ถ้าพูดถึงไต้หวัน คุณจะนึกถึงอะไรกัน?
เจย์โชว.. เอฟโฟร์.. เติ้งลี่จวิน.. เจียงไคเช็ก.. ชานมไข่มุก.. ไก่ทอดฮอตสตาร์.. จักรยาน.. ?????????
ผมนึกออกได้ประมาณนี้แฮะ และยิ่งพอพูดถึงประเทศไต้หวัน หรือ สาธารณรัฐจีน แล้ว ก็ทำให้ยิ่งคิดไม่ออกใหญ่เลยว่า จะไปทำไมวะ? มันก็จีนปะวะ? มีอะไรน่าสนใจเหรอ? ... นี่คือต้นเหตุของการเดินทางครั้งนี้ครับ
อย่างที่บอกว่า ผมแทบจะไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับไต้หวันเลย เมื่อเทียบกับหลายๆ ชาติ ที่ไปมา ด้วยความคิดที่ว่ามันไม่น่าจะมีอะไรน่าสนใจ ทั้งจากภาพถ่ายโปรโมตการท่องเที่ยวหลายๆ เว็บไซต์เอย ก็ดูไม่ได้รู้สึกชวนให้อยากไปเท่าไหร่ แต่ทำไม? คนไทยถึงชอบไปกันจังนะ? นอกจากไปช็อปปิ้งซื้อรองเท้าราคาถูกแล้วเขาไปไหนกัน? และเขาว่าอาหารที่นี่อร่อยจริงหรือ? เป็นสมมุติฐานที่อยู่ในหัวจนต้องเริ่มค้นหาวิธีการเดินทาง (ซึ่งแน่นอนว่าผมคงไม่เดิน หรือนั่งเรือไป) จนได้ตั๋วเครื่องบินจากสายการบินไทย ไป - กลับในราคาโปรโมชั่นพิเศษ ๘,๐๒๐ บาท ก็เลยเป็นโชคดีที่ได้โอกาสในการใช้บริการสายการบินแห่งชาติสักครั้งในชีวิต
ก่อนอื่นต้องแจ้งให้ท่านผู้อ่านทราบว่า ในทริปไต้หวันนี้ ผมจะไม่ลงรายละเอียดวิธีการเดินทาง บางสถานที่มากนัก เนื่องจากหลายๆ เว็บไซต์ได้มีการนำเสนอไปกันหมดแล้ว และการเดินทางครั้งนี้ ผมแทบไม่ได้เอาสมองไปด้วยเท่าไหร่นัก ในงวดนี้จึงเขียนเฉพาะสิ่งที่อยากเล่าเท่านั้น ก็เลยไม่ได้ระบุเป็นวันแบบที่เคยเขียนมาหลายครั้ง ตรงนี้ต้องขออภัยท่านผู้อ่านที่เคยชินกับแบบเก่าไว้ล่วงหน้าด้วยครับ ส่วนเรื่องความเห็นส่วนตัวนั้น ก็ยังคงใส่ตามสไตล์เหมือนเดิม
ขอบคุณข้อมูลที่ผมใช้วางแผนการเดินทางจากเว็บไซต์ emagtravel.com , earnonabudget.wordpress.com , 1000milesjourney.com และ กลุ่มเฟซบุ๊ก TAIWAN หว่อไหลเลอ!- อย่างเยอะ เที่ยว กิน ช็อป!! รวมทั้งน้องวิว ม.พ.ที่ให้ข้อมูล และแนะนำเส้นทาง สถานที่ท่องเที่ยวมาโดยตลอด
****
ผมนั่งเครื่องบินจากท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ช่วงเย็นๆ ของวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ไปถึงยังท่าอากาศยานนานาชาติเถาหยวน (Taoyuan) ราวๆ สี่ทุ่มกว่าๆ มาดึกขนาดนี้ ทำอย่างไรล่ะ ... ก็ใช้สนามบินเป็นที่นอนมันเนี่ยล่ะ ทราบมาว่าชั้นบนของที่พักผู้โดยสารขาออก มีโซนที่นั่งบริเวณหน้าร้านกาแฟสตาร์บัค ซึ่งเป็นโซฟายาวให้นักท่องเที่ยวสามารถไปนอนพักเอาแรงก่อนออกเดินทางต่อได้ ผมก็อาศัยตรงนั้นล่ะครับ งีบสักหน่อย เอาจริงๆ ก็นอนไม่หลับหรอกครับ ตกกลางคืนแอร์เย็นจนหนาวสั่นสะท้านไปทั้งตัวเลยทีเดียว นอนขดเป็นกุ้งลวกเพราะกลัวปลายเท้าจะไปโดนหัวของสาวหมวยที่มานอนต่อท้าย คือ เก้าอี้แถวนั้นถูกจับจองไปด้วยนักท่องเที่ยวกันหมดทุกตัวเลยครับ
จนตีสี่กว่าจึงตัดสินใจลุกไปเดินเล่นล้างหน้าแปรงฟัน แล้วก็เดินลงไปที่ท่ารถโดยสาร เพื่อขึ้นรถบัส Kuo-Kuang Motor Transportation สาย ๑๘๖๐ ไปลงที่ เมืองไทจง (Taichung city) โชคดีอีกต่อที่รถรอบแรกมีตั้งแต่ตีห้าครึ่ง สบายเลยไม่ต้องรอนานนัก ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินเถาหยวน ถึงสถานีรถไฟไทจง ประมาณ ๒ ชั่วโมงได้ คนส่วนใหญ่เขาจะไปลงกันที่สถานีรถไฟความเร็วสูงไทจง เพื่อนั่งรถต่อไปยังทะเลสาบได้สะดวกกว่า แต่ด้วยความที่ผมจองโรงแรมไว้ในเมืองนี้ ก็เลยต้องลงเพื่อเอากระเป๋าไปฝากก่อน แล้วจึงเดินต่อไปยังป้ายจอดรถบัสเพื่อไปสู่ทะเลสาบซัน มูน เลค ซึ่งอยู่ไม่ไกลกับที่พักเท่าไหร่
ที่นี่เป็นห้องแถว ๑ คูหา ขายทั้งบัตรโดยสารไปกลับธรรมดา และตั๋วแบบเหมาจ่าย ซึ่งผมเลือกตั๋วแบบเหมาจ่าย Sun moon lake bike pass เป็นกระดาษแข็งขนาดเอสี่สีเหลือง มีรอยประแบ่งตั๋วกระดาษให้ฉีกออก ซึ่งประกอบด้วยตั๋วเดินทางไปไทจง – ทะเลสาบ ,ตั๋วเดินทางกลับทะเลสาบ - เขตผูลี่ (Puli) และเขตผูลี่ - ไทจง อันนี้ไม่ต้องงงครับ ถ้าเราไม่แวะที่นี่ก็นั่งยาวไปเลย พอถึงที่หมายก็เอาตั๋วให้เขาทั้งสองใบ , ตั๋วเช่าจักรยาน , ตั๋วลงเรือข้ามฝาก ,ตั๋วรถเมล์รอบทะเลสาบ และ ตั๋วรถเมล์วิ่งรับส่งระหว่างศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ชุยเช่อ (Shuishe) – เซี่ยงชาน (Xiangshan) ทั้งหมดนี้ในราคา ๖๒๐ ดอลล่าร์ไต้หวัน ก็เกือบ ๗๐๐ บาทได้ พอถึงเวลาเขาก็ให้เราไปขึ้นรถบัสที่มารอ ผู้โดยสารค่อนข้างเยอะพอสมควร ใช้เวลา ๑ ชั่วโมงก็ถึงที่หมาย
สำหรับ “ทะเลสาบสุริยันจันทรา” (Sun moon lake) ที่ฟังดูราวกับเป็นชื่อซีรี่ย์ของจีนอะไรประมาณนั้น เป็น ๑ ในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของไต้หวัน หลายคนบอกว่า เฮ้ย มาไต้หวันต้องมาที่นี่นะ สวยมาก ดีมาก ...ส่วนตัวผมน่ะเหรอ? เอาจริงๆ ดูจากในภาพรีวิวต่างๆ แล้วก็ไม่ได้ทำให้เกิดความรู้สึกอยากจะมาเลยครับ แต่เอาวะ เขาว่าดีก็ต้องมาดู
ที่นี่สมัยก่อนก็ไม่ได้เป็นทะเลสาบใหญ่นัก เดิมทีแถวนี้เป็นที่อาศัยของชนพื้นเมืองชาวเซา (邵) และคนจีนชาวฮั่น จนกระทั่งญี่ปุ่นเข้ามายึดครองแสดงตนเป็นเจ้าอาณานิคมของเกาะแห่งนี้ โดยในยุคของจักรพรรดิไทโชะ (Taisho - tenno) ของญี่ปุ่น ได้มีการก่อตั้งบริษัทพลังงานไต้หวัน (The Taiwan Power Company) ขึ้นในปี ๒๔๖๒ และก็ตัดสินใจสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังงานน้ำขึ้นในบริเวณนี้ โดยใช้พื้นที่รอบๆ ทะเลสาบเป็นที่กักเก็บน้ำ มีการอพยพชาวบ้านไปอยู่ที่อื่น ซึ่งหมู่บ้านเดิมก็ถูกปล่อยให้จมตามการเพิ่มตัวของปริมาณน้ำ จนกลายเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่อย่างที่เห็นจนทุกวันนี้
ทะเลสาบแห่งนี้เริ่มเป็นที่รู้จักในฐานะสถานที่ท่องเที่ยวตั้งแต่ในช่วงภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในยุคที่ไต้หวันเข้าเป็นสมาชิกแห่งสหประชาชาติ ประธานาธิบดีเจียง ไคเช็ก ได้พยายามโปรโมทโดยเชิญบรรดาบุคคลสำคัญที่มาเยือนประเทศให้มาพักผ่อนชมทัศนียภาพอันสวยงาม และรู้จักกับชนเผ่าเซา ซึ่งต่อมาที่นี่ได้ถูกพัฒนาทั้งการสร้างถนน วัด และสิ่งอำนวยความสะดวก จนกลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของ จ.หนานโถว ในปัจจุบัน
จึงไม่แปลกใจเมื่อทันทีที่ลงจากรถโดยสารแล้วจะเห็นอาคารพาณิชย์หลายคูหาในบริเวณจุดจอด “ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวฉุ่ยเชื่อ” (Shueishe Visitor Center) ตรงนื้ถือเป็นต้นสายของการเดินทางภายในทะเลสาบ เมื่อดูจากพาสในมือที่ผมถืออยู่นั้น ก็จะพบว่า กิจกรรมที่สามารถกระทำได้โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่มก็คือ นั่งเรือเล่น ขี่จักรยาน และนั่งรถเมล์รอบทะเลสาบ เลือกอะไรก่อนดีล่ะ ... สำหรับคนที่ไม่ได้พักอยู่ที่นี่ต้องมีการวางแผนกันนิดนึงครับ เพราะหากอยู่จนเย็นเกินไปก็อาจตกรถโดยสารกลับไปยังเมืองอื่นเพราะอาจต้องแย่งชิงกับผู้โดยสารจำนวนมากที่จะกลับพร้อมกับเราก็ได้ ณ จุดนี้ ผมเลือกลงเรือก่อนเลยครับ
ท่าเรือบนทะเลสาบนี้ มี ๓ ท่าเรือใหญ่ นั่นคือ ท่าฉุ่ยเชื่อ ,ท่าฉวนกวง (Xuanguang) และ ท่าอี้ต๋า เซา (Ita Thao) ซึ่งเรือก็จะแล่นแบบวันเวย์เป็นรูปสามเหลี่ยม จากท่าแรก นั่งไปยังท่าที่สอง แล้วนั่งต่อไปท่าที่สาม ก่อนจะกลับมายังท่าแรกเป็นอันเสร็จสิ้นการเดินทางทางน้ำ ซึ่งเรือแต่ละลำก็จะมีตารางเวลาบอกอย่างชัดเจนว่าจะออกเรือกี่โมง และก็โคตรจะตรงเวลาด้วย (คือพลาดมาแล้ว มาช้าไปแค่นาทีเดียว วิ่งขึ้นไม่ทัน T-T) เราต้องเอาพาสไปยื่นเพื่อแลกเป็นตั๋วเรือ จากนั้นเขาจะปั้มหมึกไว้ที่ข้อมือเป็นสัญลักษณ์ เท่าที่ดูเหมือนจะมี ๒ บริษัทหรืออย่างไรไม่แน่ใจนัก ถ้าปั้มแล้วเขาจะบอกเลยว่า คุณต้องขึ้นเรือลำแบบนี้เท่านั้นนะ
เรือที่ใช้วิ่งเป็นเรือเฟอร์รี่ขนาดเล็ก น่าจะจุผู้โดยสารได้ประมาณไม่ถึง ๑๐๐ คนกระมัง มีคนขับ ลูกเรือปกติ ๑ คน และลูกเรือที่เป็นไกด์ด้วยไปในตัวอีก ๑ คน แน่นอนว่าจะต้องให้เสียงบรรยายจีนแบบไม่มีซับไตเติ้ลด้านล่างให้เราเดาเอาว่า เจ๊เขาพูดอะไรวะ ฮ่าๆๆๆ ก็ไม่น่าแปลกใจเพราะผู้โดยสารแทบจะ ๙๐% จีนทั้งนั้น จีนไหนไม่รู้แต่จีนชัวร์ๆ ระหว่างทางแกก็จะเล่าไปเรื่อย เอ้ามองทางซ้าย นั่นคือ..................................................... มองทางขวาสินั่นก็มี ............................. คือผมก็ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรไง
แต่มีอยู่ช่วงนึง เหมือนเขาจะพูดถึง “เกาะล่าหลู่” (拉魯) แล้วชี้ไปเกาะเล็กๆ กลางน้ำ ที่มีต้นไม้โผล่ขึ้นมา เกาะนี้ดูดีๆ จะพบรูปปั้นกวางสีขาวอันเป็นตำนานของพื้นที่ที่บอกว่าชาวชนเผ่าตามล่ากวางแล้วมาเจอทะเลสาบ แต่เรือก็แล่นอยู่ไกลพอสมควรจนเพ่งมองไม่เห็นนัก ต้องกลับมาซูมดูรูปในกล้องเอาเอง (ฮ่าๆๆๆ) ใช้เวลาบนเรือประมาณไม่ถึง ๑๐ นาทีก็มาจอดที่ท่าฉวนกวง จุดแรกของการทัวร์ซึ่งตอนนี้คราวคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมาย คนไทยก็มีมาเป็นกรุ๊ปเลยครับ
ไฮไลต์ของท่านี้ก็คือ “วัดฉวนกวง” (玄光寺) หรือวัดพระถังซำจั๋ง ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ตั้งอยู่บนเขาเราต้องเดินขึ้นไปซึ่งก็มีบันไดเป็นทางอย่างง่ายๆ ให้เดินกันไป วัดนี้เป็นที่นิยมก็เพราะ เป็นจุดชมวิวทะเลสาบที่สวยงามในความสูงไม่มากเท่าไหร่ แถมยังมีหินสลักชื่อของทะเลสาบให้ได้ยืนถ่ายรูปคู่เปรียบเสมือนได้ปักหมุดว่าชั้นมาถึงทะเลสาบแล้วนะ
วัดนี้น่าจะสร้างมานานพอสมควร เท่าที่ดูเป็นวัดเล็กๆ มีวิหารประดิษฐานรูปปั้นพระถังฯ ให้ได้สักการะ ประวัติคร่าวๆ ที่ทราบคือ เดิมเคยเป็นที่ประดิษฐานพระธาตุของพระถังซำจั๋ง ซึ่งได้นำมาจากญี่ปุ่น เมื่อปี ๒๔๙๘ แต่ปัจจุบันพระธาตุไม่ได้อยู่ภายในวัดนี้แล้วนะครับ เขาได้อัญเชิญไปประดิษฐานยังวัดฉวนจั้ง Xuanzang Temple (玄奘寺) วัดที่สร้างขึ้นใหม่ใหญ่และสวยงามกว่า อยู่บนเขาเหนือจากวัดเดิมนี้ขึ้นไปอีก โดยสามารถเดินจากที่นี่ขึ้นไปได้ด้วยนะแต่ค่อนข้างไกลหน่อย ส่วนตัวผมนั้นบุญน้อยนัก ไม่ได้ขึ้นไปสักการะเพราะเพิ่งทราบภายหลังว่า มีของดีแบบนี้ด้วย!!
จากท่าฉวนกวง ผมนั่งเรือต่อมายังท่าอี้ต๋า เซา ที่นี่น่าจะเป็นย่านของกินของเกาะแน่ๆ เพราะมีร้านอาหารทั้งมื้อหนักและทานเล่นอยู่เรียงรายเต็มตลอด ๒ ซอยเล็กๆ ผมก็ไม่พลาดที่จะตระเวนชิมเท่าที่พอจะทานได้ ทั้ง ปีกไก่ยัดไส้ข้าว อันนี้แปลกดีครับ เขาเอาปีกกลางไก่จนถึงปลายปีกเลาะกระดูกออกแล้วยัดข้าวสุกแล้วเอาไปอบ พอจะขายก็ผ่าออก ใส่ต้นหอม น้ำพริก และซอสเค็ม ห่อเป็นกรวยให้ทาน รสชาติก็เค็มๆ เผ็ดๆ
อ่อ แล้วก็กินไอ้นี่ครับ โรตีไส้เนื้อและไข่ เขาเขียนชื่ออังกฤษไว้ว่า Formosan muntjac meat. มันเป็นแป้งที่นวดคลึงให้เป็นแผ่นคล้ายโรตีแล้วเอาไปทอดให้ฟู พักน้ำมัน อีกคนก็ผัดเนื้อกับซอส และก็ทอดไข่ดาว พอสุกก็นำทั้งหมดมาวางไว้บนแผ่นโรตี ห่อใส่ถุงให้ทาน ก็แปลกๆ ดี แป้งหนานุ่มต่างจากโรตีปกติแฮะ เนื้อก็นุ่มใช้ได้ ส่วนรสก็เค็มๆ จืดๆ ... อีกสิ่งที่ทานก็คือหมูปิ้ง เป็นหมูหมักหั่นทรงลูกเต๋าเสียบไม้ นำไปย่างให้สุก ราดซอสแล้วโรยด้วยงา อันนี้ออกเค็มๆ หวานๆ นิดหน่อย
นอกจากนี้ก็ยังมีพวกไข่ต้มชา ของทอด อาหารทะเลแห้ง รวมทั้งทองม้วนฉบับไต้หวัน ที่เขาใช้เครื่องจักรเป็นตัวผลิตให้ได้ชมกันสดๆ เลย แต่คนส่วนใหญ่ นอกจากจะมาหาของกินกันในโซนนี้แล้ว เขายังนิยมไปยังสถานที่ไฮไลท์ของท่า นั่นก็คือกระเช้าลอยฟ้า (Sun moon lake ropeway) อีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวยอดนิยมของที่นี่ มีความยาวเกือบ ๒ กิโลเมตรขึ้นสู่ยอดเขาพาไปยังหมู่บ้านวัฒนธรรมพื้นเมืองฟอร์โมซาน (Formosan Aboriginal Culture Village) สถานที่ที่จำลองเอาหมู่บ้านของชนเผ่าต่างๆ ในไต้หวันมาให้ได้ชม พร้อมโชว์การแสดงจากชาวพื้นเมืองต่างๆ แต่ ... มันไม่ได้มีแค่นี้ครับ ที่นี่ยังมีสวนสนุกขนาดกลางให้นักท่องเที่ยวได้เล่นเครื่องเล่น และยังมีสวนแบบยุโรปให้ได้ถ่ายรูปกันในหุบเขาด้วย ... เออ เป็นการผสมผสานทางวัฒนธรรมที่แปลกดีเหมือนกัน
ส่วนราคาอยู่ที่ ๗๘๐ ดอลลาร์ไต้หวัน ยังไม่รวมค่าขึ้นกระเช้าอีก ๓๐๐ ดอลลาร์ไต้หวันนะครับ ถ้าใครสนใจก็ไปลองกันได้ เห็นว่ามีพาสแบบรวมค่ารถไปกลับไทจงด้วยนะ แต่พาสของผมที่ซื้อมานี่ไม่มีบัตรขึ้นกระเช้าครับ จริงๆ ก็จงใจที่จะไม่ขึ้นด้วย เพราะรู้สึกว่าไม่น่าจะมีอะไร เลือกขี่จักรยานน่าจะสนุกกว่า
ผมกลับมาที่ท่าเรืออี้ต๋า เซา นั่งไปท่าฉุ่ยเชื่อ ท่าแรกที่ลงเรือก็ถือเป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจการนั่งเรือข้ามฟากชมวิวรอบทะเลสาบ แผนต่อมาผมเลือกที่จะใช้บริการรถเมล์นั่งไปยังวัดที่เป็นที่นิยมอีกแห่ง นั่นคือ “วัดเหวินอู่” (文武廟) วัดนี้อยู่บนไหล่เขาทางตอนเหนือของทะเลสาบ สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๑ ภายหลังที่มีการสร้างเขื่อน โดยเป็นการผสานทั้ง ๒ วัดซึ่งเคยอยู่ในบริเวณที่ระดับน้ำท่วม มารวมอยู่ในที่เดียวกัน
วัดนี้มีขนาดใหญ่พอสมควรสำหรับที่นี่ มีซุ้มประตูตั้งเป็นทางเข้า ภายในแบ่งเป็นอาคาร ๓ หลัง ไล่ตามระดับภูเขาขึ้นไป อารมณ์นึงก็รู้สึกเหมือนแวะมาเที่ยววัดบรมราชากาญจนาภิเษก แถวบ้านผมยังไงก็ไม่รู้ ฮ่าๆๆ เพราะสถาปัตยกรรมจีนกระมังจึงทำให้เราคิดไปได้ ด้านหน้าสุดมีรูปปั้นสิงโตสีแดงตัวใหญ่ประมาณ ตึก ๒ ชั้น ยืนคร่อมลูกบอลอยู่ทางซ้าย และ ขวา ส่วนอาคารแต่ละหลังก็มีเทพเจ้าให้สาธุชนได้กราบสักการะขอพรกันไปตามศรัทธา เท่าที่สังเกต มีเทพเจ้ากวนอู อยู่ (รู้จักอยู่องค์เดียวอะ) มีร้านให้เช่าวัตถุมงคล จำหน่ายธูปเทียนและเครื่องบูชา มีการเขียนเป็นภาษาไทยซะด้วย
แต่ที่เด็ดของวัดนี้สำหรับผมอยู่ด้านหลังสุดครับ เป็นสิ่งก่อสร้างที่ดูเหมือนซุ้มประตูขนาดใหญ่มากสูงประมาณตึก ๕ ชั้น น่าจะได้ ด้านล่างมีบันไดทางขึ้นไปสู่ยอดเขาและระเบียงทางเดิน มีการแกะสลักลวดลายทั้งมังกร สัตว์ต่างๆ และประติกรรมเรื่องเล่าตำนานของจีน ลงบนหินสีอมเขียว ผมไม่มั่นใจว่ามันคือหยกหรือเปล่า ส่วนชั้นบนสุดเป็นซุ้มประตู และด้านหลังเป็นลานสนามหญ้าและต้นไม้ สัมผัสได้ราวกับขึ้นมาสู่สรวงสวรรค์อะไรอย่างนั้น อันนี้คิดว่าคนสร้างคงมีจุดประสงค์ให้จินตนาการเป็นแบบนี้แน่ๆ อันนี้สวยจริงครับ
เสร็จจากการไหว้พระ ก็ต้องลงเขาด้วยบริการรถเมล์กลับมาสู่ท่าเรือที่เดิม แล้วมาเริ่มภารกิจสุดท้าย ... นั่นคือ การปั่นจักรยานครับ ที่ไต้หวันเขาฮิตการปั่นกันมาก และที่ทะเลสาบแห่งนี้ก็ถือว่าเป็นอีก ๑ สถานที่ที่มีวิวปั่นที่สวยอันดับต้นๆ ของประเทศเลย นี่เป็นสาเหตุหลักที่ผมเลือกซื้อพาสนี้ครับ อยากจะรู้จริงๆ ว่าทางเขาจะดี และวิวมันจะสวยขนาดไหน ซึ่งบัตรที่ผมมีสามารถนำไปแลกขี่จักรยานฟรีได้ ๒ เจ้า เจ้าแรกคือยี่ห้อไจแอนท์ จักรยานยอดนิยมของบ้านเรา อันนี้ขี่ได้ ๑ ชั่วโมง ส่วนใครที่ไม่ได้เห่อยี่ห้อก็มีอีกเจ้าให้เลือก ชื่อ เมอริด้า (Merida) อันนี้ขี่ได้ ๒ ชั่วโมง ... ท่านผู้อ่านไม่ต้องเดาก็รู้ใช่ไหมครับว่าผมจะเลือกเจ้าไหน ...
ที่หน้าร้านรับแลกจักรยานจะมีเจ้าหน้าที่ รับบัตรของเรา แล้วให้เขียนเอกสารการยืม ก่อนจะนำจักรยานมาให้ลองขับให้ดูพอดีกับเรา มีหมวกกันน๊อคให้ใส่ เมื่อเข้าที่เข้าทางพร้อมที่จะขี่เจ๊เขาก็จะแจ้งเวลาให้ทราบว่าควรนำมาคืนก่อนกี่โมง พร้อมกับแนะนำเส้นทางว่าให้ขี่ไปทางไหนบ้าง ซึ่งเส้นทางที่ผมวางแผนไว้ก็คือขี่ไปที่ “ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเซียงชาน” (Xiangshan Visitor Center) ระยะทางไปกลับราว ๖ – ๗ กิโลเมตรได้
เอาจริงๆ นะ ตอนแรกกะว่าอยากจะปั่นให้รอบทะเลสาบที่มีระยะทางราวๆ ๓๐ กิโลเมตร แต่ด้วยเวลาที่มีจำกัด (กลัวสังขารไม่ไหวก็บอกเขาไปเถอะ) เลยหาข้อมูลว่าจะปั่นไปตรงไหนถึงจะได้ดูวิวดีๆ เผอิญไปเจอข้อมูลในเว็บไซต์ earn on a budget เขาแนะนำว่าเส้นนี้ล่ะ สวยแน่นอน ก็เลยมาลองกันดูครับ
ทางจักรยานของเขาแบ่งเป็นทางสร้างที่ขึ้นใหม่ในน้ำ มีความกว้างประมาณ ๓ เมตรได้, ถนนเฉพาะจักรยานเลียบริมน้ำ และใช้ร่วมกับถนนหลัก ผู้ใช้จักรยานจะได้ขี่บนเส้นทางเหล่านี้สลับกันไปมา ซึ่งเขาวางผังไว้ดีมากเลยครับ มีจุดที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของทะเลสาบและภูเขาในมุมกว้างพร้อมลมเย็นๆ โชยมาปะทะร่างกายให้รู้สึกผ่อนคลายความเหนื่อยล้าไปได้เลยทีเดียว บางจุดก็เป็นที่ห้ามขี่จักรยาน ให้จูงข้ามสะพานไม้ชมวิว พร้อมสามารถนั่งพักดูทะเลสาบบนลานสนามหญ้าแบบชิลๆ ได้
นอกจากนี้ก็ยังมีการสร้างสะพานข้ามช่องแคบทะเลสาบเล็กๆ ที่มีรูปลักษณ์ต่างๆ ให้นักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลิน ไปน่าเบื่อ เรียกได้ว่า กว่าจะถึงจุดหมายเนี่ยได้รูปถ่ายกันบานเลยล่ะครับ ส่วนศูนย์ฯ เซียงชาน ก็เหมือนเป็นจุดพักดื่มน้ำ ดื่มกาแฟ ทานอาหาร และขายของที่ระลึกให้แก่ผู้มาเยือน ก่อนจะขี่ต่อไปยังจุดชมวิวที่เป็นทางเดินเหล็กยื่นออกไปกลางน้ำยาวหลาย ๑๐ เมตร จุดถ่ายรูปแบบเสียวๆ อีกแห่ง แล้วจึงขี่กลับไปยังศูนย์ฯ ฉุ่ยเชื่อ เพื่อคืนจักรยาน ไปๆ มาๆ นี่ปาไปเกือบ ๒ ชั่วโมงเลยนะครับ สำหรับทริปสั้นๆ แค่นี้
ไปๆ มาๆ ก็นึกเปรียบถึงบ้านเรา ที่เขามีแผนว่าจะทำทางจักรยานเลียบริมน้ำเจ้าพระยา จริงๆ มาดูที่นี่เป็นต้นแบบก็ดีเหมือนกันนะ เขาก็ไม่ได้ทำตลอดสายเสียทีเดียว มีการพากลับสู่ถนนตามปกติด้วย แต่จะว่าไป จักรยานบ้านเราก็เริ่มไม่ค่อยฮิตเท่าไหร่แล้วนิ อ่อ .. ลืมไปว่า เขาไม่ได้มุ่งหมายสร้างเพียงแค่เรื่องจักรยานอย่างเดียว กะให้ใช้ประโยชน์อื่นๆ ด้วย แม้จะบดบังทัศนียภาพแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ และวิถีชีวิตของชาวริมน้ำก็ตาม
พูดถึงที่นี่ก็นึกไปถึงการจัดการท่องเที่ยวเขื่อน บ้านเราก็มีเขื่อนเยอะ ก็น่าจะลองเอาสักแห่งนึงมาทำเป็นทางจักรยานแบบนี้ มีจุดพัก จุดทรหด จุดชมวิว สร้างเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ให้ผู้มาเยือนได้ปั่นชิลๆ ยามเช้า ยามเย็น ก็คงจะดี และทำรายได้เพิ่มให้กับพื้นที่ ได้ไม่น้อย
.... ผมก็เพ้อไปอย่างนั้นแหละครับ
ข้อมูลบางส่วน - https://www.rtaiwanr.com/sun-moon-lake/xuanguang-temple , http://www.sunmoonlake.gov.tw/English/DepthExperienceEng/AboutSMLEng/HistoricalEng/HistoricalEng03.htm ,http://eng.taiwan.net.tw/m1.aspx?sNo=0002114&id=5257
เจย์โชว.. เอฟโฟร์.. เติ้งลี่จวิน.. เจียงไคเช็ก.. ชานมไข่มุก.. ไก่ทอดฮอตสตาร์.. จักรยาน.. ?????????
ผมนึกออกได้ประมาณนี้แฮะ และยิ่งพอพูดถึงประเทศไต้หวัน หรือ สาธารณรัฐจีน แล้ว ก็ทำให้ยิ่งคิดไม่ออกใหญ่เลยว่า จะไปทำไมวะ? มันก็จีนปะวะ? มีอะไรน่าสนใจเหรอ? ... นี่คือต้นเหตุของการเดินทางครั้งนี้ครับ
อย่างที่บอกว่า ผมแทบจะไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับไต้หวันเลย เมื่อเทียบกับหลายๆ ชาติ ที่ไปมา ด้วยความคิดที่ว่ามันไม่น่าจะมีอะไรน่าสนใจ ทั้งจากภาพถ่ายโปรโมตการท่องเที่ยวหลายๆ เว็บไซต์เอย ก็ดูไม่ได้รู้สึกชวนให้อยากไปเท่าไหร่ แต่ทำไม? คนไทยถึงชอบไปกันจังนะ? นอกจากไปช็อปปิ้งซื้อรองเท้าราคาถูกแล้วเขาไปไหนกัน? และเขาว่าอาหารที่นี่อร่อยจริงหรือ? เป็นสมมุติฐานที่อยู่ในหัวจนต้องเริ่มค้นหาวิธีการเดินทาง (ซึ่งแน่นอนว่าผมคงไม่เดิน หรือนั่งเรือไป) จนได้ตั๋วเครื่องบินจากสายการบินไทย ไป - กลับในราคาโปรโมชั่นพิเศษ ๘,๐๒๐ บาท ก็เลยเป็นโชคดีที่ได้โอกาสในการใช้บริการสายการบินแห่งชาติสักครั้งในชีวิต
ก่อนอื่นต้องแจ้งให้ท่านผู้อ่านทราบว่า ในทริปไต้หวันนี้ ผมจะไม่ลงรายละเอียดวิธีการเดินทาง บางสถานที่มากนัก เนื่องจากหลายๆ เว็บไซต์ได้มีการนำเสนอไปกันหมดแล้ว และการเดินทางครั้งนี้ ผมแทบไม่ได้เอาสมองไปด้วยเท่าไหร่นัก ในงวดนี้จึงเขียนเฉพาะสิ่งที่อยากเล่าเท่านั้น ก็เลยไม่ได้ระบุเป็นวันแบบที่เคยเขียนมาหลายครั้ง ตรงนี้ต้องขออภัยท่านผู้อ่านที่เคยชินกับแบบเก่าไว้ล่วงหน้าด้วยครับ ส่วนเรื่องความเห็นส่วนตัวนั้น ก็ยังคงใส่ตามสไตล์เหมือนเดิม
ขอบคุณข้อมูลที่ผมใช้วางแผนการเดินทางจากเว็บไซต์ emagtravel.com , earnonabudget.wordpress.com , 1000milesjourney.com และ กลุ่มเฟซบุ๊ก TAIWAN หว่อไหลเลอ!- อย่างเยอะ เที่ยว กิน ช็อป!! รวมทั้งน้องวิว ม.พ.ที่ให้ข้อมูล และแนะนำเส้นทาง สถานที่ท่องเที่ยวมาโดยตลอด
****
ผมนั่งเครื่องบินจากท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ช่วงเย็นๆ ของวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ไปถึงยังท่าอากาศยานนานาชาติเถาหยวน (Taoyuan) ราวๆ สี่ทุ่มกว่าๆ มาดึกขนาดนี้ ทำอย่างไรล่ะ ... ก็ใช้สนามบินเป็นที่นอนมันเนี่ยล่ะ ทราบมาว่าชั้นบนของที่พักผู้โดยสารขาออก มีโซนที่นั่งบริเวณหน้าร้านกาแฟสตาร์บัค ซึ่งเป็นโซฟายาวให้นักท่องเที่ยวสามารถไปนอนพักเอาแรงก่อนออกเดินทางต่อได้ ผมก็อาศัยตรงนั้นล่ะครับ งีบสักหน่อย เอาจริงๆ ก็นอนไม่หลับหรอกครับ ตกกลางคืนแอร์เย็นจนหนาวสั่นสะท้านไปทั้งตัวเลยทีเดียว นอนขดเป็นกุ้งลวกเพราะกลัวปลายเท้าจะไปโดนหัวของสาวหมวยที่มานอนต่อท้าย คือ เก้าอี้แถวนั้นถูกจับจองไปด้วยนักท่องเที่ยวกันหมดทุกตัวเลยครับ
จนตีสี่กว่าจึงตัดสินใจลุกไปเดินเล่นล้างหน้าแปรงฟัน แล้วก็เดินลงไปที่ท่ารถโดยสาร เพื่อขึ้นรถบัส Kuo-Kuang Motor Transportation สาย ๑๘๖๐ ไปลงที่ เมืองไทจง (Taichung city) โชคดีอีกต่อที่รถรอบแรกมีตั้งแต่ตีห้าครึ่ง สบายเลยไม่ต้องรอนานนัก ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินเถาหยวน ถึงสถานีรถไฟไทจง ประมาณ ๒ ชั่วโมงได้ คนส่วนใหญ่เขาจะไปลงกันที่สถานีรถไฟความเร็วสูงไทจง เพื่อนั่งรถต่อไปยังทะเลสาบได้สะดวกกว่า แต่ด้วยความที่ผมจองโรงแรมไว้ในเมืองนี้ ก็เลยต้องลงเพื่อเอากระเป๋าไปฝากก่อน แล้วจึงเดินต่อไปยังป้ายจอดรถบัสเพื่อไปสู่ทะเลสาบซัน มูน เลค ซึ่งอยู่ไม่ไกลกับที่พักเท่าไหร่
ที่นี่เป็นห้องแถว ๑ คูหา ขายทั้งบัตรโดยสารไปกลับธรรมดา และตั๋วแบบเหมาจ่าย ซึ่งผมเลือกตั๋วแบบเหมาจ่าย Sun moon lake bike pass เป็นกระดาษแข็งขนาดเอสี่สีเหลือง มีรอยประแบ่งตั๋วกระดาษให้ฉีกออก ซึ่งประกอบด้วยตั๋วเดินทางไปไทจง – ทะเลสาบ ,ตั๋วเดินทางกลับทะเลสาบ - เขตผูลี่ (Puli) และเขตผูลี่ - ไทจง อันนี้ไม่ต้องงงครับ ถ้าเราไม่แวะที่นี่ก็นั่งยาวไปเลย พอถึงที่หมายก็เอาตั๋วให้เขาทั้งสองใบ , ตั๋วเช่าจักรยาน , ตั๋วลงเรือข้ามฝาก ,ตั๋วรถเมล์รอบทะเลสาบ และ ตั๋วรถเมล์วิ่งรับส่งระหว่างศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ชุยเช่อ (Shuishe) – เซี่ยงชาน (Xiangshan) ทั้งหมดนี้ในราคา ๖๒๐ ดอลล่าร์ไต้หวัน ก็เกือบ ๗๐๐ บาทได้ พอถึงเวลาเขาก็ให้เราไปขึ้นรถบัสที่มารอ ผู้โดยสารค่อนข้างเยอะพอสมควร ใช้เวลา ๑ ชั่วโมงก็ถึงที่หมาย
สำหรับ “ทะเลสาบสุริยันจันทรา” (Sun moon lake) ที่ฟังดูราวกับเป็นชื่อซีรี่ย์ของจีนอะไรประมาณนั้น เป็น ๑ ในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของไต้หวัน หลายคนบอกว่า เฮ้ย มาไต้หวันต้องมาที่นี่นะ สวยมาก ดีมาก ...ส่วนตัวผมน่ะเหรอ? เอาจริงๆ ดูจากในภาพรีวิวต่างๆ แล้วก็ไม่ได้ทำให้เกิดความรู้สึกอยากจะมาเลยครับ แต่เอาวะ เขาว่าดีก็ต้องมาดู
ที่นี่สมัยก่อนก็ไม่ได้เป็นทะเลสาบใหญ่นัก เดิมทีแถวนี้เป็นที่อาศัยของชนพื้นเมืองชาวเซา (邵) และคนจีนชาวฮั่น จนกระทั่งญี่ปุ่นเข้ามายึดครองแสดงตนเป็นเจ้าอาณานิคมของเกาะแห่งนี้ โดยในยุคของจักรพรรดิไทโชะ (Taisho - tenno) ของญี่ปุ่น ได้มีการก่อตั้งบริษัทพลังงานไต้หวัน (The Taiwan Power Company) ขึ้นในปี ๒๔๖๒ และก็ตัดสินใจสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังงานน้ำขึ้นในบริเวณนี้ โดยใช้พื้นที่รอบๆ ทะเลสาบเป็นที่กักเก็บน้ำ มีการอพยพชาวบ้านไปอยู่ที่อื่น ซึ่งหมู่บ้านเดิมก็ถูกปล่อยให้จมตามการเพิ่มตัวของปริมาณน้ำ จนกลายเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่อย่างที่เห็นจนทุกวันนี้
ทะเลสาบแห่งนี้เริ่มเป็นที่รู้จักในฐานะสถานที่ท่องเที่ยวตั้งแต่ในช่วงภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในยุคที่ไต้หวันเข้าเป็นสมาชิกแห่งสหประชาชาติ ประธานาธิบดีเจียง ไคเช็ก ได้พยายามโปรโมทโดยเชิญบรรดาบุคคลสำคัญที่มาเยือนประเทศให้มาพักผ่อนชมทัศนียภาพอันสวยงาม และรู้จักกับชนเผ่าเซา ซึ่งต่อมาที่นี่ได้ถูกพัฒนาทั้งการสร้างถนน วัด และสิ่งอำนวยความสะดวก จนกลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของ จ.หนานโถว ในปัจจุบัน
จึงไม่แปลกใจเมื่อทันทีที่ลงจากรถโดยสารแล้วจะเห็นอาคารพาณิชย์หลายคูหาในบริเวณจุดจอด “ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวฉุ่ยเชื่อ” (Shueishe Visitor Center) ตรงนื้ถือเป็นต้นสายของการเดินทางภายในทะเลสาบ เมื่อดูจากพาสในมือที่ผมถืออยู่นั้น ก็จะพบว่า กิจกรรมที่สามารถกระทำได้โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่มก็คือ นั่งเรือเล่น ขี่จักรยาน และนั่งรถเมล์รอบทะเลสาบ เลือกอะไรก่อนดีล่ะ ... สำหรับคนที่ไม่ได้พักอยู่ที่นี่ต้องมีการวางแผนกันนิดนึงครับ เพราะหากอยู่จนเย็นเกินไปก็อาจตกรถโดยสารกลับไปยังเมืองอื่นเพราะอาจต้องแย่งชิงกับผู้โดยสารจำนวนมากที่จะกลับพร้อมกับเราก็ได้ ณ จุดนี้ ผมเลือกลงเรือก่อนเลยครับ
ท่าเรือบนทะเลสาบนี้ มี ๓ ท่าเรือใหญ่ นั่นคือ ท่าฉุ่ยเชื่อ ,ท่าฉวนกวง (Xuanguang) และ ท่าอี้ต๋า เซา (Ita Thao) ซึ่งเรือก็จะแล่นแบบวันเวย์เป็นรูปสามเหลี่ยม จากท่าแรก นั่งไปยังท่าที่สอง แล้วนั่งต่อไปท่าที่สาม ก่อนจะกลับมายังท่าแรกเป็นอันเสร็จสิ้นการเดินทางทางน้ำ ซึ่งเรือแต่ละลำก็จะมีตารางเวลาบอกอย่างชัดเจนว่าจะออกเรือกี่โมง และก็โคตรจะตรงเวลาด้วย (คือพลาดมาแล้ว มาช้าไปแค่นาทีเดียว วิ่งขึ้นไม่ทัน T-T) เราต้องเอาพาสไปยื่นเพื่อแลกเป็นตั๋วเรือ จากนั้นเขาจะปั้มหมึกไว้ที่ข้อมือเป็นสัญลักษณ์ เท่าที่ดูเหมือนจะมี ๒ บริษัทหรืออย่างไรไม่แน่ใจนัก ถ้าปั้มแล้วเขาจะบอกเลยว่า คุณต้องขึ้นเรือลำแบบนี้เท่านั้นนะ
เรือที่ใช้วิ่งเป็นเรือเฟอร์รี่ขนาดเล็ก น่าจะจุผู้โดยสารได้ประมาณไม่ถึง ๑๐๐ คนกระมัง มีคนขับ ลูกเรือปกติ ๑ คน และลูกเรือที่เป็นไกด์ด้วยไปในตัวอีก ๑ คน แน่นอนว่าจะต้องให้เสียงบรรยายจีนแบบไม่มีซับไตเติ้ลด้านล่างให้เราเดาเอาว่า เจ๊เขาพูดอะไรวะ ฮ่าๆๆๆ ก็ไม่น่าแปลกใจเพราะผู้โดยสารแทบจะ ๙๐% จีนทั้งนั้น จีนไหนไม่รู้แต่จีนชัวร์ๆ ระหว่างทางแกก็จะเล่าไปเรื่อย เอ้ามองทางซ้าย นั่นคือ..................................................... มองทางขวาสินั่นก็มี ............................. คือผมก็ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรไง
แต่มีอยู่ช่วงนึง เหมือนเขาจะพูดถึง “เกาะล่าหลู่” (拉魯) แล้วชี้ไปเกาะเล็กๆ กลางน้ำ ที่มีต้นไม้โผล่ขึ้นมา เกาะนี้ดูดีๆ จะพบรูปปั้นกวางสีขาวอันเป็นตำนานของพื้นที่ที่บอกว่าชาวชนเผ่าตามล่ากวางแล้วมาเจอทะเลสาบ แต่เรือก็แล่นอยู่ไกลพอสมควรจนเพ่งมองไม่เห็นนัก ต้องกลับมาซูมดูรูปในกล้องเอาเอง (ฮ่าๆๆๆ) ใช้เวลาบนเรือประมาณไม่ถึง ๑๐ นาทีก็มาจอดที่ท่าฉวนกวง จุดแรกของการทัวร์ซึ่งตอนนี้คราวคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมาย คนไทยก็มีมาเป็นกรุ๊ปเลยครับ
ไฮไลต์ของท่านี้ก็คือ “วัดฉวนกวง” (玄光寺) หรือวัดพระถังซำจั๋ง ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ตั้งอยู่บนเขาเราต้องเดินขึ้นไปซึ่งก็มีบันไดเป็นทางอย่างง่ายๆ ให้เดินกันไป วัดนี้เป็นที่นิยมก็เพราะ เป็นจุดชมวิวทะเลสาบที่สวยงามในความสูงไม่มากเท่าไหร่ แถมยังมีหินสลักชื่อของทะเลสาบให้ได้ยืนถ่ายรูปคู่เปรียบเสมือนได้ปักหมุดว่าชั้นมาถึงทะเลสาบแล้วนะ
วัดนี้น่าจะสร้างมานานพอสมควร เท่าที่ดูเป็นวัดเล็กๆ มีวิหารประดิษฐานรูปปั้นพระถังฯ ให้ได้สักการะ ประวัติคร่าวๆ ที่ทราบคือ เดิมเคยเป็นที่ประดิษฐานพระธาตุของพระถังซำจั๋ง ซึ่งได้นำมาจากญี่ปุ่น เมื่อปี ๒๔๙๘ แต่ปัจจุบันพระธาตุไม่ได้อยู่ภายในวัดนี้แล้วนะครับ เขาได้อัญเชิญไปประดิษฐานยังวัดฉวนจั้ง Xuanzang Temple (玄奘寺) วัดที่สร้างขึ้นใหม่ใหญ่และสวยงามกว่า อยู่บนเขาเหนือจากวัดเดิมนี้ขึ้นไปอีก โดยสามารถเดินจากที่นี่ขึ้นไปได้ด้วยนะแต่ค่อนข้างไกลหน่อย ส่วนตัวผมนั้นบุญน้อยนัก ไม่ได้ขึ้นไปสักการะเพราะเพิ่งทราบภายหลังว่า มีของดีแบบนี้ด้วย!!
จากท่าฉวนกวง ผมนั่งเรือต่อมายังท่าอี้ต๋า เซา ที่นี่น่าจะเป็นย่านของกินของเกาะแน่ๆ เพราะมีร้านอาหารทั้งมื้อหนักและทานเล่นอยู่เรียงรายเต็มตลอด ๒ ซอยเล็กๆ ผมก็ไม่พลาดที่จะตระเวนชิมเท่าที่พอจะทานได้ ทั้ง ปีกไก่ยัดไส้ข้าว อันนี้แปลกดีครับ เขาเอาปีกกลางไก่จนถึงปลายปีกเลาะกระดูกออกแล้วยัดข้าวสุกแล้วเอาไปอบ พอจะขายก็ผ่าออก ใส่ต้นหอม น้ำพริก และซอสเค็ม ห่อเป็นกรวยให้ทาน รสชาติก็เค็มๆ เผ็ดๆ
อ่อ แล้วก็กินไอ้นี่ครับ โรตีไส้เนื้อและไข่ เขาเขียนชื่ออังกฤษไว้ว่า Formosan muntjac meat. มันเป็นแป้งที่นวดคลึงให้เป็นแผ่นคล้ายโรตีแล้วเอาไปทอดให้ฟู พักน้ำมัน อีกคนก็ผัดเนื้อกับซอส และก็ทอดไข่ดาว พอสุกก็นำทั้งหมดมาวางไว้บนแผ่นโรตี ห่อใส่ถุงให้ทาน ก็แปลกๆ ดี แป้งหนานุ่มต่างจากโรตีปกติแฮะ เนื้อก็นุ่มใช้ได้ ส่วนรสก็เค็มๆ จืดๆ ... อีกสิ่งที่ทานก็คือหมูปิ้ง เป็นหมูหมักหั่นทรงลูกเต๋าเสียบไม้ นำไปย่างให้สุก ราดซอสแล้วโรยด้วยงา อันนี้ออกเค็มๆ หวานๆ นิดหน่อย
นอกจากนี้ก็ยังมีพวกไข่ต้มชา ของทอด อาหารทะเลแห้ง รวมทั้งทองม้วนฉบับไต้หวัน ที่เขาใช้เครื่องจักรเป็นตัวผลิตให้ได้ชมกันสดๆ เลย แต่คนส่วนใหญ่ นอกจากจะมาหาของกินกันในโซนนี้แล้ว เขายังนิยมไปยังสถานที่ไฮไลท์ของท่า นั่นก็คือกระเช้าลอยฟ้า (Sun moon lake ropeway) อีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวยอดนิยมของที่นี่ มีความยาวเกือบ ๒ กิโลเมตรขึ้นสู่ยอดเขาพาไปยังหมู่บ้านวัฒนธรรมพื้นเมืองฟอร์โมซาน (Formosan Aboriginal Culture Village) สถานที่ที่จำลองเอาหมู่บ้านของชนเผ่าต่างๆ ในไต้หวันมาให้ได้ชม พร้อมโชว์การแสดงจากชาวพื้นเมืองต่างๆ แต่ ... มันไม่ได้มีแค่นี้ครับ ที่นี่ยังมีสวนสนุกขนาดกลางให้นักท่องเที่ยวได้เล่นเครื่องเล่น และยังมีสวนแบบยุโรปให้ได้ถ่ายรูปกันในหุบเขาด้วย ... เออ เป็นการผสมผสานทางวัฒนธรรมที่แปลกดีเหมือนกัน
ส่วนราคาอยู่ที่ ๗๘๐ ดอลลาร์ไต้หวัน ยังไม่รวมค่าขึ้นกระเช้าอีก ๓๐๐ ดอลลาร์ไต้หวันนะครับ ถ้าใครสนใจก็ไปลองกันได้ เห็นว่ามีพาสแบบรวมค่ารถไปกลับไทจงด้วยนะ แต่พาสของผมที่ซื้อมานี่ไม่มีบัตรขึ้นกระเช้าครับ จริงๆ ก็จงใจที่จะไม่ขึ้นด้วย เพราะรู้สึกว่าไม่น่าจะมีอะไร เลือกขี่จักรยานน่าจะสนุกกว่า
ผมกลับมาที่ท่าเรืออี้ต๋า เซา นั่งไปท่าฉุ่ยเชื่อ ท่าแรกที่ลงเรือก็ถือเป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจการนั่งเรือข้ามฟากชมวิวรอบทะเลสาบ แผนต่อมาผมเลือกที่จะใช้บริการรถเมล์นั่งไปยังวัดที่เป็นที่นิยมอีกแห่ง นั่นคือ “วัดเหวินอู่” (文武廟) วัดนี้อยู่บนไหล่เขาทางตอนเหนือของทะเลสาบ สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๑ ภายหลังที่มีการสร้างเขื่อน โดยเป็นการผสานทั้ง ๒ วัดซึ่งเคยอยู่ในบริเวณที่ระดับน้ำท่วม มารวมอยู่ในที่เดียวกัน
วัดนี้มีขนาดใหญ่พอสมควรสำหรับที่นี่ มีซุ้มประตูตั้งเป็นทางเข้า ภายในแบ่งเป็นอาคาร ๓ หลัง ไล่ตามระดับภูเขาขึ้นไป อารมณ์นึงก็รู้สึกเหมือนแวะมาเที่ยววัดบรมราชากาญจนาภิเษก แถวบ้านผมยังไงก็ไม่รู้ ฮ่าๆๆ เพราะสถาปัตยกรรมจีนกระมังจึงทำให้เราคิดไปได้ ด้านหน้าสุดมีรูปปั้นสิงโตสีแดงตัวใหญ่ประมาณ ตึก ๒ ชั้น ยืนคร่อมลูกบอลอยู่ทางซ้าย และ ขวา ส่วนอาคารแต่ละหลังก็มีเทพเจ้าให้สาธุชนได้กราบสักการะขอพรกันไปตามศรัทธา เท่าที่สังเกต มีเทพเจ้ากวนอู อยู่ (รู้จักอยู่องค์เดียวอะ) มีร้านให้เช่าวัตถุมงคล จำหน่ายธูปเทียนและเครื่องบูชา มีการเขียนเป็นภาษาไทยซะด้วย
แต่ที่เด็ดของวัดนี้สำหรับผมอยู่ด้านหลังสุดครับ เป็นสิ่งก่อสร้างที่ดูเหมือนซุ้มประตูขนาดใหญ่มากสูงประมาณตึก ๕ ชั้น น่าจะได้ ด้านล่างมีบันไดทางขึ้นไปสู่ยอดเขาและระเบียงทางเดิน มีการแกะสลักลวดลายทั้งมังกร สัตว์ต่างๆ และประติกรรมเรื่องเล่าตำนานของจีน ลงบนหินสีอมเขียว ผมไม่มั่นใจว่ามันคือหยกหรือเปล่า ส่วนชั้นบนสุดเป็นซุ้มประตู และด้านหลังเป็นลานสนามหญ้าและต้นไม้ สัมผัสได้ราวกับขึ้นมาสู่สรวงสวรรค์อะไรอย่างนั้น อันนี้คิดว่าคนสร้างคงมีจุดประสงค์ให้จินตนาการเป็นแบบนี้แน่ๆ อันนี้สวยจริงครับ
เสร็จจากการไหว้พระ ก็ต้องลงเขาด้วยบริการรถเมล์กลับมาสู่ท่าเรือที่เดิม แล้วมาเริ่มภารกิจสุดท้าย ... นั่นคือ การปั่นจักรยานครับ ที่ไต้หวันเขาฮิตการปั่นกันมาก และที่ทะเลสาบแห่งนี้ก็ถือว่าเป็นอีก ๑ สถานที่ที่มีวิวปั่นที่สวยอันดับต้นๆ ของประเทศเลย นี่เป็นสาเหตุหลักที่ผมเลือกซื้อพาสนี้ครับ อยากจะรู้จริงๆ ว่าทางเขาจะดี และวิวมันจะสวยขนาดไหน ซึ่งบัตรที่ผมมีสามารถนำไปแลกขี่จักรยานฟรีได้ ๒ เจ้า เจ้าแรกคือยี่ห้อไจแอนท์ จักรยานยอดนิยมของบ้านเรา อันนี้ขี่ได้ ๑ ชั่วโมง ส่วนใครที่ไม่ได้เห่อยี่ห้อก็มีอีกเจ้าให้เลือก ชื่อ เมอริด้า (Merida) อันนี้ขี่ได้ ๒ ชั่วโมง ... ท่านผู้อ่านไม่ต้องเดาก็รู้ใช่ไหมครับว่าผมจะเลือกเจ้าไหน ...
ที่หน้าร้านรับแลกจักรยานจะมีเจ้าหน้าที่ รับบัตรของเรา แล้วให้เขียนเอกสารการยืม ก่อนจะนำจักรยานมาให้ลองขับให้ดูพอดีกับเรา มีหมวกกันน๊อคให้ใส่ เมื่อเข้าที่เข้าทางพร้อมที่จะขี่เจ๊เขาก็จะแจ้งเวลาให้ทราบว่าควรนำมาคืนก่อนกี่โมง พร้อมกับแนะนำเส้นทางว่าให้ขี่ไปทางไหนบ้าง ซึ่งเส้นทางที่ผมวางแผนไว้ก็คือขี่ไปที่ “ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเซียงชาน” (Xiangshan Visitor Center) ระยะทางไปกลับราว ๖ – ๗ กิโลเมตรได้
เอาจริงๆ นะ ตอนแรกกะว่าอยากจะปั่นให้รอบทะเลสาบที่มีระยะทางราวๆ ๓๐ กิโลเมตร แต่ด้วยเวลาที่มีจำกัด (กลัวสังขารไม่ไหวก็บอกเขาไปเถอะ) เลยหาข้อมูลว่าจะปั่นไปตรงไหนถึงจะได้ดูวิวดีๆ เผอิญไปเจอข้อมูลในเว็บไซต์ earn on a budget เขาแนะนำว่าเส้นนี้ล่ะ สวยแน่นอน ก็เลยมาลองกันดูครับ
ทางจักรยานของเขาแบ่งเป็นทางสร้างที่ขึ้นใหม่ในน้ำ มีความกว้างประมาณ ๓ เมตรได้, ถนนเฉพาะจักรยานเลียบริมน้ำ และใช้ร่วมกับถนนหลัก ผู้ใช้จักรยานจะได้ขี่บนเส้นทางเหล่านี้สลับกันไปมา ซึ่งเขาวางผังไว้ดีมากเลยครับ มีจุดที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของทะเลสาบและภูเขาในมุมกว้างพร้อมลมเย็นๆ โชยมาปะทะร่างกายให้รู้สึกผ่อนคลายความเหนื่อยล้าไปได้เลยทีเดียว บางจุดก็เป็นที่ห้ามขี่จักรยาน ให้จูงข้ามสะพานไม้ชมวิว พร้อมสามารถนั่งพักดูทะเลสาบบนลานสนามหญ้าแบบชิลๆ ได้
นอกจากนี้ก็ยังมีการสร้างสะพานข้ามช่องแคบทะเลสาบเล็กๆ ที่มีรูปลักษณ์ต่างๆ ให้นักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลิน ไปน่าเบื่อ เรียกได้ว่า กว่าจะถึงจุดหมายเนี่ยได้รูปถ่ายกันบานเลยล่ะครับ ส่วนศูนย์ฯ เซียงชาน ก็เหมือนเป็นจุดพักดื่มน้ำ ดื่มกาแฟ ทานอาหาร และขายของที่ระลึกให้แก่ผู้มาเยือน ก่อนจะขี่ต่อไปยังจุดชมวิวที่เป็นทางเดินเหล็กยื่นออกไปกลางน้ำยาวหลาย ๑๐ เมตร จุดถ่ายรูปแบบเสียวๆ อีกแห่ง แล้วจึงขี่กลับไปยังศูนย์ฯ ฉุ่ยเชื่อ เพื่อคืนจักรยาน ไปๆ มาๆ นี่ปาไปเกือบ ๒ ชั่วโมงเลยนะครับ สำหรับทริปสั้นๆ แค่นี้
ไปๆ มาๆ ก็นึกเปรียบถึงบ้านเรา ที่เขามีแผนว่าจะทำทางจักรยานเลียบริมน้ำเจ้าพระยา จริงๆ มาดูที่นี่เป็นต้นแบบก็ดีเหมือนกันนะ เขาก็ไม่ได้ทำตลอดสายเสียทีเดียว มีการพากลับสู่ถนนตามปกติด้วย แต่จะว่าไป จักรยานบ้านเราก็เริ่มไม่ค่อยฮิตเท่าไหร่แล้วนิ อ่อ .. ลืมไปว่า เขาไม่ได้มุ่งหมายสร้างเพียงแค่เรื่องจักรยานอย่างเดียว กะให้ใช้ประโยชน์อื่นๆ ด้วย แม้จะบดบังทัศนียภาพแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ และวิถีชีวิตของชาวริมน้ำก็ตาม
พูดถึงที่นี่ก็นึกไปถึงการจัดการท่องเที่ยวเขื่อน บ้านเราก็มีเขื่อนเยอะ ก็น่าจะลองเอาสักแห่งนึงมาทำเป็นทางจักรยานแบบนี้ มีจุดพัก จุดทรหด จุดชมวิว สร้างเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ให้ผู้มาเยือนได้ปั่นชิลๆ ยามเช้า ยามเย็น ก็คงจะดี และทำรายได้เพิ่มให้กับพื้นที่ ได้ไม่น้อย
.... ผมก็เพ้อไปอย่างนั้นแหละครับ
ข้อมูลบางส่วน - https://www.rtaiwanr.com/sun-moon-lake/xuanguang-temple , http://www.sunmoonlake.gov.tw/English/DepthExperienceEng/AboutSMLEng/HistoricalEng/HistoricalEng03.htm ,http://eng.taiwan.net.tw/m1.aspx?sNo=0002114&id=5257