xs
xsm
sm
md
lg

“ชาวลิเบอรัล” ที่ทำให้ชาวบ้านหน่าย “ประชาธิปไตย”

เผยแพร่:   โดย: พระบาท นามเมือง

บทความในตอนนี้ตั้งใจจะกล่าวถึงสาเหตุอีกประการที่ทำให้ผู้คนเบื่อหน่ายหรือปฏิเสธประชาธิปไตย โดยจะให้เป็นบทความในชุด “กระแสไม่เอาประชาธิปไตย” มาจากไหน? ตอนที่สาม ซึ่งก็บังเอิญเป็นเรื่องเดียวกันกับข่าวฮือฮาเรื่องที่ “เนติวิทย์” หรือ นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล วัยรุ่นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองชื่อดัง ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานสภานิสิตแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพอดี

เนติวิทย์นั้นมีชื่อเสียงบทบาทมานานตั้งแต่เรียนชั้นมัธยมปลายแล้ว ในการขับเคลื่อนประเด็นต่างๆ ในทางสังคมและการเมืองแบบ “หัวก้าวหน้า” ที่ฮือฮาจากการวิพากษ์วิจารณ์ประเพณีการกราบถวายบังคมอนุสาวรีย์สองรัชกาล ในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนเข้าเป็นนิสิตจุฬาฯ เมื่อครั้งที่เขาแรกเข้ามาเป็นนิสิตในรั้วสถาบันแห่งนี้

ทำให้ผู้คนตั้งคำถามถึงความเหมาะสม เมื่อเขาได้รับเลือกให้เป็นประธานสภานิสิตแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งถึงจะไม่ใช่ตำแหน่งในลักษณะของ “หัวหน้านิสิต” แต่ก็ถือเป็นตำแหน่งสำคัญในกิจกรรมของนิสิตจุฬาฯ

“เนติวิทย์” ถือเป็นส่วนหนึ่งของคนหัวก้าวหน้า บางทีก็เรียกตัวเองว่าเป็นพวก “ลิเบอรัล” (Liberal) ซึ่งตรงข้ามกับ “คอนเซอร์เวทีฟ” (Conservative)

หัวก้าวหน้าในที่นี้ หมายถึงฝ่ายที่คิดตั้งคำถาม และแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่พวกเขาเห็นว่าเป็น “ขนบ” อันล้าหลังของฝั่งอนุรักษนิยม

และชาว “ลิเบอรัล” เหล่านี้ก็ถือเหมาเอาว่าตัวเองเป็นฝ่าย “ประชาธิปไตย” ด้วย ดังนั้น ความคิดและการแสดงออกของชาวลิเบอรัลเหล่านี้จึงมาเป็นแพกเกจ คือเอา “ประชาธิปไตย” แบบมีการเลือกตั้งและนักการเมืองเป็นสรณะ ปฏิเสธอำนาจพิเศษจากรัฐประหาร รวมถึงการปฏิเสธแนวคิดเชิงขนบธรรมเนียมประเพณี มุ่งถอดรื้อความคิดความเชื่อที่เป็นกระแสหรือแกนหลักในสังคม ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าเกิดจากการปลูกฝังจากวาทกรรมของพวกอนุรักษนิยมที่คร่ำครึ

ชาว “ลิเบอรัล” เหล่านี้ จึงวิพากษ์วิจารณ์แบบไม่เกรงใจกับทุกสถาบันหลัก ชาติ ศาสนา จนถึงพระมหากษัตริย์ และยังรวมถึงขนบธรรมเนียมประเพณีที่นับถือกันในสังคมไทยด้วย

จริงอยู่ว่าเราไม่อาจเหมารวมอย่างชุ่ยๆ ได้ว่า ชาว “ลิเบอรัล” นี้เป็นพวก “เสื้อแดง” หรือเครือข่ายของอำนาจเก่าทั้งหมด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า แนวทางของชาว “ลิเบอรัล” นี้ล้วนไปเข้าทางบรรดาชาวเสื้อแดงกลุ่ม “ก้าวหน้า” ที่ไม่พอใจประชาธิปไตยแบบที่ยังมีการหมอบกราบกันอยู่

บวกกับการที่ฝ่ายลิเบอรัลเรียกร้องหาประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งไม่เอารัฐประหารด้วย ก็สมประโยชน์กับบรรดาฝ่าย “นักการเมือง” ที่ถืออำนาจจากการเลือกตั้งเป็นความชอบธรรม

จึงอาจสรุปจัดวางคร่าวๆ พอได้ว่าจุดยืนของฝ่ายลิเบอรัลนี้ ถึงไม่ใช่แดง แต่ก็ไม่ขัดแย้งกัน

การที่ชาวลิเบอรัลเอาคำว่า “ประชาธิปไตย” และสิทธิเสรีภาพมาผูกเข้ากับตัวนี้เอง ทำให้ผู้คนที่รู้สึกว่ากำลังถูกละเมิดรบกวนหรือถูกหมิ่นหยามจากฝ่ายลิเบอรัลนี้ถอยห่างหรือตั้งข้อรังเกียจกับ “ประชาธิปไตย” ที่เป็นส่วนควบอยู่ในยี่ห้อลิเบอรัลที่พะหัวกันไว้นั้น ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของความเสื่อมลงของกระแสประชาธิปไตยในประเทศเรา ในช่วงของความขัดแย้งระยะ 5-10 ปีที่ผ่านมา

สาเหตุเพราะคนไทยเป็นส่วนมากนั้น เติบโตขึ้นมาในวัฒนธรรมแบบไทยๆ ที่ให้ความเคารพต่อชาติ นับถือศาสนา และเทิดทูนบูชาพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันหลักเสมือนหัวใจของคนไทย

ประกอบกับได้รับการปลูกฝังมาในวัฒนธรรมแบบไทยๆ ที่มีวัฒนธรรมการเคารพนับถือผู้อาวุโส นอบน้อมเกรงใจต่อสถานะและความแตกต่างของผู้คน ไม่โต้แย้งหักล้างกันอย่างรุนแรงในเรื่องความคิด ความเชื่อ และความศรัทธาของผู้อื่นซึ่งวัฒนธรรมแห่งความเคารพต่อกันนี้ ทำให้ก่อนหน้านี้เราสามารถอยู่ด้วยกันมาได้อย่างสงบไม่กระทบกระทั่งกัน จนกระทั่งเกิดปรากฏการณ์ “ชาวลิเบอรัล” ขึ้นนี่แหละ

หากใครเคยผ่านตาในโซเชียลเน็ตเวิร์ก จะเห็นว่าชาวลิเบอรัลนี้เขาจะ “แตะ” วิพากษ์วิจารณ์หรือถอดรื้อกันให้ครบทุก “หิ้ง” หรือสถาบันทั้งสามที่กล่าวไป

เช่นเรื่อง “ชาติ” ก็มีแนวคิดว่า ชาตินั้นไม่มีจริง เป็นการปลูกฝังวาทกรรมเพื่อหลอกไพร่ไปตายให้บรรดามูลนายบ้าง หรือมองว่าเรื่องของความรักชาติเป็นเรื่องเดียวกับการ “คลั่งชาติ” ที่รุนแรงล้าหลังบ้าง หรือปฏิเสธประวัติศาสตร์ของชาติด้วยวิธีคิดแบบแยกส่วนบ้าง (เช่น ในสมัยอยุธยาไม่มีประเทศไทย เป็นแต่อาณาจักรอยุธยา) ดังนั้น “ชาติไทย” จึงเป็นเพียงวาทกรรมหลอกลวงที่งมงาย ชาติไทยไม่มีจริง คนไทยไม่มีจริง มีแต่พลเมืองโลก (ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย และพูดภาษาไทย)

ส่วนในประเด็นทางศาสนานั้นหลายคนคงได้เห็นความห่ามเกรียนของเพจหรือผู้คนที่ประกาศตัวเองว่าเป็นพวก “ลิเบอรัล” ไม่นับถือศาสนา ปฏิเสธพระเจ้าและคำสอนของทุกศาสนา ซึ่งลำพังการไม่นับถือศาสนานั้นเป็นเรื่องส่วนบุคคล เพียงแต่ “ผู้ไม่นับถือศาสนา” เหล่านี้นอกจากไม่นับถือแล้วยังดันทะลึ่งดูหมิ่น ล้อเลียน เหยียดหยาม ศาสดาและศาสนาต่างๆ แบบขาดความเคารพให้เกียรติอีกด้วย (แต่น่าสังเกตว่าพวกเขาจะกล้าเล่นกล้าล้อหรือเหยียดหยามกับทุกความเชื่อทุกศาสนา ยกเว้นศาสนาอิสลาม)

สำหรับเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นก็คงไม่ต้องขยายความ เพราะคงผ่านตาผ่านหูกันบ้างแล้วว่า บรรดาชาวลิเบอรัลหัวก้าวหน้าบางส่วนนั้นมีความคิดกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไร และแสดงออกถึง
ความรู้สึกเช่นนั้นออกมาหมิ่นเหม่กันอย่างไร

ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ไม่ได้แปลว่าแนวคิดแบบ “อนุรักษนิยม” หรือ “จารีตประเพณี” หรือแม้แต่ความคิดเรื่องชาติ ศาสนา วัฒนธรรมประเพณีจะเป็นเรื่องที่วิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้

เพียงแต่รูปแบบและท่าทีของการวิพากษ์วิจารณ์นั้น ก็ควรต้องเป็นไปด้วยความเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกันด้วย

เพราะสิ่งที่คุณกำลังวิจารณ์นั้น คือสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่เขานับถือหรือระลึกปฏิบัติกันมาช้านาน จนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตหรือจิตวิญญาณไปแล้ว

การจะมาบอกว่า สิ่งที่ผู้คนนับถือหรือเชื่อมั่นในลักษณะนั้นอาจจะ “ไม่ถูกต้อง” หรือ “มีปัญหา” ก็ควรที่จะใช้วิธีนำเสนอเหตุผล แนวคิด ข้ออ้าง ข้อเถียง ที่มั่นคงเป็นเหตุเป็นผล มีหลักฐาน แต่ก็ต้องสื่อด้วยท่าทีที่เป็นมิตร เพราะการโน้มนำให้คนเปลี่ยนความคิดความเชื่อนั้น ต้องยอมรับเสียก่อนว่าสิ่งที่เขาเชื่อหรือนับถือเคารพนั้นเป็นสิ่งที่ดีอยู่ น่าเลื่อมใส เพียงแต่มีข้อวิพากษ์วิจารณ์บางประการเท่านั้น

ไม่ใช่ใช้วิธีแบบที่ชาวลิเบอรัลส่วนใหญ่ทำอยู่ คือการเดินเข้าไปตีแสกหน้าเพื่อหวังจะหักล้างกันว่าสิ่งที่ผู้คนเขานับถือกันนั้นเป็นเรื่องที่ผิด โง่ งมงาย

หรือใช้วิธีการล้อเลียนลบหลู่กันแบบไม่ให้เกียรติ ทำให้สิ่งที่ผู้อื่นยึดถือปฏิบัตินั้นเป็นเรื่องตลกไร้สาระ

วิธีการที่ชาวลิเบอรัลทำมานาน นอกจากจะไม่ประสบความสำเร็จในการชักนำให้คนคิดต่างหรือเปิดมุมมองให้เห็นในมุมอื่นแล้ว ยังสร้างศัตรูคู่ตรงข้ามขึ้นมามากมาย

เมื่อ “ลิเบอรัล” เอาคำว่า “ประชาธิปไตย” ไปผูกกับตัว คนที่เขาไม่โอเคกับประเด็นหรือท่าทีของ “ชาวลิเบอรัล” เหล่านี้ ก็เหมือนกับผลักพวกเขาไปอยู่กันคนละขั้วตรงข้ามกับประชาธิปไตยเสียอย่างนั้น

จึงอาจกล่าวได้ว่า หนึ่งในสาเหตุของความเสื่อมลงของประชาธิปไตย คือการใช้สิทธิเสรีภาพแบบ “หัวใหม่” ไประราน “ความเชื่อเก่า” หรือ “คุณค่าทางวัฒนธรรม” อย่างท้าทายและขาดความเคารพ ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าผลพวงหนึ่งของ “ประชาธิปไตย” คือการมีสิทธิเสรีภาพไปย่ำยีเหยียดหยามความเชื่อของคนอื่น

แล้วเราจะต้องการประชาธิปไตยไปทำไม

หรือพูดกันให้ง่ายกว่านั้น คือ คนปฏิเสธประชาธิปไตย เพราะหมั่นไส้พวก “ลิเบอรัล” นั่นเอง.
กำลังโหลดความคิดเห็น