xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อการเลือกตั้งเหมือนจะยังไม่จำเป็น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: พระบาท นามเมือง

มีความชัดเจนว่าด้วยกำหนดระยะเวลาการเลือกตั้งออกมา ยืนยันได้ว่า ถ้าจะมีการเลือกตั้งได้ ก็ต้องให้ผ่านพระราชพิธีสำคัญทั้งสองพระราชพิธีที่จะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2560 นี้ไปก่อนคือ หลังจากพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 และพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในหลวงรัชกาลที่ 10

อันเป็นข้อเท็จจริงที่ใครก็คงไม่พึงก้าวล่วง เพราะในบรรยากาศของการแสดงความอาลัยและถวายความจงรักภักดีของคนทั้งประเทศนั้น หากมีบรรยากาศของการหาเสียงเลือกตั้งแทรกสอดเข้ามา คงเป็นความรู้สึกที่อิหลักอิเหลื่อ

เพราะในการหาเสียงเลือกตั้ง นอกจากจะต้องมีการ “ยกตน” แล้วยังจะต้องมีการ “ข่มท่าน” หรืออาจจะถึงขนาดให้ร้ายป้ายสีนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามด้วย ซึ่งเป็นบรรยากาศแห่งการต่อสู้ขัดแย้ง

ในบรรยากาศที่ประชาชนต้องการความสงบเพื่อแสดงความอาลัย และปีติยินดีแสดงความชื่นชมในพระบารมี ควรจะเป็นช่วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์ของประเทศชาติ ที่ปราศจากความขัดแย้งต่อสู้ใดๆ ทั้งปวง

เมื่อพ้นพระราชพิธีสำคัญทั้งสองสักระยะหนึ่งก่อนเถิด จึงค่อยว่ากัน

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อไร แต่ผู้กำหนดกรอบระยะเวลาโรดแมปออกมาให้คำมั่นเบื้องต้นแล้วว่า ในปี 2561 จะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างแน่นอน

ตีเวลาคร่าวๆ ก็น่าจะสักปีครึ่งถึงสองปีจากนี้ไป

อย่างไรก็ตาม จากการ “ซาวเสียง” ของผู้คนจริงๆ ไม่ว่าจากโพลหรือว่าจากการสอบถามแบบปากต่อปาก ก็ไม่ปรากฏว่าประชาชนทั่วไปที่ไหนเร่งร้อนว่าจะต้องมีการเลือกตั้ง หรือมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งกันเสียเท่าไร

ผลจากทุกโพลระบุว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีความพึงพอใจกับรัฐบาลที่มี “อำนาจพิเศษ” ที่ปกครองกันอยู่ในตอนนี้ มากกว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเสียอีก รวมทั้งส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ต้องการให้มีการเลือกตั้งให้เกิดขึ้นโดยเร็วพลันทันทีอะไรขนาดนั้น

แม้จะไม่พิจารณาผลโพลก็ได้ เราอาจจะวัดเอาจากบรรยากาศรอบตัวเรา จากการออกไปพูดคุยกับประชาชนทั่วไป มิตรสหาย คนค้าคนขายตามท้องถนนหรือร้านตลาด หากไม่ใช่พวก “คอการเมืองจ๋า” ก็ไม่มีใครตื่นเต้นว่าจะต้องมีหรือไม่มีการเลือกตั้งอะไร

เพราะหากจะกล่าวไป การมีรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารและปกครองประเทศมายาวนานเกือบ 3 ปี ก็ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนอะไรเท่าไร

แม้ว่าสำหรับนักธุรกิจหรือคนค้าคนขายอาจจะบ่นกันว่าช่วงนี้จะอยู่ทำธุรกิจลำบากไปสักหน่อยด้วยปัญหาทางเศรษฐกิจ ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะต้องยอมรับว่าเป็นปัญหาที่รัฐบาลนี้ยังแก้ไขได้ไม่ดีนัก

แต่ก็ไม่มีหลักประกันอะไรว่า หากมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเต็มตัวแล้ว จะสามารถแก้ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจปากท้องได้ดีกว่านี้

หรือถึงแก้ได้ ก็ไม่ใช่จะแก้ได้เร็วนัก เพราะปัญหานี้มันซับซ้อนพัวพันกันวุ่นวาย ขึ้นกับเศรษฐกิจโลกและสภาวะการแข่งขันกันภายในภูมิภาค ซึ่งปัจจัยที่จะแก้ได้ไม่ใช่อยู่ที่การบริหารของรัฐบาลเท่านั้น แต่กระแสทิศทางเศรษฐกิจโลก ตลาดโลก การแข่งขับกับประเทศในกลุ่มภูมิภาคเดียวกัน ทั้งหลายทั้งปวงนี้เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องทั้งสิ้น

ส่วน “ข้อดี” ที่ทำให้คนยังเห็นด้วยกับการที่มีรัฐบาลที่ใช้อำนาจพิเศษนี้อยู่ก็มีมากมาย เช่น ความสงบเรียบร้อย ไม่มีความวุ่นวายเกิดขึ้นจากการฉวยโอกาสเรียกร้องหรือต่อสู้กันในทางการเมือง

ก็ในเมื่อต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมรับกัน ถ้าฝ่ายไหนทำอะไร อีกฝ่ายก็ลุกขึ้นมาต่อสู้คัดค้านวุ่นวาย ฝ่ายที่มีอำนาจก็อยากทรงอำนาจนั้นอยู่ ก็ปลุกตั้งมวลชนของตัวเองขึ้นมาสนับสนุนบ้าง

การเมืองที่ควรจะเป็นการเมืองระบบตัวแทนในรัฐสภาหรือในรัฐบาล ก็กลับไปสู่การเมืองการต่อรองบนท้องถนนกันไป ซึ่งถ้าเร่งให้มีการเลือกตั้งเร็วๆ ภาพดังกล่าวก็น่าจะกลับมาแน่ๆ หลังการเลือกตั้งไม่นาน

กับสิ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่ จากที่ตอบแบบสอบถามและจากที่พบปะพูดคุยกันโดยตรงเห็นตรงกัน ก็คือความเด็ดขาดในการบริหารงานและกำกับนโยบายของรัฐ

กฎหมายสำคัญๆ ที่รอการพิจารณาของสภาฯ ที่มาจากการเลือกตั้งอยู่นาน บางฉบับรอมาหลายปีหลายสมัย ก็ได้ฤกษ์คลอดออกมาในช่วงรัฐสภาที่มาจากอำนาจพิเศษนี้

เพราะอย่างที่ว่า เมื่อไม่มีการต่อรองกันในทางผลประโยชน์ทางการเมืองแล้ว การพิจารณากฎหมายก็เป็นการพิจารณาที่เนื้อหาของกฎหมายจริงๆ ไม่มีมาดูว่ากฎหมายออกมาแล้วใครจะได้เปรียบเสียเปรียบอย่างไร

ส่วนการบริหารราชการแผ่นดิน ก็ปรากฏว่าทุกอย่างเป็นไปอย่างเรียบร้อยรวดเร็ว โครงการบางอย่าง เช่น ถนนบางสายที่สร้างไว้ค้างเติ่งไม่มีใครกล้าทำอะไร ก็มีการขันน็อตไขลานจากฝ่ายรัฐให้ดำเนินการกันโดยเร็ว

หรือบางเรื่องเป็นเรื่องที่ติดปัญหาทางกฎหมายหรือข้อสัญญาที่เกิดจากการต่อรองกันไม่ลงตัวของเอกชนกับภาครัฐ เช่น ส่วนเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสีม่วงกับสีน้ำเงินที่หายไปหนึ่งสถานี (ซึ่งไม่รู้ว่ารัฐบาลหรือฝ่ายการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งยอมให้เกิดสัญญาที่มีผลประหลาดนี้ได้อย่างไรเหมือนกันในตอนนั้น) ก็ได้รับการแก้ไขด้วยการใช้มาตรา 44 แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจบไป

ไม่ได้บอกว่า มาตรา 44 ดีกว่าการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือขั้นตอนระเบียบรัฐบาล แต่เมื่อการใช้อำนาจตามกฎหมาย ระเบียบ กฎ สัญญา มันก่อปัญหาเอาไว้ เหมือนกับเชือกที่ผูกเงื่อนตายไว้แน่น หากจะแก้ก็ต้องค่อยๆ มาไล่กันทีละสายละเส้น และก็อาจจะพบว่าในที่สุดก็แก้ไม่ได้ เพราะมันพันกันจนมั่วไปแล้ว

การเอา “ดาบ” แบบมาตรา 44 มาตัดปมนั้นทิ้งแล้วว่ากันใหม่ ก็อาจจะเป็นทางออกที่ดีกว่าการปล่อยให้ทำอะไรก็ไม่ได้ ถ้าจะแก้กันด้วยวิธีการปกติ

ที่สำคัญคือ ประชาชนส่วนใหญ่ก็อนุโมทนาสาธุด้วย หาไม่แล้วการใช้อำนาจในลักษณะนี้ คงจะไม่สามารถทำได้ราบรื่น หากประชาชนไม่ยินยอมด้วย

ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าจะเชื่อในโพลหรือไม่ แต่ประชาชนส่วนใหญ่ ยังคงพอใจกับการปกครองในรูปแบบนี้ และไม่ได้ออกมาร้องหาการเลือกตั้งหรือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งกันเซ็งแซ่แต่อย่างใด.
กำลังโหลดความคิดเห็น