xs
xsm
sm
md
lg

คดีคนรวยขับรถชนคนตาย แผลร้ายในกระบวนการใช้บังคับกฎหมายของไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: พระบาท นามเมือง

ร้อนขึ้นมาทันที เมื่อสื่อนอก คือสำนักข่าวเอพีเจาะข่าว คดี “อภิสิทธิชน” ชาวไทยที่เหมือนจะอยู่เหนือ “กระบวนยุติธรรม”

นั่นคือคดีที่ทายาทเครื่องดื่มชูกำลังชื่อดังระดับโลก ที่เคยก่อคดีขับรถชนตำรวจเสียชีวิตในปี 2555 จนป่านนี้ผ่านไปร่วม 5 ปี แต่คดีก็ไม่มีความคืบหน้าอะไร

แถมยังมีรายงานว่าเจ้าตัวยังไปใช้ชีวิตอยู่อย่างหรูหราในต่างประเทศ แบบที่มหาเศรษฐีระดับโลกทั่วไปใช้ชีวิตกัน คือบินรอบโลกด้วยเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว นั่งเก้าอี้ VIP ดูการแข่งรถฟอร์มูลาวัน ใช้ชีวิตไปมาเข้านอกออกประเทศได้เยี่ยงอิสรชนทั่วไป ไม่เหมือนคนที่มีคดีอุกฉกรรจ์ติดตัว

เนื่องจากในทางคดีนั้น เขายังไม่เคยถูกฟ้องคดีต่อศาล เนื่องจากคดีนั้นอยู่ในชั้นการพิจารณาสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องในชั้นของพนักงานอัยการ

ก็เป็นที่กังขาครหาทั้งต่อสื่อนอกที่ว่า และชาวไทยตามดำๆ คนธรรมดาทั่วไปว่า คดีนี้เป็นอีกเครื่องพิสูจน์ของคำพูดที่ว่า คุกตารางเมืองไทยมีไว้สำหรับคนจน

ร้อนถึงทางอัยการต้องออกมาโต้กันให้วุ่น ว่าไม่ได้ทิ้งหรือถ่วงคดีนี้ แต่เป็นไปตามกระบวนการซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้เคยมีคำสั่งฟ้องคดีแล้ว แต่ปรากฏว่าผู้ต้องหาร้องขอความเป็นธรรมบ้าง ขอเลื่อนการเข้ามาให้ปากคำหรือมามอบตัวโดยอ้างว่ามีภารกิจอยู่ต่างประเทศบ้าง เอาเป็นว่าเลื่อนแล้วเลื่อนอีกจนกระทั่งยืดเยื้อกันมา 5 ปีนี่แหละ

รายละเอียดนั้นค่อนข้างยาว ขอให้ลองไปอ่านจากข่าวที่เกี่ยวข้องเอาเอง

เหตุผลในทางกฎหมายนั้นก็คงอธิบายได้ ตามที่ฝ่ายอัยการท่านออกมาแถลงข่าว แต่สำหรับเหตุผลในเชิงความรู้สึกของผู้คนนั้นจะ “เข้าใจได้หรือเปล่า” เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

โดยเฉพาะในกรณีที่ขอเลื่อนคดี ขอเลื่อนเข้ามามอบตัว รอบแล้วรอบเล่า ด้วยเหตุผลว่า “อยู่ต่างประเทศ” นี้ เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นหรือไม่ และทางอัยการท่านจะ “ใจดี” เช่นนี้กับผู้ต้องหาทุกคดีหรือเปล่า ว่าจะสามารถขอเลื่อนแล้วเลื่อนอีกได้หรือไม่

เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่สะเทือนขวัญ สั่นต่อความรู้สึกของคนทั่วไป ในแง่ที่เป็นอีกครั้งที่ทำให้รู้สึกว่า กระบวนการต่างๆ ของกฎหมายในประเทศนี้ไม่สามารถใช้บังคับได้ทั่วถึงกัน

โดยเฉพาะคนร่ำรวยหรือมีอิทธิพลแล้ว กฎหมายก็มักจะ “ใจดี” ด้วยเป็นพิเศษ

ก่อนหน้านี้คดีนี้ก็มีเรื่องอื้อฉาวพอแรงอยู่แล้ว เพราะในขณะที่เกิดเหตุใหม่ๆ นั้น มีความพยายาม “เปลี่ยนตัวคนขับ” ให้มีพ่อบ้านมารับความผิดแทน โดยมีนายตำรวจใหญ่ระดับ สวป.รู้เห็นเป็นใจด้วย แต่โชคดีว่าในขณะนั้นคดีนี้เป็นที่สนใจของประชาชน และนายตำรวจใหญ่ (ซึ่งต้องให้เครดิตไว้จนถึงวันนี้ ว่าได้แก่ท่าน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. (ตำแหน่งในขณะนั้น)) ไม่ยอมให้เล่นกลอย่างน่าเกลียดต่อกระบวนยุติธรรมเช่นนั้นได้ ส่งผลให้มีการเด้ง สวป.ผู้รู้เห็นเป็นใจให้ออกจากราชการไว้ก่อน และมีการนำตัวผู้ต้องหาตัวจริงมาเข้าสู่กระบวนยุติธรรมได้

แต่ถึงขนาดนั้น คดีก็ดำเนินไปอย่างอืดยืดเป็นเรือเกลือ จนผ่านมาร่วม 5 ปี จนกระทั่งสื่อนอกตีปี๊บนั่นแหละ จึงได้รู้ว่าขณะนี้คดีไปถึงไหนแล้ว

ก็ต้องมาช่วยกันกาปฏิทินหรือโน้ตลงสมาร์ทโฟนเอาไว้ไม่ให้ลืมว่า ท่านอัยการสัญญาแล้วว่าทายาทเครื่องดื่มยี่ห้อดังจะต้องเข้ามาพบอัยการเพื่อนำตัวส่งฟ้องศาล ในวันที่ 27 เมษายน ที่จะถึงนี้ หาไม่แล้วจะโดนหมายจับแน่ๆ

หวังว่าเมื่อใกล้ๆ ถึงวัน กระแสสังคมคงจะไม่ลืมคดีนี้เสียก่อน

สังเกตจากกระแสของผู้คน ก็จะพบว่าหนึ่งในประเภทคดีที่สะเทือนถึงความรู้สึกของสังคมเป็นอย่างมาก คือคดีประเภทที่ “คนรวย” ขับรถด้วยความประมาท ชนคนอื่นซึ่งเป็นประชาชนคนธรรมดาผู้ใช้รถใช้ถนนถึงแก่ความตายอย่างน่าสยดสยองมาหลายต่อหลายเรื่อง

และมักจะเป็นรูปการณ์เดียวกันไม่มีผิด คือ “คนรวย” หรือบรรดาทายาทของพวกเขา ขับรถยนต์หรูหราราคาแพง ขับขี่อย่างไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่น

และเป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากความประมาทอย่างร้ายแรง หรือละเมิดกฎหมายอื่นๆ อย่างไม่ยำเกรง หรือไม่ให้ราคาต่อกฎหมายที่มีไว้เพื่อป้องกันอันตรายให้แก่ผู้ใช้รถร่วมถนนคนอื่นๆ

เช่นคดีไฮโซขับรถเบนซ์สปอร์ตที่ใช้ความเร็วสูงเกินสองร้อยพุ่งเข้าชนรถของบัณฑิตหนุ่มสาวหมาดๆ จนเสียชีวิตยกคัน

คดีเด็กสาวนามสกุลดังขับรถทั้งๆ ที่ไม่มีใบขับขี่และเป็นเยาวชน ชนกับรถตู้ที่เต็มไปด้วยผู้คนที่มีชีวิต มีอนาคต บางคนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกจากต่างประเทศ จนเสียชีวิตเป็นข่าวสยองขวัญ

หรือแม้แต่คดีนี้ ซึ่งรูปคดีตอนแรกออกมาว่าเป็นเรื่องเมาแล้วขับ แถมพอขับรถทับไปแล้วก็พยายามจะสะบัดทิ้งด้วยการขับรถส่ายไปมา โดยไม่นำพาว่านั่นคือร่างกายที่เคยมีชีวิต มีเลือดเนื้อ เป็นที่รักของครอบครัวและคนที่เขารัก

พฤติกรรมอุกอาจดังกล่าวเกินกว่าคำว่า “อุบัติเหตุ” ที่แปลว่า “เหตุสุดวิสัย” ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดไปมาก เพราะมันแสดงให้เห็นถึงความไม่แยแสต่อ “ผู้อื่น” ในสังคม ไม่แยแสต่อ “กฎหมาย”

พวกเขาไม่เคยรู้สึกว่าเมาแล้วไม่ควรขับรถหรือไม่ควรขับรถเร็วเกินไป เพราะเขาแน่ใจว่าต่อให้เกิดอุบัติเหตุอะไรก็ตาม รถยนต์ราคาแพงก็จะปกป้องชีวิตของเขาได้ และกระบวนการยุติธรรมหรือกฎหมายก็ไม่อาจเอื้อมมาถึงพวกเขา

ความอุกอาจดังกล่าวนั้น เราทุกคนในสังคม ทุกคนที่ขับรถบนถนน สามารถตกเป็น “เหยื่อ” ของการอยู่เหนือกฎหมายของบรรดาคนรวยหรือผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ได้ทั้งหมดทั้งสิ้น แล้วแต่ว่าใครจะโชคร้ายไปขวางทางตีนผีบรรดาศักดิ์เข้าในตอนนั้นเท่านั้นเอง

และเมื่อยังปรากฏว่า กระบวนยุติธรรมทำท่าจะไม่ทำงาน หรือทำงานอย่างใจดีถ้อยทีถ้อยอาศัย อยากไปเมืองนอกก็ไป อยากเลื่อนคดีกี่ครั้งกี่ปีก็ได้ หรือแม้แต่คดีถึงชั้นศาลแล้ว ตัดสินออกมาก็อาจจะ “ปรานี” ให้รอลงอาญาไม่ต้องติดคุกกันไป

เหตุผลทางกฎหมายนั้นก็มีแน่นอน ว่าทำไมกระบวนการถึงเป็นไปเช่นนี้ ว่าทำไมศาลถึงไม่ต้องให้จำคุกจริง ทุกสิ่งอธิบายได้ตามตัวบทมาตรา แต่มันตอบข้อสงสัยของสังคมได้จริงหรือไม่ ผู้คนในกระบวนยุติธรรมก็คงรู้อยู่แก่ใจ

เช่นนี้วาทกรรมเรื่อง “คุกมีไว้ขังคนจน” จึงยังวนเวียนไปอีกยาวนาน เป็นข้อเท็จจริงของประเทศนี้ สะท้อนแสดงปัญหาความเหลื่อมล้ำของผู้คนที่นอกจากจะเหลื่อมล้ำกันด้วยโอกาสและรายได้แล้ว “ความยุติธรรม” ของคนรวยกับคนส่วนใหญ่ในสังคมก็ยังไม่เท่ากันอีก.
กำลังโหลดความคิดเห็น