xs
xsm
sm
md
lg

ถ้าจะพลาดก็เพราะเรื่องทุจริต

เผยแพร่:   โดย: พระบาท นามเมือง

เป็นเรื่องกันมาจนได้ และถือเป็นการเปิดตัวที่ถือว่าไม่ค่อยดีเท่าไรสำหรับรัฐบาลใหม่ เมื่อการปรับปรุงห้องประชุมใหม่ต้อนรับคณะรัฐมนตรีใหม่ถอดด้ามของบิ๊กตู่ เกิดส่งกลิ่นขึ้นมากลายเป็นเรื่องอื้อฉาว เมื่อพบว่า อุปกรณ์ในห้องประชุมนั้น ตั้งแต่ไมโครโฟนไปจนถึงจอแสดงภาพนั้น มีราคาแพงมหาศาล

จากราคาเดิมที่ปูดออกมา ไมโครโฟนตัวละแสนสี่ จอภาพจอละห้าแสน แถมเป็นเทคโนโลยีพลาสมาที่ตกยุคไปแล้ว โทรทัศน์ในบ้านรุ่นใหม่ๆ เขายังไม่ใช้กัน

นอกจากนี้ก็มีก้านไมค์ก้านละหมื่นแปด ขายึดจอภาพกับผนังหมื่นเก้า โคมไฟอีกแสนสาม

นอกจากจอภาพแล้ว พวกไมค์และขาไมค์ต้องเอา 181 คูณไป เพราะเป็นราคาต่อตัวเท่านั้น เรียกว่าคิดราคาออกมาแล้ว เรียกเสียงฮือฮาจากประชาชนได้เป็นอย่างดี

แถมเรียกแขกไม่พอ ยังเป็นการ “ปลุก” ให้บรรดาเสื้อแดงที่เงียบที่ซ่อนอยู่นานแล้ว ลุกขึ้นมาเฮฮากันได้อีกอย่างช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะเป็นแผลที่รัฐบาลเปิดขึ้นมาให้เขาจิกได้เองแท้ๆ ถือว่าเป็นเรื่องพลาดพลั้งในทางการเมือง

แม้เราจะยังฟันธงไม่ได้หรอกว่านี่เป็นเรื่องทุจริตไม่โปร่งใส เพราะที่ไมค์จะแพงนั้นก็มีเหตุผลอยู่ นั่นเพราะอุปกรณ์พวกนี้เป็นอุปกรณ์พิเศษที่มีระบบรักษาความปลอดภัยสูงระดับเดียวกับที่ใช้ในทำเนียบขาว (บางคนล้อเอาว่าเป็นไมค์วิเศษพูดแล้วเสียงกร้าวๆ ของท่านนายกฯ และขุนทหารจะนุ่มนวลชวนฟังขึ้น อันนี้ก็แซวกันขำๆ) ซึ่งเหตุผลนี้อาจจะพอฟังได้

เหมือนที่เราไม่ควรเอาราคาคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ไปเทียบกับราคาคอมพิวเตอร์ตามบ้าน หรืออุปกรณ์เครื่องเสียงห้องประชุมก็ไม่เหมือนเครื่องเสียงที่เราฟังกันตามบ้าน แม้จะยี่ห้อเดียวกันก็ตาม มันก็มีเกรดที่เรียกว่า PA หรือ Public Audio ใครที่เล่นเครื่องเสียงคงเข้าใจได้ หรือที่ฝ่ายเสื้อแดงพยายามตีประเด็นว่าบริษัทผู้ขายโยงใยกับเครือข่าย กปปส.ก็คงไม่เป็นประเด็นที่มีน้ำหนัก เพราะดูจากชื่อบริษัทผู้ขายแล้ว เขาก็เป็นมืออาชีพในทางเครื่องเสียงมานาน โดยเฉพาะเครื่องเสียงห้องประชุม สำนักงาน ทั้งรัฐทั้งเอกชน ก็มักจะซื้อกับเจ้านี้เป็นตัวเลือกแรกๆ ทั้งนั้น

แต่กระนั้น ด้วยราคาที่เปิดมาสูงเกินไป จนคล้ายจะไม่มีเหตุผลกับจำนวนที่ไม่รู้ว่าจำเป็นขนาดนั้นหรือไม่ถึง 181 ตัว (ครม.มีเพียง 33 คน ไมค์ที่เหลืออีกเกือบ 150 ตัว น่าจะสำหรับผู้เกี่ยวข้อง ผู้ติดตาม ผู้ชี้แจง ถามว่า จำเป็นขนาดต้องใช้ไมค์เกรดรัฐมนตรีครบทุกที่นั่งเชียวหรือ ?) ก็ห้ามประชาชนตั้งข้อสงสัยเสียไม่ได้

แม้ในที่สุดจะมีการเปิดเผยว่า เป็นเรื่องของฝ่ายข้าราชการประจำคือกรมโยธาธิการและผังเมืองจัดหามา ทางฝ่ายรัฐบาลใหม่เอี่ยมนี้ไม่เกี่ยว แต่กระนั้น ก็ยังถือว่ามีเรื่องเข้าใจยากอยู่ดี เมื่อฝ่ายผู้รับผิดชอบบอกอ้างว่า ยังไม่ได้เซ็นสัญญา ยังไม่ได้สั่งซื้อ และราคานี้ยังต่อรองกันได้อีก ในที่สุดก็ตกลงลดราคาลงไปได้ 35%

แต่ปัญหาก็คือว่า ในเมื่อยังไม่ได้จัดซื้อจัดจ้าง แล้วเอกชนเอามาติดตั้งแล้วพร้อมใช้ได้อย่างไร ในระบบราชการมีการสั่งซื้อแบบลองใช้ก่อนคิดเงินกันทีหลังด้วยหรือ และเอกชนที่ไหนใจดีขนาดยอมเอาของราคาเป็นแสน (ถึงลดราคาแล้วหรือคิดราคาทุนก็ยังหลายหมื่นอยู่ดี) มาให้ใช้ก่อนเรื่องเงินเรื่องสัญญาว่ากันทีหลัง มีอย่างนี้ด้วยหรือ

ภายหลังแม้มีการมาแก้ไขแก้ข่าวกันว่า ตกลงไมค์ที่ว่านี้ยังลดได้อีกจนราคาไม่ถึงแสนแล้ว หรือจอภาพก็เปลี่ยนจากระบบพลาสมาเป็นแอลอีดี ที่เป็นเทคโนโลยีที่ใหม่กว่า ถูกกว่า แต่โดยรวมแล้วมันก็ยังแค่ “ถูกลง” แต่ปัญหาเรื่องความโปร่งใส กลไกการจัดซื้อจัดจ้าง ทำไมของยังไม่ได้ซื้อถึงเอามาติดมาใช้ได้ และถ้าตกลงกันไม่ได้ไม่ซื้อแล้วเขาจะมารื้อคืนไปไหม นั่นเป็นเรื่องที่ผู้เกี่ยวข้องยังต้องเคลียร์กับสาธารณชนกันต่อไป

ปัญหาเรื่องไมค์แพงที่ปูดออกมารับน้องนี้ถือเป็นเรื่องที่ท่านบิ๊กตู่ และครม.คงจะต้องถือเป็นบทเรียนบทใหม่ ในการเข้ารับอำนาจการเมืองของรัฐ

เรื่องที่หนึ่ง คือ รัฐมนตรีจะต้องระวังตัวมากกว่านี้ในการให้ข่าว โดยเฉพาะท่านต้นเรื่อง คือ หม่อมหลวงปนัดดา ที่เป็นเหมือน “ตัวเรียกแขก” ประจำคณะรัฐมนตรี เพราะก่อนหน้านี้ก็โพสต์เฟซบุ๊กจนเกือบสร้างความขัดแย้งให้บรรดาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมาแล้ว

เรื่องไมโครโฟนตัวละแสนสี่นี้ก็เป็นเรื่องที่ท่าน “เปิด” ออกมาเอง และในที่สุดก็เป็นการแหวกแผลให้ “แร้งกา” มาแทะทึ้ง

“แร้งกา” คืออะไร ก็ได้แก่นักการเมืองที่ยังแค่สลบ ไม่ยอมตาย

นักการเมืองที่มีชื่อเสีย(ง)มาตลอดเรื่องการทุจริตประพฤติมิชอบทั้งหลาย แม้การควบคุมอำนาจของ คสช.นี้จะไม่ได้มีเหตุผลโดยตรงมาจากความทุจริตของรัฐบาลเดิมเหมือนการรัฐประหารครั้งก่อนหน้าในประวัติศาสตร์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การลุกฮือขึ้นมาของมวลมหาประชาชน จนบานปลายมาสู่การควบคุมอำนาจการปกครองของ คสช. และเดินทางมาจนเป็นรัฐบาล มีบิ๊กตู่เป็นนายกฯ นี้ ก็เนื่องมาจากการที่ประชาชนทนไม่ไหวกับการทุจริตและพฤติการณ์ไม่โปร่งใสของรัฐบาลเก่านั่นเอง

ดังนั้น เมื่อรัฐบาลใหม่ ที่เป็นรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากนักการเมือง เริ่ม “ส่งกลิ่น”

นักการเมืองและพวกสนับสนุนนักการเมืองก็ตีปีกกันเบิกบาน ว่าดูสิ เห็นไหม ไม่ต้องเป็นนักการเมืองก็โกงได้ ไม่เป็นนักการเมืองก็ใช้เงินหลวงเงินรัฐที่มาจากภาษีประชาชนอย่างฟุ่มเฟือย หรือกระทั่งพวกสายประชานิยมสุดโต่งที่ว่า โกงก็ไม่เป็นไร ขอให้แบ่งให้ประชาชน ก็ยิ่งได้ใจออกมาชี้ว่า ไม่มีใครหรอกที่ไม่โกง ดังนั้นให้หาคนโกงที่กินแล้วมีแบ่ง ที่ประชาชนรักมาปกครองประเทศจะดีกว่า

รวมทั้งนักประชาธิปไตยตามแบบพิธี ก็รีบออกมาบอกว่า เห็นไหมว่า ระบอบไหนก็มีคนโกง นักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยนั้นดีกว่า ตรงที่ประชาชนยังได้เลือก (คนเข้ามาโกง ?) หรือถึงโกงก็ตรวจสอบได้ง่าย (จริงหรือ)

จะเห็นได้ว่า รัฐบาลที่มาแก้ปัญหา ไม่ได้มาตามกระบวนการประชาธิปไตยตามปกติ หากมีเรื่องไม่โปร่งใส แล้วมันเสียหายขนาดไหน

และเป็นความเสียหายที่เกิดจากการการ์ดตกไปรับหมัดเขาจนเป๋เองด้วย

แม้เราไม่อาจสรุปได้ตอนนี้ว่าการจัดซื้อจัดจ้างปรับปรุงห้องประชุม ซื้อไมโครโฟนและอุปกรณ์การประชุมนี้ มีปัญหาความโปร่งใสหรือมีเรื่องไม่ชอบมาพากลหรือไม่ ซึ่งต้องตรวจสอบกันต่อไป แต่ที่แน่ๆ แม้จะไม่มีการทุจริตใดๆ แต่เรื่องความ “แพง” ก็ยังเป็นข้อสังเกตสำหรับประชาชนอยู่ดี

แต่ก็ถือว่าเป็นบทเรียนให้รัฐบาลใหม่พึงระวังอย่างยิ่งในโอกาสต่อไป ว่าการใช้จ่ายเงินแผ่นดินต้องระวังให้โปร่งใส และอย่าเป็นจำนวนเงินมากเกินไปจนคล้ายจะฟุ่มเฟือยให้ประชาชนรู้สึกตั้งคำถามเช่นนี้ได้อีก.
กำลังโหลดความคิดเห็น