิ่งที่ท่านจะต้องระวัง ก็คือสิ่งที่ท่านชวนนั้น “พลาด” มาแล้ว และเป็นเหมือนรอยตำหนิในทางการเมืองของท่าน
คือการที่ตัวท่านเอง “สะอาด” แต่คนรอบข้างนั้น “มีกลิ่น” มีมลทินให้ติฉินในเรื่องของความซื่อสัตย์สุจริต
เช่นเดียวกับรัฐบาลชวนทั้งสองสมัย ที่แม้ว่าตัวผู้นำรัฐบาลคือท่านนายกฯ จะได้ชื่อว่ามือสะอาดเพียงไร แต่ถ้าถามถึงความไว้วางใจในความสุจริตของรัฐบาลนี้ในภาพรวมแล้ว
ก็ต้องบอกกันอย่างไม่เกรงใจว่า ประชาชนก็ยังไม่ค่อยไว้วางใจนัก
ก็หลายเรื่องของรัฐบาลนี้ ก็มีข้อครหา ทั้งในเรื่องของการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ซึ่งเหมือนกับว่าจะ “ตามใจท่าน” ผู้ใหญ่บางคนในรัฐบาลเสียจนมากไป เยอะไป และบ่อยไป
ขนาดว่าไปราชการต่างประเทศ คนยังสงสัยว่าจะไปชอปปิ้งอาวุธกลับมาหรือเปล่า ภาพลักษณ์ของท่านในสายตาประชาชนนี่เป็นไปขนาดนั้นเลยเชียว
หรืออย่างเรื่องล่าสุดที่ปูดออกมา คือการยกเอาที่ดินป่าชุมชน ให้บริษัทเครื่องดื่มชูกำลังไปสร้างโรงงาน
เครือธุรกิจที่เพิ่งจะมีภาพลักษณ์ของการอยู่เหนือกฎหมาย จากการที่ทายาทคนหนึ่งของตระกูลกระทำความผิดขับรถชนตำรวจตาย แต่สามารถหลบพ้นจากเงื้อมือของกฎหมายกบิลเมืองไปได้แบบลอยนวล
แม้เรื่องจะแดงออกมา โดยอาจจะนำไปสู่การยกเลิกเพิกถอน หรือเอาผิดฝ่ายราชการที่เกี่ยวข้อง แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นมลทินมัวหมองสำหรับรัฐบาลในภาพรวม
ที่พูดมานี่ ยกตัวอย่างกันเฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็มีอีกเพียบ
แน่นอนละว่า ทั้งหมดทั้งปวงที่ประชาชนตั้งข้อกังขาเคลือบแคลงต่อรัฐบาลนั้น ชัดเจนว่าตัวท่านนายกฯ ไม่เกี่ยวข้องด้วยเลย และก็ไม่มีใครคิดว่าท่านปล่อยปละละเลยหรือรู้เห็นด้วยเป็นอันขาด
แต่การที่ท่านนั้นดู “สะอาด” และ “ตั้งใจทำงาน” อยู่คนเดียว แต่คนรอบข้างของท่านนั้นมีกลิ่นไม่ค่อยดีบ้าง หรือถูกประชาชนตั้งรังเกียจบ้าง หรือไม่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ แก้ปัญหาไม่ได้ ปล่อยให้การบริหารประเทศเคลื่อนไหลไปตามการชี้นำของฝ่ายราชการประจำนั้น ก็คล้ายกับบรรยากาศในช่วงท้ายๆ ของสมัยการบริหารของท่านนายกฯ ชวน
หากสิ่งที่อาจจะแตกต่างออกไป คือ ยุคสมัยของท่านนายกฯ ชวนนั้นผ่านมากว่า 20 ปีแล้ว ในยุคสมัยที่นาฬิกาแห่งความเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันของโลกยังหมุนไม่เร็วเท่านี้ เสียงของประชาชนไม่สามารถสื่อสารกันได้รวดเร็วง่ายดายเช่นทุกวันนี้
ใน พ.ศ.นี้ที่ทุกอย่างเหมือนจะต้องเร็วไปหมด และประชาชนเชื่อมโยงกันโดยตรงผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก กระแสทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นและก่อตัวขึ้นเป็นแรงสั่นสะเทือนต่อสังคมและการเมืองได้ทุกเมื่อ
การที่ตัวนายกรัฐมนตรี จะแบกรับเอาความซื่อสัตย์สุจริต และความมุ่งมั่นตั้งใจทำงานอยู่คนเดียว ท่ามกลางความไม่น่าไว้ใจและความขาดไร้ประสิทธิภาพของคนที่อยู่รอบข้างท่าน ในยุคสมัยที่เสียงของประชาชนเชื่อมต่อประสานกันได้ดังที่สุดนั้น
“บารมี” ของท่านคนเดียวจะสามารถค้ำยันทุกสิ่งทุกอย่างของรัฐบาลไว้ได้ไหวหรือ.