"ปวงข้าขอ นอบน้อม สดุดี
สมเด็จองค์ วาสุกรี ท่านไท้
ชิโนรสรัตนกวี เฉลิมแหล่ง สยามนา
ขอพระคุณสมณไซร้ ปกเกล้า นิรันดร์"

ขึ้นประโยคนี้มาแน่นอน หลายคนอาจไม่รู้ว่าผมสื่อถึงอะไร แต่หากผู้ที่เคยศึกษาในชิโนรสวิทยาลัย คงจำได้อย่างแม่นยำกับบทสดุดี “สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส” ที่ถูกอัญเชิญพระนามของพระองค์มาเป็นชื่อของโรงเรียน เราจะได้ยินเพลงทุกๆ เช้าก่อนเข้าแถวเคารพธงชาติตามปกติ
เมื่อจบการศึกษาออกมาผมก็มักจะกลับไปร่วมงานวันสถาปนา ๑๑ ธันวาคม ซึ่งตรงกับวันพระสมภพของสมเด็จฯ เพื่อกราบไหว้ขอพร และพบปะอาจารย์ที่เคยสั่งสอนเป็นประจำเกือบทุกปี แต่ในปีนี้พิเศษกว่าสักหน่อย เพราะอาจารย์ที่คุ้นเคยเกษียณอำลาบทบาทที่ได้สั่งสอนมนุษย์มายาวนาน ทำให้ผมต้องเดินเข้ามาในรั้วเพื่อแสดงมุทิตาจิตทั้งอาจารย์อุษณีย์ ยุชยะทัต ครูที่ปรึกษาประจำห้อง ๔ ในสมัยศึกษาระดับชั้น ม.๖ อาจารย์สุวรรณ ศรีระษา ครูภาษาอังกฤษ อดีตคนข่าวบางกอกโพสต์ที่ผันตัวมาเป็นครู อาจารย์เติมพล อินทรมะยูร ครูสอนพละศึกษาผู้เข้มงวด อาจารย์จรรยา วงศ์อร่าม ครูสอนศิลปะ อาจารย์นนทลี วิชพันธุ์ ครูสอนชีววิทยา และคุณลุงนักการรภารโรงอีก ๑ ท่าน ซึ่งพิธีนั้นก็ผ่านไปแล้วเมื่อเดือนกันยายน

ว่าแต่ ทำไมโรงเรียนถึงต้องใช้พระนามของพระองค์ จริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนักเพราะถูกสร้างมาภายหลังการมี “วัดชิโนรสาราม” ซึ่งวัดนี้ถูกสร้างขึ้นราว พ.ศ.๒๓๗๙ โดยพระองค์เจ้าวาสุกรี พระราชโอรสองค์ที่ ๒๘ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ซึ่งพระยศในตอนนั้นคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นนุชิตชิโนรส เสด็จพระดำเนินทางเรือในคลองมอญผ่านมาพบและให้สร้างวัดขึ้น โดยในช่วงแรกเรียกกันว่า วัดใหม่คลองมอญ
ผมเคยอ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่งในห้องสมุดของโรงเรียนเมื่อสมัยอยู่ ม.๖ (พ.ศ.๒๕๔๔) เท่าที่จำได้ในหนังสืออ้างว่า ในช่วงปลายรัชกาลที่ ๓ พระองค์ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ได้ทรงปรึกษากับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะนั้นยังทรงผนวชมีพระนาม สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามกุฎสมมติวงศ์ พระวชิรญาณมหาเถร ถึงการลี้ภัยทางการเมืองที่อาจจะตามมาภายหลังพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ สวรรคต จึงมาพระดำริร่วมที่จะไปสร้างวัดเล็กๆ ไว้ในเรือกสวน เมื่อถึงยามคับขันจักได้เสด็จออกไปประทับ โดยสมเด็จฯ พระวชิรมหาเถร ได้เสด็จไปสร้างวัดนอก หรือต่อมาคือวัดบรมนิวาศ ส่วนพระองค์เจ้าวาสุกรี ได้เสด็จมาสร้างวัดไว้ที่คลองมอญนี้
แต่ภายหลังรัชกาลที่ ๔ กลับได้ทรงขึ้นครองราชย์ ส่วนพระองค์เจ้าวาสุกรี ก็ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส เมื่อ พ.ศ.๒๓๙๔ ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๗ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ถือเป็นพระราชวงศ์พระองค์แรกที่ได้รับสมณศักดิ์เป็นพระสังฆราช ทรงสิ้นพระชนม์ในวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๔๙๖ เป็นบุคคลหนึ่งที่มีคุโณปการต่อวงการวรรณกรรมไทย ทั้งพระนิพนธ์หลายเรื่องที่คนไทยเคยเล่าเรียน อาทิ ลิลิตตะเลงพ่าย , ปฐมสมโพธิกถา ,ลิลิตกระบวนพยุหยาตราพระกฐินสถลมารคและชลมารค รวมทั้ง โคลงภาพฤาษีดัดตน ที่เราเห็นกันในวัดโพธิ์ ท่าเตียนด้วย หรือบทคำฉันท์ ๑ ที่ถูกนำมาใช้แพร่หลายในยุคสมัยปัจจุบันที่นำมาจากเรื่อง กฤษณาสอนน้อง ซึ่งบางคนอาจไม่ทราบที่มา
"พฤษภกาสร อีกกุุญชรอันปลดปลง
โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี
นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์
สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา"
จนในวาระครบรอบปีพระประสูติกาลที่ ๒๐๐ พระองค์ได้ถูกองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ถวายพระเกียรติคุณให้เป็นบุคคลสำคัญผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรมระดับโลก ประจำปี ๒๕๓๓
พูดถึงวัดชิโนรสฯ ต่ออีกสักนิด เชื่อหรือไม่ว่า ตั้งแต่ศึกษามา ๖ ปี มีแค่ไม่กี่ครั้งที่ได้เข้าไปภายในพระอุโบสถของวัด ๑ ในนั้นคือสมัยที่บรรพชาเป็นสามเณรให้กับโรงเรียนเนื่องในโอกาสครบรอบ ๑๐๐ ปีของการสถาปนา พอหลังจากจบ ม.๖ ก็ได้มาแวะเวียนบ้าง ผมว่าอันที่จริงแล้วตัววัดเองก็น่าทำเป็นสถานที่ให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมได้ เพราะอย่างภายในโบสถ์ก็มีพระอนุสาวรีย์ของสมเด็จฯ ประดิษฐาน มีจิตรกรรมฝาผนังในสมัยก่อนที่ดูเลือนลาง (ไม่แน่ใจว่าปัจจุบันมีการปรับปรุงหรือยัง) หรือตรงหน้าจั่วโบสถ์ก็มีพระปรมาภิไธย จปร. ของรัชกาลที่ ๔ ติดไว้ ด้วยเหตุที่พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์ให้สมบูรณ์ภายหลังที่สมเด็จฯ สิ้นพระชนม์ด้วย

ส่วนโรงเรียนของเรา มาปีนี้มีอายุถึง ๑๑๓ ปีแล้ว นับเป็น ๑ ในโรงเรียนที่เก่าแก่ในย่านฝั่งธนบุรี แม้ว่าแท้จริงแล้วโรงเรียนได้ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี ๒๔๓๘ แต่ก็นับจากปีที่เข้าสู่ระบบการศึกษาของกระทรวงธรรมการ เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๔ เป็นปีเริ่มแห่งการสถาปนา ถ้ารุ่นเดียวกันก็จะมี ศึกษานารี อีกโรงในย่านนี้ ส่วนทวีธาภิเศก ถือเป็นรุ่นพี่ถ้านับปีที่ก่อตั้ง เช่นเดียวกับวัดนวลนรดิศ สถานศึกษาของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
“โรงเรียนวัดชิโนรส” แต่เดิมเป็นโรงเรียนชายล้วน มีถึงระดับชั้น ม.๖ ในปี ๒๔๙๖ ได้เพิ่มโรงเรียนหญิงล้วนขึ้นมา (อักษรย่อ ส.ช.ร.) ให้ศึกษาบริเวณริมคลองมอญ โดยมีวัดกั้นกลาง เคยมีศิษย์เก่าเล่าตำนานคลาสสิคให้ฟังว่าสมัยก่อนตอนที่ยังไม่มีสะพาน ถนนอิสรภาพ มีนักเรียนทวีธาฯ บางคนแอบพายเรือมาจีบเด็กสตรีชิโนฯ จนถูกฝั่งชายล้วนเขม่นด้วย แต่ในเวลาต่อมาก็ถูกยุบรวมเป็นโรงเรียนสห เมื่อปี ๒๕๑๓
ภายในโรงเรียนเคยมีอาคารไม้เก่า มีผู้เล่าให้ฟังว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ตัวอาคารได้ถูกใช้เป็นฐานบัญชาการของพวกทหารญี่ปุ่น แต่น่าเสียดายว่ามันถูกทุบไปเมื่อราวๆ ปี ๒๕๒๓ เหลือเพียงแค่ภาพให้ได้ชมกับอีกสิ่งหนึ่งที่ยังอยู่ คือ ป้ายโรงเรียนที่ทำด้วยไม้ อีกสิ่งหนึ่งที่ถือเป็นแลนด์มาร์กของชิโนฯ ก็คือ พระอนุสาวรีย์สมเด็จฯ ที่ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์เพื่อทรงเททองหล่อพระรูป เมื่อพ.ศ.๒๕๒๑ และ เสด็จเปิดพระอนุสาวรีย์ในวันที่ ๑๑ ธันวาคมปีเดียวกัน ซึ่งปีนี้เองก็ได้มีการเปลี่ยนกางเกงนักเรียนเป็นสีดำ และสร้างรั้วรอบขอบชิดที่ไม่ใช่สังกะสี

มีคนเคยถามผมว่า โรงเรียนดังเรื่องอะไร แหม... ยอมรับเลยว่า ถึงเราจะไม่มีศิษย์เก่าโด่งดัง แบบเพื่อนบ้านทวีธาฯ ที่มี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หรือสุวรรณาราม ที่มี สุเทพ เทือกสุบรรณ แต่เราก็มีอดีตคณบดีนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ และอดีต ส.ส.ที่ชื่อ “ปรีชา สุวรรณทัต” หรือเรื่องอื่น ในยุคที่ผมศึกษาเราก็เด่นมากในเรื่องวงโยธวาทิต รวมไปถึงการให้โอกาสผู้พิการทางสายตาได้ศึกษาจนบางคนมีชื่อเสียงอย่างเช่น โจ้ นพดล บุญลีลากุล ซึ่งต่อมาเป็นนักเปียโนที่เคยออกเทปกับค่ายอาร์เอสมาแล้วในชื่อ "โจ้ เดอะเปียนิส"
ผมว่า หลายๆ คนก็คงรู้สึกเหมือนกันว่า เวลาที่กลับไปโรงเรียนในแต่ละครั้งจะได้พบกับการเปลี่ยนแปลงเสมอ ราวกับว่า พอตอนออกไปนี่โรงเรียนเจริญขึ้นเลย แต่สิ่งที่ผกผันกลับเป็นเสียงบ่นจากอาจารย์ทุกๆ ปี เช่นว่า โหยยย สมัยนี้ไม่เหมือนยุคที่พวกเธออยู่หรอก ร้ายกาจกว่าเยอะ ก็ไม่รู้ว่าท่านพูดให้เราดีใจหรือว่าเรื่องจริง แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไปก็คือประวัติศาสตร์ของช่วงชีวิตหนึ่งที่เราสร้างและสร้างเรามาจากที่นี่ บางคนอยู่มา ๓ หรือ ๖ หรือน้อยกว่านั้น หลายคนได้ทั้งความรู้ พัฒนาการ และเพื่อนแท้ แต่อีกหลายคนกลับไม่ได้สิ่งที่ผมกล่าวมา
เฉกเช่นผม ที่ได้กลับมาร่วมแสดงมุทิตาจิตต่ออาจารย์ ได้เห็นเด็กๆ แสดงความรักและเคารพ ทั้งมอบดอกไม้ หรือร่วมล้อมวงร้องเพลง คนไม่เอาถ่าน ของ บิ๊กแอส ให้แด่อาจารย์อุษณีย์ ที่ปรึกษาของห้อง แม้เวลาของผมกับน้องๆ รุ่นนี้จะต่างกันถึง ๑๓ ปี แต่ความรู้สึกก็คงไม่ต่างกับยุคของผมที่ได้ร้องเพลงคุณครูกระดาษทราย ของทราย เจริญปุระ เท่าไหร่นัก

ทุกคนล้วนมีประวัติศาสตร์เป็นของตัวเอง
การกลับมาก็เสมือนได้รำลึกวีรกรรมที่ทำลงไปในสมัยนั้น แม้จะยืนอยู่ในพื้นดินเดียวกัน แต่... แต่ละรุ่นก็จะมีความรู้สึกต่างกันเสมอ
แต่แน่นอนเมื่อวันเวลาผ่านไป จากที่เคยเข้ามาอยู่รวมกันเป็นหมู่ใหญ่ในแต่ละปี เด็กรุ่นที่เพิ่งจบก็จะกลับมาเยี่ยมเยียนสถานศึกษาเพื่อพบเพื่อน และอาจารย์ แล้วก็จะค่อยๆ จางลง จางลง ไปแบบนี้เป็นวัฎจักรของมัน ด้วยเหตุอันหลายประการในแต่ละปัจเจกที่ทำให้เกิดปัจจัยจนไม่สามารถกลับเข้ามาได้
ว่าแต่คุณล่ะ ได้กลับไปรำลึกความทรงจำที่โรงเรียนเก่าของคุณบ้างมั้ย?....
*******************************
อนึ่ง ศิษย์เก่าท่านใดที่สะดวกก็ขอเชิญไปร่วมงานวันสถาปนา ๑๑๓ ปี ชิโนรสวิทยาลัย อังคารที่ ๑๑ ธันวาคมนี้ โดยจะมีพิธีทำบุญทางพุทธศาสนาตั้งแต่เวลา ๐๗.๓๐ น. - ๑๐.๐๐ น. ส่วนงานโต๊ะจีนปีนี้ทางสมาคมศิษย์เก่าฯ ไม่ได้มีการจัดแต่อย่างใด มีเพียงศิษย์เก่าบางส่วนที่จัดขึ้นกันเองในวันเสาร์ที่ ๑๓ ธันวาคม ที่หอประชุมอาคารอเนกประสงค์ ซึ่งหากสนใจก็สามารถติดต่อไปได้ทางเว็บไซต์เฟซบุ๊กชิโนรสวิทยาลัย (ของศิษย์เก่า)
สมเด็จองค์ วาสุกรี ท่านไท้
ชิโนรสรัตนกวี เฉลิมแหล่ง สยามนา
ขอพระคุณสมณไซร้ ปกเกล้า นิรันดร์"
ขึ้นประโยคนี้มาแน่นอน หลายคนอาจไม่รู้ว่าผมสื่อถึงอะไร แต่หากผู้ที่เคยศึกษาในชิโนรสวิทยาลัย คงจำได้อย่างแม่นยำกับบทสดุดี “สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส” ที่ถูกอัญเชิญพระนามของพระองค์มาเป็นชื่อของโรงเรียน เราจะได้ยินเพลงทุกๆ เช้าก่อนเข้าแถวเคารพธงชาติตามปกติ
เมื่อจบการศึกษาออกมาผมก็มักจะกลับไปร่วมงานวันสถาปนา ๑๑ ธันวาคม ซึ่งตรงกับวันพระสมภพของสมเด็จฯ เพื่อกราบไหว้ขอพร และพบปะอาจารย์ที่เคยสั่งสอนเป็นประจำเกือบทุกปี แต่ในปีนี้พิเศษกว่าสักหน่อย เพราะอาจารย์ที่คุ้นเคยเกษียณอำลาบทบาทที่ได้สั่งสอนมนุษย์มายาวนาน ทำให้ผมต้องเดินเข้ามาในรั้วเพื่อแสดงมุทิตาจิตทั้งอาจารย์อุษณีย์ ยุชยะทัต ครูที่ปรึกษาประจำห้อง ๔ ในสมัยศึกษาระดับชั้น ม.๖ อาจารย์สุวรรณ ศรีระษา ครูภาษาอังกฤษ อดีตคนข่าวบางกอกโพสต์ที่ผันตัวมาเป็นครู อาจารย์เติมพล อินทรมะยูร ครูสอนพละศึกษาผู้เข้มงวด อาจารย์จรรยา วงศ์อร่าม ครูสอนศิลปะ อาจารย์นนทลี วิชพันธุ์ ครูสอนชีววิทยา และคุณลุงนักการรภารโรงอีก ๑ ท่าน ซึ่งพิธีนั้นก็ผ่านไปแล้วเมื่อเดือนกันยายน
ว่าแต่ ทำไมโรงเรียนถึงต้องใช้พระนามของพระองค์ จริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนักเพราะถูกสร้างมาภายหลังการมี “วัดชิโนรสาราม” ซึ่งวัดนี้ถูกสร้างขึ้นราว พ.ศ.๒๓๗๙ โดยพระองค์เจ้าวาสุกรี พระราชโอรสองค์ที่ ๒๘ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ซึ่งพระยศในตอนนั้นคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นนุชิตชิโนรส เสด็จพระดำเนินทางเรือในคลองมอญผ่านมาพบและให้สร้างวัดขึ้น โดยในช่วงแรกเรียกกันว่า วัดใหม่คลองมอญ
ผมเคยอ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่งในห้องสมุดของโรงเรียนเมื่อสมัยอยู่ ม.๖ (พ.ศ.๒๕๔๔) เท่าที่จำได้ในหนังสืออ้างว่า ในช่วงปลายรัชกาลที่ ๓ พระองค์ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ได้ทรงปรึกษากับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะนั้นยังทรงผนวชมีพระนาม สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามกุฎสมมติวงศ์ พระวชิรญาณมหาเถร ถึงการลี้ภัยทางการเมืองที่อาจจะตามมาภายหลังพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ สวรรคต จึงมาพระดำริร่วมที่จะไปสร้างวัดเล็กๆ ไว้ในเรือกสวน เมื่อถึงยามคับขันจักได้เสด็จออกไปประทับ โดยสมเด็จฯ พระวชิรมหาเถร ได้เสด็จไปสร้างวัดนอก หรือต่อมาคือวัดบรมนิวาศ ส่วนพระองค์เจ้าวาสุกรี ได้เสด็จมาสร้างวัดไว้ที่คลองมอญนี้
แต่ภายหลังรัชกาลที่ ๔ กลับได้ทรงขึ้นครองราชย์ ส่วนพระองค์เจ้าวาสุกรี ก็ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส เมื่อ พ.ศ.๒๓๙๔ ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๗ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ถือเป็นพระราชวงศ์พระองค์แรกที่ได้รับสมณศักดิ์เป็นพระสังฆราช ทรงสิ้นพระชนม์ในวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๔๙๖ เป็นบุคคลหนึ่งที่มีคุโณปการต่อวงการวรรณกรรมไทย ทั้งพระนิพนธ์หลายเรื่องที่คนไทยเคยเล่าเรียน อาทิ ลิลิตตะเลงพ่าย , ปฐมสมโพธิกถา ,ลิลิตกระบวนพยุหยาตราพระกฐินสถลมารคและชลมารค รวมทั้ง โคลงภาพฤาษีดัดตน ที่เราเห็นกันในวัดโพธิ์ ท่าเตียนด้วย หรือบทคำฉันท์ ๑ ที่ถูกนำมาใช้แพร่หลายในยุคสมัยปัจจุบันที่นำมาจากเรื่อง กฤษณาสอนน้อง ซึ่งบางคนอาจไม่ทราบที่มา
"พฤษภกาสร อีกกุุญชรอันปลดปลง
โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี
นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์
สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา"
จนในวาระครบรอบปีพระประสูติกาลที่ ๒๐๐ พระองค์ได้ถูกองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ถวายพระเกียรติคุณให้เป็นบุคคลสำคัญผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรมระดับโลก ประจำปี ๒๕๓๓
พูดถึงวัดชิโนรสฯ ต่ออีกสักนิด เชื่อหรือไม่ว่า ตั้งแต่ศึกษามา ๖ ปี มีแค่ไม่กี่ครั้งที่ได้เข้าไปภายในพระอุโบสถของวัด ๑ ในนั้นคือสมัยที่บรรพชาเป็นสามเณรให้กับโรงเรียนเนื่องในโอกาสครบรอบ ๑๐๐ ปีของการสถาปนา พอหลังจากจบ ม.๖ ก็ได้มาแวะเวียนบ้าง ผมว่าอันที่จริงแล้วตัววัดเองก็น่าทำเป็นสถานที่ให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมได้ เพราะอย่างภายในโบสถ์ก็มีพระอนุสาวรีย์ของสมเด็จฯ ประดิษฐาน มีจิตรกรรมฝาผนังในสมัยก่อนที่ดูเลือนลาง (ไม่แน่ใจว่าปัจจุบันมีการปรับปรุงหรือยัง) หรือตรงหน้าจั่วโบสถ์ก็มีพระปรมาภิไธย จปร. ของรัชกาลที่ ๔ ติดไว้ ด้วยเหตุที่พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์ให้สมบูรณ์ภายหลังที่สมเด็จฯ สิ้นพระชนม์ด้วย
ส่วนโรงเรียนของเรา มาปีนี้มีอายุถึง ๑๑๓ ปีแล้ว นับเป็น ๑ ในโรงเรียนที่เก่าแก่ในย่านฝั่งธนบุรี แม้ว่าแท้จริงแล้วโรงเรียนได้ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี ๒๔๓๘ แต่ก็นับจากปีที่เข้าสู่ระบบการศึกษาของกระทรวงธรรมการ เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๔ เป็นปีเริ่มแห่งการสถาปนา ถ้ารุ่นเดียวกันก็จะมี ศึกษานารี อีกโรงในย่านนี้ ส่วนทวีธาภิเศก ถือเป็นรุ่นพี่ถ้านับปีที่ก่อตั้ง เช่นเดียวกับวัดนวลนรดิศ สถานศึกษาของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
“โรงเรียนวัดชิโนรส” แต่เดิมเป็นโรงเรียนชายล้วน มีถึงระดับชั้น ม.๖ ในปี ๒๔๙๖ ได้เพิ่มโรงเรียนหญิงล้วนขึ้นมา (อักษรย่อ ส.ช.ร.) ให้ศึกษาบริเวณริมคลองมอญ โดยมีวัดกั้นกลาง เคยมีศิษย์เก่าเล่าตำนานคลาสสิคให้ฟังว่าสมัยก่อนตอนที่ยังไม่มีสะพาน ถนนอิสรภาพ มีนักเรียนทวีธาฯ บางคนแอบพายเรือมาจีบเด็กสตรีชิโนฯ จนถูกฝั่งชายล้วนเขม่นด้วย แต่ในเวลาต่อมาก็ถูกยุบรวมเป็นโรงเรียนสห เมื่อปี ๒๕๑๓
ภายในโรงเรียนเคยมีอาคารไม้เก่า มีผู้เล่าให้ฟังว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ตัวอาคารได้ถูกใช้เป็นฐานบัญชาการของพวกทหารญี่ปุ่น แต่น่าเสียดายว่ามันถูกทุบไปเมื่อราวๆ ปี ๒๕๒๓ เหลือเพียงแค่ภาพให้ได้ชมกับอีกสิ่งหนึ่งที่ยังอยู่ คือ ป้ายโรงเรียนที่ทำด้วยไม้ อีกสิ่งหนึ่งที่ถือเป็นแลนด์มาร์กของชิโนฯ ก็คือ พระอนุสาวรีย์สมเด็จฯ ที่ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์เพื่อทรงเททองหล่อพระรูป เมื่อพ.ศ.๒๕๒๑ และ เสด็จเปิดพระอนุสาวรีย์ในวันที่ ๑๑ ธันวาคมปีเดียวกัน ซึ่งปีนี้เองก็ได้มีการเปลี่ยนกางเกงนักเรียนเป็นสีดำ และสร้างรั้วรอบขอบชิดที่ไม่ใช่สังกะสี
มีคนเคยถามผมว่า โรงเรียนดังเรื่องอะไร แหม... ยอมรับเลยว่า ถึงเราจะไม่มีศิษย์เก่าโด่งดัง แบบเพื่อนบ้านทวีธาฯ ที่มี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หรือสุวรรณาราม ที่มี สุเทพ เทือกสุบรรณ แต่เราก็มีอดีตคณบดีนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ และอดีต ส.ส.ที่ชื่อ “ปรีชา สุวรรณทัต” หรือเรื่องอื่น ในยุคที่ผมศึกษาเราก็เด่นมากในเรื่องวงโยธวาทิต รวมไปถึงการให้โอกาสผู้พิการทางสายตาได้ศึกษาจนบางคนมีชื่อเสียงอย่างเช่น โจ้ นพดล บุญลีลากุล ซึ่งต่อมาเป็นนักเปียโนที่เคยออกเทปกับค่ายอาร์เอสมาแล้วในชื่อ "โจ้ เดอะเปียนิส"
ผมว่า หลายๆ คนก็คงรู้สึกเหมือนกันว่า เวลาที่กลับไปโรงเรียนในแต่ละครั้งจะได้พบกับการเปลี่ยนแปลงเสมอ ราวกับว่า พอตอนออกไปนี่โรงเรียนเจริญขึ้นเลย แต่สิ่งที่ผกผันกลับเป็นเสียงบ่นจากอาจารย์ทุกๆ ปี เช่นว่า โหยยย สมัยนี้ไม่เหมือนยุคที่พวกเธออยู่หรอก ร้ายกาจกว่าเยอะ ก็ไม่รู้ว่าท่านพูดให้เราดีใจหรือว่าเรื่องจริง แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไปก็คือประวัติศาสตร์ของช่วงชีวิตหนึ่งที่เราสร้างและสร้างเรามาจากที่นี่ บางคนอยู่มา ๓ หรือ ๖ หรือน้อยกว่านั้น หลายคนได้ทั้งความรู้ พัฒนาการ และเพื่อนแท้ แต่อีกหลายคนกลับไม่ได้สิ่งที่ผมกล่าวมา
เฉกเช่นผม ที่ได้กลับมาร่วมแสดงมุทิตาจิตต่ออาจารย์ ได้เห็นเด็กๆ แสดงความรักและเคารพ ทั้งมอบดอกไม้ หรือร่วมล้อมวงร้องเพลง คนไม่เอาถ่าน ของ บิ๊กแอส ให้แด่อาจารย์อุษณีย์ ที่ปรึกษาของห้อง แม้เวลาของผมกับน้องๆ รุ่นนี้จะต่างกันถึง ๑๓ ปี แต่ความรู้สึกก็คงไม่ต่างกับยุคของผมที่ได้ร้องเพลงคุณครูกระดาษทราย ของทราย เจริญปุระ เท่าไหร่นัก
ทุกคนล้วนมีประวัติศาสตร์เป็นของตัวเอง
การกลับมาก็เสมือนได้รำลึกวีรกรรมที่ทำลงไปในสมัยนั้น แม้จะยืนอยู่ในพื้นดินเดียวกัน แต่... แต่ละรุ่นก็จะมีความรู้สึกต่างกันเสมอ
แต่แน่นอนเมื่อวันเวลาผ่านไป จากที่เคยเข้ามาอยู่รวมกันเป็นหมู่ใหญ่ในแต่ละปี เด็กรุ่นที่เพิ่งจบก็จะกลับมาเยี่ยมเยียนสถานศึกษาเพื่อพบเพื่อน และอาจารย์ แล้วก็จะค่อยๆ จางลง จางลง ไปแบบนี้เป็นวัฎจักรของมัน ด้วยเหตุอันหลายประการในแต่ละปัจเจกที่ทำให้เกิดปัจจัยจนไม่สามารถกลับเข้ามาได้
ว่าแต่คุณล่ะ ได้กลับไปรำลึกความทรงจำที่โรงเรียนเก่าของคุณบ้างมั้ย?....
*******************************
อนึ่ง ศิษย์เก่าท่านใดที่สะดวกก็ขอเชิญไปร่วมงานวันสถาปนา ๑๑๓ ปี ชิโนรสวิทยาลัย อังคารที่ ๑๑ ธันวาคมนี้ โดยจะมีพิธีทำบุญทางพุทธศาสนาตั้งแต่เวลา ๐๗.๓๐ น. - ๑๐.๐๐ น. ส่วนงานโต๊ะจีนปีนี้ทางสมาคมศิษย์เก่าฯ ไม่ได้มีการจัดแต่อย่างใด มีเพียงศิษย์เก่าบางส่วนที่จัดขึ้นกันเองในวันเสาร์ที่ ๑๓ ธันวาคม ที่หอประชุมอาคารอเนกประสงค์ ซึ่งหากสนใจก็สามารถติดต่อไปได้ทางเว็บไซต์เฟซบุ๊กชิโนรสวิทยาลัย (ของศิษย์เก่า)