xs
xsm
sm
md
lg

สงกรานต์ที่เหมือนไม่เคยรู้จักกัน

เผยแพร่:   โดย: โลกนี้มีคนอื่น


ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ผมมีอันจำต้องเดินผ่านระยะทางสั้นๆ จากจุดจอดรถไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่ง ระยะทางนั้นไม่ไกลมากนักแต่ในความคิดผมแล้วนั้นนึกหวั่นใจยังไงบอกไม่ถูก มันจัดว่าอยู่ในโซนอันตราย ที่ว่าเช่นนั้นเพราะมันเป็นถนนที่มีคนนิยมออกจากเคหะสถานมาเล่นสงกรานต์กัน ทั้งนี้หลังจากกินข้าวแล้วผมต้องไปทำอะไรต่อที่อื่นซึ่งไม่ใช่ไปสาดน้ำเล่นสงกรานต์ นั่นหมายความว่าผมไม่อยากเปียก

สิ่งที่กลัวก็เกิดขึ้นจนได้ มีกลุ่มคนทั้งหญิงชายจำนวนประมาณเจ็ดแปดคนกำลังเล่นสงกรานต์กันอยู่ เล่นสงกรานต์ที่ว่าไม่ได้เล่นกันเองในหมู่พวกเขา แต่เล่นสงกรานต์ริมถนนนั้นในความหมายปกติ (ของคนที่ปฏิบัติการอยู่) จะหมายถึงการดักรอสาดน้ำคนอื่น เท่าที่ผมสังเกตดู เกินครึ่งจะไม่สนใจว่าคนเดินผ่านจะอยากเล่นสงกรานต์ด้วยหรือไม่อยาก แต่สำหรับวันสงกรานต์ของพวกเขา ทุกคนต้องเล่นสงกรานต์

ผมเดินผ่านกลุ่มนั้นด้วยหน้าตาซีเรียสมาก พร้อมทั้งทำสายตาอ้อนวอนขอร้อง ปากก็บอกว่า “ไม่เล่นนะครับๆ ต้องไปธุระต่อ” ขณะที่เดินผ่านพวกเขาไป ผมเดินผ่านได้ประมาณสามสี่คน แต่คนที่ห้าที่เป็นผู้หญิงนั้นหยิบขันขึ้นมาสาดน้ำใส่ผม แม้จะหลบแต่ก็โดนเข้าไปถึงขั้นเปียกขากางเกงไปแถบหนึ่ง ผมหน้าบึ้งแล้วเอ่ยต่อว่าหญิงสาวคนนั้นว่า “บอกแล้วไงครับว่าไม่เล่น”

แทนที่จะได้รับคำขอโทษ เธอบอกว่าอย่างไรรู้ไหมครับ เธอโวยวายใส่ผมว่า “โธ่พี่ อะไรกันนักกันหนา วันสงกรานต์นะ พี่จะห้ามคนเล่นสงกรานต์ได้ไง ถ้าไม่เล่นวันหลังพี่ก็อยู่บ้านแล้วกัน” ว่าแล้วเธอลอยหน้าลอยตาทำไม่รู้ไม่ชี้ ผมเองพอเจอคนแบบนี้ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงนะครับ ก็เดินหนีไป

เมื่อเทศกาลสงกรานต์ทีไร ผมได้ยินผู้คนพูดกันเป็นห่วงถึงอุบัติภัยของช่วงนี้ในเรื่องการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินอันเนื่องมาจากอุบัติเหตุบนถนนที่นับวันจะมีความรุนแรงและตัวเลขที่มากขึ้นเรื่อยๆ แต่แท้จริงแล้วสิ่งที่น่ากลัวพอๆ กันคืออันตรายที่เกิดจากความเสื่อมของวัฒนธรรมทางสังคมที่มักจะสะท้อนให้เห็นถึงดีกรีที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงสงกรานต์และน่ากลัวพอๆ กัน

ในช่วงเวลาเดียวกัน ผมก็เปิดเจอที่ระบบเฟซบุ๊กมันขึ้นมาเตือนว่าเราเคยรู้สึกอย่างไรในช่วงนี้ของปีที่ผ่านๆ มา ก็มาเจอเอาเรื่องที่ผมเขียนบ่นเกี่ยวกับเทศกาลสงกรานต์เมื่อสองปีที่แล้ว พออ่านดูก็รู้สึกว่า เออทำไมในช่วงเวลาโดยเฉพาะสามสี่ปีที่ผ่านมานี้ ไม่ว่าปีไหนปีไหนถึงได้รู้สึกซ้ำเหมือนเดิมเลย ผมคิดว่าน่าสนใจที่จะนำเอามาแลกเปลี่ยนในมุมมองเชิงวัฒนธรรม ดังนั้นถือโอกาสหยิบเอามาให้อ่านกันตามเนื้อหาด้านล่างนี้นะครับ
+++++++++++++++++
ผมว่าผมก็ยังไม่แก่เท่าไรนะ แต่สังคมไทยสมัยนี้เปลี่ยนไปจากสมัยผมเด็กๆ จนน่าตกใจ ส่วนตัวผมคิดว่าพฤติกรรมบางอย่างของบางกลุ่มคนในเทศกาลสงกรานต์นี้เป็นตัวชี้วัดอะไรบางอย่างได้ดีเลยหล่ะ สงกรานต์สมัยนี้สะท้อนภาพสังคมบางด้านให้เราเห็น ภาพผู้คนที่ออกมาแสดงตน แสดงอุปนิสัยใจคอ และแสดงธาตุแท้ของสิ่งที่ต่างๆ ที่หล่อหลอมออกมาเป็นตัวตนของคนในแต่ละคน

ในเทศกาลนี้ในสมัยก่อน น้อยมากที่เราจะเจอภาพคนเมาเหล้าโวยวายเล่นสงกรานต์ต่อหน้าสาธารณะ ปัจจุบันนี้ผู้ชายหลายคนกล้าที่แสดงความหื่นให้เห็นแบบคิดว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่สามารถแสดงออกได้ในกิจกรรมสาดน้ำ ผู้หญิงที่ทำกิริยาโชว์เนื้อตัวราวกับสาวอะโกโก้กลางถนนอย่างภาคภูมิใจในอาการนั้น ไปจนถึงเด็กแว้นออกมาบิดกันทั่วเมืองราวกับไม่มีกฎจราจรและตำรวจก็หายเงียบปล่อยให้ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนเสี่ยงตายถ้าได้เจอ

สิ่งต่างๆ เหล่านี้สมัยก่อนไม่มีนะครับ อย่างน้อยก็ไม่ได้เห็นกันอย่างโจ๋งครึ่มกลางสาธารณะเช่นในปัจจุบันนี้ เอาว่า ถ้าจะมี มันถูกบีบให้อยู่ในตรอกซอกซอยหรือในชุมชนของแต่ละส่วนเองที่คนส่วนใหญ่ในสาธารณะมองไม่เห็น

และไม่ใช่ว่าวัฒนธรรมความเลวร้ายต่างๆ เหล่านี้ถูกควบคุมด้วยกฎหมายบ้านเมืองอะไรให้อยู่อย่างเป็นสัดส่วน ให้อยู่ในกรอบกติกานะครับ เพราะจริงๆ แล้ว สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นเรื่องของศีลธรรมและจริยธรรมความประพฤติอันดีงามของแต่ละคนที่ต้องรู้ปฏิบัติกันเอง

คนแบบที่ออกมาเริงร่าแสดงเรื่องเลวๆ ให้เห็นกลางถนนนี่ในสมัยก่อนนี่ไม่ใช่ไม่มี แต่มันมีพลังอะไรบางอย่างทางสังคมสะกดพวกคนกลุ่มนี้เอาไว้ไม่ให้โผล่หัวออกมาโชว์ตัวต่อสาธารณะ

การรับรู้ความประพฤติอันดีงามที่ต้องได้รับการสั่งสอนอบรมกันมาจากครอบครัวประพฤติดี และสำหรับคนกลุ่มที่ไม่มีสติสามัญสำนึกเพียงพอที่จะเข้าใจการเคารพผู้อื่นในสังคมเหล่านี้ ก็จะถูกจำกัดเอาไว้ด้วยพลังบางอย่างทางสังคม ซึ่งบางคนอาจจะมองว่าเป็นการควบคุมโครงสร้างของกลุ่มชนทางวัฒนธรรมหรืออะไรก็แล้วแต่ ซึ่งผมมองว่ามันมีกรอบบางอย่างที่กดดันให้เกิดการยอมรับที่จะเคารพผู้อื่นในสังคมกันมากกว่าในปัจจุบัน คนชั้นต่ำชั้นสูงนี่จริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องเจ้าเรื่องไพร่ ไม่ใช่เป็นเรื่องผู้ดีเรื่องคนชั้นล่าง ไม่ใช่เรื่องรวยเรื่องจน หรือเรื่องอะไร แต่ผมคิดว่ามันเรื่องของความมากน้อยของการอบรมสั่งสอนกันมาในเรื่องวัฒนธรรมอันดีงามของแต่ละคนในสังคมมากกว่าที่จัดกลุ่มของลำดับชั้นเหล่านั้น และสร้างพลังสะกดกันไว้ให้แต่ละคนรู้จักเคารพสิทธิของคนอื่นในสังคม

สมัยผมเด็กๆ ใครมาทำกิริยาอาการเลวๆ ให้เห็นกลางถนนนี่ แค่โดนคนอื่นๆ มองด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามนี่ ดูถูกว่าเป็นกิริยาหรืออาการของความต่ำชั้นทางวัฒนธรรม คนนั้นจะอับอายหนีหายไปจากตรงนั้น แทบจะไม่ต้องแจ้งตำรวจอะไรกันเลย สังคมมันมีพลังบางอย่างที่จะจัดการกันเอง

สมัยนี้เรามักคนเห็นคนหน้าด้านทำกิริยาห่วยๆ (แต่ไม่ถึงขั้นผิดกฎหมาย อย่างเช่นแซงคิวอะไรอย่างนี้) แล้วพอมีคนอื่นๆ มองด้วยสายตาดูถูก คนคนนั้นอาจจะลอยหน้าลอยตาไม่รู้สึกรู้สาอะไร และยืนหยัดทำกิริยาชั่วๆ ต่ออย่างโดดเด่นเป็นสง่าไม่เกรงสายตาใครต่อไป ที่เป็นเช่นนั้น เพราะทั้งนี้ผมคิดว่า ในสมัยปัจจุบัน พลังอะไรบางอย่างที่เราสร้างขึ้นมาควบคุมวัฒนธรรมอันดีงามในสังคมที่เคยเข้มแข็งนั้นถูกทำให้อ่อนแรงลงไป

ในรอบสิบปีมานี้ ผมมองว่าคนหลายคนที่มีอิทธิพลและมีบทบาทชี้นำทางความคิดต่อสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนชั้นปกครองทางการเมือง ได้ไปสร้างค่านิยมที่นำไปสู่วัฒนธรรมที่ผิดๆ อะไรบางอย่างให้กับสังคม พร้อมกันนั้นก็พยายามสร้างภาพการรับรู้แนวคิดใหม่อะไรบางอย่างเพื่อที่จะทำลายพลังงานบางอย่างที่ผมว่าที่สังคมไทยเรานั้นมีอยู่ ซึ่งพลังงานดั้งเดิมอันนี้ก็ทำงานในการควบคุมการเคารพสิทธิสาธารณะได้เป็นอย่างดี และบ้านเมืองเราก็สงบสุข

มันจะอาจจะเรียกว่าพลังงานที่สามารถควบคุมความโกลาหลของคนส่วนใหญ่ในอดีตถูกทำให้อ่อนแรง จนความโกลาหลจากคนส่วนใหญ่นี้อาจจะก่อตัวพัฒนาไปสู่ความโกลาหลที่วุ่นวายและมีผลกระทบด้านความเสียหายต่อสาธารณะ

ดังนั้น มันจึงเหมือนกับว่า สิบกว่าปีมานี้ นอกจากโครงสร้างทางการเมืองจะถูกทำลายโดยนักการเมืองชั่วแล้ว วัฒนธรรมอันดีงามต่างๆ ในสังคมนั้นก็เป็นผลกระทบต่อเนื่องที่ถูกทำลายลงไปด้วย เรื่องของเสรีภาพของคนทุกคนนั้นถูกหยิบยกขึ้นมาอวดอ้างไปในความหมายที่ผิดเพี้ยน แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราอาจจะยังไม่มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้กับเรื่องนี้เสียด้วยซ้ำ

ในรอบสิบกว่าปีมานี้เอง สิ่งนี้เป็นอุปกรณ์ที่ถูกแจกจ่ายไปกว้างขวางถึงทุกมือทุกกลุ่มทุกเหล่าแบบชนิดที่ยังไม่มีคู่มือการใช้งานอย่างถูกวิธีอธิบายควบคู่ไปด้วย สิ่งนี้มันได้ถูกหว่านไปเรียบร้อยแล้ว อาวุธอันนี้จึงถูกคนที่ขาดสติสามัญสำนึกที่จะเข้าใจเรื่องการเคารพสิทธิ นำไปใช้เป็นเสรีที่ไม่มีขอบเขต เสรีที่จะทำอะไรก็ได้ในสาธารณะ เป็นเสรีภาพที่เอามาทำลายสิ่งที่เรียกว่าการเคารพสิทธิสาธารณะ และรุกรานเสรีของผู้อื่นในสังคมเดียวกันอย่างน่าเศร้าใจ
กำลังโหลดความคิดเห็น