เมื่อต้นเดือน ก.พ.เว็บไซต์เดลิเมล์ ของประเทศอังกฤษ ได้ตีพิมพ์ข่าวโดยอ้างอิงผลการศึกษาจากยูโรมอนิเตอร์ซึ่งระบุว่า “ชาวเกาหลีใต้ เป็นชนชาติที่ดื่มแอลกอฮอล์ที่มากที่สุดในโลก” เฉลี่ยคนละ ๑๓.๗ ช็อตต่อสัปดาห์เลยทีเดียว ถือเป็นอันดับ ๑ มากกว่าชาวสยาม ซึ่งอยู่ในลำดับที่ ๔ ถึง ๙.๒ ช็อต อันนี้คือผลการวิจัยจากกลุ่มตัวอย่าง ๔๔ ประเทศทั่วโลก
พอเห็นข่าวนี้ผมก็คิดว่าดูท่าจะจริง จากที่ได้ไปสัมผัสชีวิตการทำงาน ผมสังเกตว่า เขาจะมีแผนกเอ็นเตอร์เทนลูกค้าด้วย ในช่วงที่พักทานอาหาร พนักงานเหล่านี้จะเข้ามารับช่วงต่อในการพูดคุยกับพวกเรา ชวนรับประทานอาหารท้องถิ่นและชวนดื่มในรูปแบบต่างๆ แต่พอช่วงวิชาการแกก็หายตัวไป
อ่อ ... อย่าตกใจครับ พนักงานที่ว่าเนี่ยมีแต่ผู้ชายทั้งนั้น ไม่ได้พาไปในที่เสื่อมเสียด้วย แค่สร้างบรรยากาศที่ดีในร้านอาหารเท่านั้น
มื้ออาหารกลางวัน (แต่ได้กินตอนบ่ายแก่ๆ ) ในวันแรกของการเดินทาง โต๊ะผมมีแต่ผู้ชายจึงเป็นโชคให้พวกเขาพนักงานเหล่านี้ได้แสดงฝีมือกันเต็มที่ เริ่มจากการชวนดื่มเบียร์ และโชจู เหล้าหมักคล้ายๆ สาโทแบบบ้านเรา ก่อนที่พี่คนหนึ่งจะโชว์การดื่มแบบพิเศษให้พวกเราได้อึ้งกัน เขาเรียกมันว่า “บอมบ์!!” วิธีเล่นของเขาคือ เทเบียร์ใส่แก้ว แล้วใส่โชจูลงไปจากนั้นก็ใช้ช้อนกระทุ้งไปที่ก้นแก้วแรงๆ มันก็จะเป็นฟองคล้ายๆ กับระเบิดพุ่งขึ้นมา
สักพักพี่แกก็ชวนให้ทุกคนในโต๊ะเล่นกับแก (ผมก็โดนด้วย) รู้สึกเสียวทำแก้วแตกมากครับ แล้วพี่ท่านก็เล่นอีกอย่างคือเอาแก้ววางเรียงกันเทเบียร์ใส่ลงไป แล้วเอาโชจูใส่ในแก้วช็อต (แก้วยาดอง) วางบนขอบปากแก้วที่ใส่เบียร์แล้วใช้นิ้วผลักให้มันลงไปในแก้วเป็นโดมิโน่ อันนี้จำชื่อไม่ได้จริงๆ
เล่าเหมือนผมเมาในเวลางาน ต้องชี้แจงเลยว่าไม่ใช่ครับ เวลาที่ทานคือเขาเลิกงานแล้ว และเขาถือว่าเป็นมารยาทในวัฒนธรรมการกิน ไอ้เราก็ปฏิเสธนะแต่มันไม่สำเร็จ เลยต้องตามน้ำกันไป เข้าใจตรงกันนะ
หรืออย่างมื้อเย็นวันสุดท้ายของการชมงานก็จะมีการเลี้ยงปิดท้ายผู้บริหารก็จะมาร่วมดื่มกับพนักงาน และคณะสื่อฯ ในหลายๆ โต๊ะผู้บริหารจะเดินมารินสุราโชจูให้พวกเราดื่ม ตอนนั้นเราก็แอบงงๆ ว่า เออ เฮ้ย แกอารมณ์ไหนวะ ทำไมลงมาชวนชนแก้วกันถึงขนาดนี้ จนผมมาถึงบางอ้อเมื่อค้นหาข้อมูลในภายหลัง
บทความจากเว็บไซต์ mykorean4life.blogspot.com อธิบายถึงธรรมเนียมการดื่มหรือที่เรียกว่า "เฮวซิก" ว่าเป็นการสร้างเสริมความสัมพันธ์บุคคลภายในองค์กรและลดช่องหว่างระหว่างกันครับ คนเกาหลีมักจะมีการดื่มในมื้ออาหารเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีมารยาทในการดื่มเช่น ถ้าผู้ใหญ่รินให้ผู้น้อยต้องดื่มให้หมดด้วย มันก็เลยกลายเป็นว่า เกาหลีใต้คือชาติที่ดื่มเก่งที่สุดนั่นเอง (พาไปเมากันตลอด) ส่วนไอ้ที่เอาเบียร์มาผสมกับโชจูนั่นก็เพื่อเพิ่มความเมามากขึ้น ไอ้สิ่งนี้เขาเรียกว่า "โซแมก"
กลับมาที่การเดินทางของผมต่อครับ ในช่วงค่ำของวันที่ ๒ เราได้มีโอกาสไปชมโชว์ที่มีชื่อเสียงอย่างนึง ที่ชื่อว่า “จัมพ์” ถ้าใครเคยดูภาพยนต์เรื่องกวนมึนโฮ ก็คงพอจะจำได้ มันเป็นการแสดงทักษะการต่อสู้ประกอบละครเวทีเรื่องราวความรักระหว่างไอ้หนุ่มแว่นพลังม้ากับลูกสาวบ้านกังฟู และโจรกระจอก ๒ คน ที่ทำให้กลายเป็นความฮาเกิดขึ้น ซึ่งการแสดงชุดนี้เริ่มมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๖ และยังออกไปทำการแสดงอีกหลายประเทศทั่วโลกรวมทั้งบ้านเราด้วย
ความรู้สึกส่วนตัวมันก็สนุกนะ แต่ละฉากทำออกมาได้สมดุลมีความสำคัญในทุกตัวละคร และยังมีการแสดงคั่นช่วงเปลี่ยนฉาก ตามสไตล์โชว์ของชาตินี้ (พอดีเคยดูโชว์นันทา ที่เกี่ยวกับเรื่องราวในร้านอาหารมาก่อน) ในตอนสุดท้ายนักแสดงจะออกมาแจกลายเซ็นผู้ชมด้านนอกห้อง พร้อมทั้งมีร้านขายของที่ระลึกด้วย ก็ดีครับ ชอบที่สุดคือ นางเอกหุ่นดีมาก (ใช่เหรอคุณดรงค์?)
เมื่อการแสดงจบก็ได้เวลากลับสู่ที่พัก แต่... ผมไม่จบครับ บังเอิญมีผู้ให้ข้อมูลมาว่า แถวนั้นจะมีห้างที่เปิดกลางคืนขายเสื้อผ้าเกาหลี ไอ้ผมก็อยากรู้อยากเห็นเป็นเดิมทุน จึงชักชวนน้องต่างสำนักไปสำรวจกัน ที่ผมว่านี้คือย่าน “ทงแดมุน” (Dongdaemun) ครับ ชื่อคุ้นๆ เหมือนร้านอาหารเกาหลี ซ.รามบุตรี ซึ่งแถวนี้เป็นแหล่งการค้าเก่าแก่มาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๔๘ ก่อนที่จะได้รับการเริ่มปรับปรุงเป็นศูนย์การค้าในช่วงพุทธทศวรรษที่ 2510 เป็นศูนย์กลางแห่งอุตสาหกรรมสิ่งทอทั้งขายปลีกและค้าส่ง จนกลายเป็นแหล่งการค้าขนาดใหญ่อีกแห่งของโซล
ช่วงที่มาถึงราวๆ สามทุ่ม ร้านค้าปกติก็เริ่มจะปิด จะมีก็แต่ห้าง ๓ ตึกที่อยู่บนถนนใหญ่ ข้างในก็เป็นร้านขายเสื้อผ้าย่อยๆ ขอให้นึกภาพของแพลตตินั่ม ประตูน้ำบ้านเรา มันใช่เลยล่ะ มีสินค้าทั้งที่พิมพ์ตรา เมด อิน โกเรีย และชาติอื่น มีหลายแนวมาก แต่ราคาจัดว่าแพงสำหรับผม เสื้อยืดธรรมดาตีเป็นเงินไทย ๓๐๐ บาท ขึ้น เพิ่มเงินอีกนิดซื้อของมียี่ห้อได้เลย หรืออย่างพวกของที่ระลึกก็มีขายด้วย เช่น ช้อน ตะเกียบเงินแบบเกาหลี ที่ติดตู้เย็น และอื่นๆ
และที่นี่ล่ะครับผมไปเจอดีเข้า!!
พ่อค้าเกาหลีก็คล้ายๆ กับบ้านเราล่ะครับ เขาจะทักคุณเมื่อเดินผ่านหน้าร้าน ไล่เดาสัญชาติเราไปเรื่อย เช่น มาเลเซี้ย ไตแล้น ถ้าเรายิ้มตอบก็จะชวนเราเข้าร้าน แต่ถ้าเดินหนีก็จะพูดเสียงดังๆ หน่อย (อันนี้เป็นลักษณะเฉพาะ เขาอาจจะไม่ได้โกรธเราก็ได้) แต่หน้าแกไม่มีรอยยิ้มทั้งนั้น ผมกำลังมองหากางเกงขาสั้นอยู่ เจอร้านนึงมีของที่อยากได้ เลยตรงเข้าไปถามราคา ชายหนุ่มวัยไม่น่าเกิน ๒๕ สักลายที่แขน แต่งกายเป็นแนวฮิปฮอปหน่อย ก็เริ่มเจรจาราคาเปิดมาราว ๑,๐๐๐ บาท โอ้ว... พ่อคุณ ผมส่ายหน้าพยายามเดินออก
เขาซึ่งอยู่ในคอกนำเครื่องคิดเลขออกมากดราคาลดลงไปเหลือราว ๗๐๐ บาท ผมก็ไม่เอา เพราะรู้สึกมันแพงไป พอเดินออกพี่แกดูท่าไม่พอใจก็โวยวาย แล้วปาเครื่องคิดเลขใส่กองกางเกงอย่างแรงก่อนที่มันจะกลิ้งตกลงมาบนพื้น ผมกับน้องอีก ๒ คนแม่งตกใจมาก นี่กูไปทำอะไรให้เขาโกรธเคืองขนาดนี้ แค่ไม่ซื้อกางเกงมึงเนี่ยนะ เลยรีบชิ่งลงบันไดออกจากชั้นนั้นอย่างเร็ว เป็นประสบการณ์ที่แสนจะประทับใจจริงๆ
วันถัดมาคณะทัวร์พาเราไปทางตอนใต้เพิ่มชมสำนักงานใหญ่เค-วอเตอร์ และฝายกังจอง กลับมาถึงที่พักก็ปาไป ๕ ทุ่มไม่ได้แว่บเลย บังเอิญพี่นักข่าวรุ่นใหญ่แกชวนไปนั่งร้านฝั่งตรงโรงแรม ผมด้วยความอยากรู้ก็เลยตามไปด้วย ร้านนี้ขายอาหารเกาหลีพวกกับแกล้มเหล้าครับ เป็นร้านแผงลอยอยู่ในซอยข้างถนน ในหนังเรื่องกวน มึน โฮ ก็จะมีฉากนึงที่พระเอกกินปลาหมึกสด นั่นล่ะครับ ใช่เลย เมนูก็พวกหมูปิ้ง เนื้อสัตว์ผัดกิมจิ ซุปกิมจิ อะไรประมาณนี้แต่วันนั้นไม่มีปลาหมึกยังไม่ตายขายนะ ชาวเกาหลีก็จะมานั่งเมากันอยู่ที่นี่เยอะมาก (เห็นบางคนเมาแล้วโบกแท็กซี่ไม่ไปมีโมโหพยายามไล่เตะรถด้วย)
อารมณ์แล้วนึกถึงร้านลาบน้ำตกข้างทางบ้านเรายังไง อย่างงั้น
วันสุดท้ายของการอยู่เกาหลีใต้ ผู้บริหารเค-วอเตอร์ ได้ขึ้นมากล่าวขอบคุณคณะสื่อมวลชนบนรถบัสอำลาการดูงาน ก่อนที่เราจะไปทัศนศึกษาต่อกันที่หอคอยบรรหาร เอ๊ยไม่ใช่ เอ็น โซลทาวเวอร์ ต่างหาก ซึ่งหอคอยโซล หรือ “นัมซานทาวเวอร์” (Namsan Tower) ถือเป็นอีก ๑ สถานที่ไฮไลท์ของเมือง ทัวร์ต่างๆ ก็มักจะพานักท่องเที่ยวมาชม โดยสร้างขึ้นเมื่อพ.ศ. ๒๕๐๔ เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชม พ.ศ.๒๕๒๓ มีความสูงกว่า ๒๓๖.๗ เมตร ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น เอ็น โซลทาวเวอร์ ซึ่งตัว N มาจากคำว่า New นั่นเอง ซึ่งยอดเสายังเป็นที่ส่งสัญญาณกระจายคลื่นความถี่วิทยุและโทรทัศน์หลายสถานีด้วย
ตัวหอคอยนัมซานยังมีสิ่งที่น่าสนใจอย่าง เคเบิล คาร์ ที่เชื่อมระหว่างด้านพื้นดินขึ้นมาบนเขา อันนี้ผมไม่ได้ขึ้น มีโซนขายของที่ระลึก ร้านอาหาร ด้านบนยอดขึ้นไปจุดชมวิวเห็นทิวทัศน์ทั่วทั้งโซล เบื้องหน้าเป็นเมืองทันสมัย มีฉากเป็นภูเขาโอบล้อม แต่ต้องเสียตังค์เข้าไปด้วย และที่เลื่องชื่อที่สุดคือจุดที่คู่รักจะมาล๊อคกุญแจกันริมรั้วเพื่อให้ครองรักกันยาวนานก่อนจะโยนลูกกุญแจทิ้งไป ผมเห็นหนุ่มสาวหลายคนนำกุญแจหลากรูปแบบมาล๊อกไว้ที่รั้วต่อๆ กันเต็มไปหมด ก็ดูสวยงามหลากสีสันดี
ก็ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นหลายๆ คู่ยังคงสวีทกันอยู่หรือเปล่าหนอ ....
แต่ที่ดูเหมือนจะไม่น่าสนใจสำหรับผมเลยก็คือ “พิพิธภัณฑ์เทดดี้ แบร์” ที่อยู่ภายในหอคอยนั่นล่ะ ตอนที่ไกด์บอกว่าเดี๋ยวเราจะต้องเข้านะ ในใจผมคิดโอ้แม่งคงมีแต่หมีแบ๊วๆ เต๊ะท่าให้คนถ่ายรูปแน่ๆ พอเขาพาเข้าไปกลับต้องตกใจ... มันไม่ใช่อย่างจินตนาการเลยครับ หมีหลากรูปแบบถูกเซ็ทตัวให้มีเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เกาหลี ตั้งแต่เริ่มสร้างเมือง ประดิษฐ์อักษร ประเพณีของราชวงศ์ จนถึงยุคเปลี่ยนแปลงสู่วัฒนธรรมยุคใหม่ ในธีมที่ชื่อว่า อดีต ปัจจุบัน และอนาคตของโซล เฮ้ย มันเจ๋งมาก เป็นการสอนแบบคร่าวๆ ให้เด็กๆ ที่มาดูได้เข้าใจความเป็นมาของชาติตัวเอง ซึ่ง แหม ทำไมบ้านเราไม่ทำบ้างวะ?
จริงๆ พิพิธภัณฑ์นี้ ในไทยก็มีนะครับ ใช้ชื่อว่า พิพิธภัณฑ์ตุ๊กตาหมีพัทยา เปิดตัวเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ผมยังไม่เคยไป แต่จากข้อมูลว่า เจ้าของเป็นชาวเกาหลีสร้างภายใต้คอนเซ็ปที่ว่า การเดินทางท่องเที่ยวตามล่าหาสมบัติกับเทดดี้แบร์ หวังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวใหม่อีกแห่งของสยาม ให้นักท่องเที่ยวได้มาถ่ายรูป แต่ธีมของพิพิธภัณฑ์นั้นไม่เหมือนกับที่โซลนะครับ เพราะมีเรื่องของสยามเพียงแค่โซนเดียว นอกนั้นเป็นจิปาถะ
เมื่อถึงเวลาอันสมควร คณะทัวร์ก็พาเราไปยังสถานที่สุดท้ายของทริป มาที่ “พิพิธภัณฑ์ศิลปะสามมิติ” (Trick eye) อันโด่งดังครับ ที่นี่จะจัดแสดงงานภาพแบบลวงตาให้เราเข้าไปร่วมสนุกกับภาพเสมือนว่าเราอยู่ในภาพหรืองานศิลปะนั้นๆ เลย ซึ่งที่นี่น่าจะเป็นผู้นำเทรนด์พิพิธภัณฑ์แบบนี้ในบ้านเราเลยล่ะ ซึ่งก็มีภาพจัดแสดงไว้อย่างหลากหลายให้ได้ร่วมสนุกกัน นอกจากนี้ยังมีโซนห้องเย็น เอ๊ยเมืองน้ำแข็งด้วย ภายในก็มีของเล่นมากมาย ให้ได้หนาวเย็นกัน ความรู้สึกเราแบบนี้ ... นี่มันเมืองหิมะ ในสวนสนุกดรีมเวิร์ลด์ชัดๆ
ซึ่งพิพิธภัณฑ์นี้อยู่ในย่าน ฮงแด (Hongdae) ใกล้กับมหาวิทยาลัยฮงอิ๊ก (Hongik) แหล่งแฟชั่นของวัยรุ่นอีกที่หนึ่ง แถวนี้นอกจากจะมีมิวเซียมแล้ว ยังมีร้านค้าเสื้อผ้าราคาถูก (ถูกของเขานะ) อีกด้วย ผมสำรวจไปพบกับร้าน “ฮัลโหล คิตตี้ คาเฟ่” (Hello Kitty cafe) ร้านอาหารสำหรับคนชอบคิตตี้อย่างผมอยู่ด้วย (โถ...ไม่ดูหน้าเลย) ทั้งตัวร้านตกแต่งด้วยสีชมพูอ่อน ภายในก็มีสินค้ามากมาย แต่ผมได้แค่ไปด้อมๆ มองๆ ไม่มีโอกาสได้ชิม เพราะเวลาเหลือน้อย แต่โชคก็เข้าข้างผม เมื่อตอนกลับมาที่สนามบินอินชอน ระหว่างรอขึ้นเครื่องบินกลับประเทศสยาม ก็ได้ไปเจอร้านแบบนี้อีกครั้ง คราวนี้จึงได้เก็บภาพถ่าย พร้อมซื้อนมเย็นปั่นมาชิมด้วยความปลื้มใจ
จริงๆ แล้วการไปกับทัวร์ก็ดีเหมือนกันนะ รถจะพาท่านไปส่งถึงที่หมายแบบสบายๆ มีไกด์ทั้งชาวไทย และชาวท้องถิ่นอธิบายไอ้โน่น ไอ้นี่ ไอ้นั่น รวมทั้งคำศัพท์สนุกๆ บางคำ เช่น ไกด์คนนี้จะเรียกตัวเองว่า อาจุมม่า ซึ่งแปลว่า ป้า หรือพูดคำขอบคุณอย่าง คัมซามิดะ ที่ผมชอบมาล้อว่า คลำซะเมียด่า อย่างไกด์ชาวไทยเราก็ได้คุยกันเรื่องประวัติศาสตร์เกาหลีหรือวิถีของคน รวมทั้งข้อมูลบางสถานที่ นั่นคือข้อดี
ที่ไม่ค่อยปลื้มสักเท่าไหร่ก็คือเรื่องของโปรแกรมที่เราต้องไปโดยที่ไม่ได้อยากเหมือนเวลาแบ็กแพคไปเที่ยว แต่ในกรณีนี้คือผมมาทำงานจึงบ่นอะไรไม่ได้อยู่แล้ว หรืออย่างจุดสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่อง เขาพาไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านซื้อของฝากนั่นล่ะครับ เข้าใจว่าทุกทัวร์ก็ต้องมาลงกันที่นี่เพื่อละลายเงินวอนที่ยังมีอยู่กัน บ้างก็ว่าราคาถูก และเมื่อเข้าไปก็ได้พบกับสินค้ามากมาย ที่ เอิ่ม...มันก็ดีอยู่หรอกทั้งลูกอมรสโสม สาหร่ายแผ่น นมกล้วย ช็อกโกแลต ไปกระทั่งหม้อ กระทะ มีครบ แถมยังแพ็คให้เสร็จเรียบร้อยเมื่อซื้อในราคาที่กำหนด นั่นคือข้อดี
แต่สันดานส่วนตัวเป็นคนไม่ชอบอะไรแบบนี้ และราคาบางสิ่งก็ไม่ใช่ว่าจะถูกกว่าร้านปลีกเท่าไหร่...นะ
เอาเข้าจริง ในคราแรก เกาหลีใต้ เป็นประเทศหนึ่งที่ผมไม่เคยคิดจะอยากมาเลย ไม่ได้ปลื้มใจอะไรกับวัฒนธรรม ผู้คน สถาปัตยกรรม หรืออะไรต่างๆ ที่มันออกผ่านสื่อสักเท่าไหร่ แต่พอเมื่อได้มาสัมผัสแล้ว เออ มันมีอะไรที่น่าค้นหาอีกมากมายแหะ ประวัติศาสตร์ของชนชาตินี้ที่ยาวนานนับพันปี ก็ย่อมมีโบราณสถานอีกหลายๆ ที่ที่น่าจะไปค้นหา รวมถึงธรรมชาติ ความเป็นอยู่ของผู้คน และซากแห่งสงคราม นั่นคือสิ่งที่คลายความรู้สึกที่ว่าเกาหลีมีแต่สถานที่ท่องเที่ยวตามซีรี่ยส์ ไปได้เยอะเลยล่ะ
ก็ไม่รู้ว่าจะได้ไปเยือนอีกหรือไม่ แต่ถ้ามีโอกาส อย่างแรกผมจะไม่พลาดไปนั่งรถไฟใต้ดินสัมผัสชีวิตเหล่ามนุษย์คนเมืองแน่นอน
พอเห็นข่าวนี้ผมก็คิดว่าดูท่าจะจริง จากที่ได้ไปสัมผัสชีวิตการทำงาน ผมสังเกตว่า เขาจะมีแผนกเอ็นเตอร์เทนลูกค้าด้วย ในช่วงที่พักทานอาหาร พนักงานเหล่านี้จะเข้ามารับช่วงต่อในการพูดคุยกับพวกเรา ชวนรับประทานอาหารท้องถิ่นและชวนดื่มในรูปแบบต่างๆ แต่พอช่วงวิชาการแกก็หายตัวไป
อ่อ ... อย่าตกใจครับ พนักงานที่ว่าเนี่ยมีแต่ผู้ชายทั้งนั้น ไม่ได้พาไปในที่เสื่อมเสียด้วย แค่สร้างบรรยากาศที่ดีในร้านอาหารเท่านั้น
มื้ออาหารกลางวัน (แต่ได้กินตอนบ่ายแก่ๆ ) ในวันแรกของการเดินทาง โต๊ะผมมีแต่ผู้ชายจึงเป็นโชคให้พวกเขาพนักงานเหล่านี้ได้แสดงฝีมือกันเต็มที่ เริ่มจากการชวนดื่มเบียร์ และโชจู เหล้าหมักคล้ายๆ สาโทแบบบ้านเรา ก่อนที่พี่คนหนึ่งจะโชว์การดื่มแบบพิเศษให้พวกเราได้อึ้งกัน เขาเรียกมันว่า “บอมบ์!!” วิธีเล่นของเขาคือ เทเบียร์ใส่แก้ว แล้วใส่โชจูลงไปจากนั้นก็ใช้ช้อนกระทุ้งไปที่ก้นแก้วแรงๆ มันก็จะเป็นฟองคล้ายๆ กับระเบิดพุ่งขึ้นมา
สักพักพี่แกก็ชวนให้ทุกคนในโต๊ะเล่นกับแก (ผมก็โดนด้วย) รู้สึกเสียวทำแก้วแตกมากครับ แล้วพี่ท่านก็เล่นอีกอย่างคือเอาแก้ววางเรียงกันเทเบียร์ใส่ลงไป แล้วเอาโชจูใส่ในแก้วช็อต (แก้วยาดอง) วางบนขอบปากแก้วที่ใส่เบียร์แล้วใช้นิ้วผลักให้มันลงไปในแก้วเป็นโดมิโน่ อันนี้จำชื่อไม่ได้จริงๆ
เล่าเหมือนผมเมาในเวลางาน ต้องชี้แจงเลยว่าไม่ใช่ครับ เวลาที่ทานคือเขาเลิกงานแล้ว และเขาถือว่าเป็นมารยาทในวัฒนธรรมการกิน ไอ้เราก็ปฏิเสธนะแต่มันไม่สำเร็จ เลยต้องตามน้ำกันไป เข้าใจตรงกันนะ
หรืออย่างมื้อเย็นวันสุดท้ายของการชมงานก็จะมีการเลี้ยงปิดท้ายผู้บริหารก็จะมาร่วมดื่มกับพนักงาน และคณะสื่อฯ ในหลายๆ โต๊ะผู้บริหารจะเดินมารินสุราโชจูให้พวกเราดื่ม ตอนนั้นเราก็แอบงงๆ ว่า เออ เฮ้ย แกอารมณ์ไหนวะ ทำไมลงมาชวนชนแก้วกันถึงขนาดนี้ จนผมมาถึงบางอ้อเมื่อค้นหาข้อมูลในภายหลัง
บทความจากเว็บไซต์ mykorean4life.blogspot.com อธิบายถึงธรรมเนียมการดื่มหรือที่เรียกว่า "เฮวซิก" ว่าเป็นการสร้างเสริมความสัมพันธ์บุคคลภายในองค์กรและลดช่องหว่างระหว่างกันครับ คนเกาหลีมักจะมีการดื่มในมื้ออาหารเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีมารยาทในการดื่มเช่น ถ้าผู้ใหญ่รินให้ผู้น้อยต้องดื่มให้หมดด้วย มันก็เลยกลายเป็นว่า เกาหลีใต้คือชาติที่ดื่มเก่งที่สุดนั่นเอง (พาไปเมากันตลอด) ส่วนไอ้ที่เอาเบียร์มาผสมกับโชจูนั่นก็เพื่อเพิ่มความเมามากขึ้น ไอ้สิ่งนี้เขาเรียกว่า "โซแมก"
กลับมาที่การเดินทางของผมต่อครับ ในช่วงค่ำของวันที่ ๒ เราได้มีโอกาสไปชมโชว์ที่มีชื่อเสียงอย่างนึง ที่ชื่อว่า “จัมพ์” ถ้าใครเคยดูภาพยนต์เรื่องกวนมึนโฮ ก็คงพอจะจำได้ มันเป็นการแสดงทักษะการต่อสู้ประกอบละครเวทีเรื่องราวความรักระหว่างไอ้หนุ่มแว่นพลังม้ากับลูกสาวบ้านกังฟู และโจรกระจอก ๒ คน ที่ทำให้กลายเป็นความฮาเกิดขึ้น ซึ่งการแสดงชุดนี้เริ่มมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๖ และยังออกไปทำการแสดงอีกหลายประเทศทั่วโลกรวมทั้งบ้านเราด้วย
ความรู้สึกส่วนตัวมันก็สนุกนะ แต่ละฉากทำออกมาได้สมดุลมีความสำคัญในทุกตัวละคร และยังมีการแสดงคั่นช่วงเปลี่ยนฉาก ตามสไตล์โชว์ของชาตินี้ (พอดีเคยดูโชว์นันทา ที่เกี่ยวกับเรื่องราวในร้านอาหารมาก่อน) ในตอนสุดท้ายนักแสดงจะออกมาแจกลายเซ็นผู้ชมด้านนอกห้อง พร้อมทั้งมีร้านขายของที่ระลึกด้วย ก็ดีครับ ชอบที่สุดคือ นางเอกหุ่นดีมาก (ใช่เหรอคุณดรงค์?)
เมื่อการแสดงจบก็ได้เวลากลับสู่ที่พัก แต่... ผมไม่จบครับ บังเอิญมีผู้ให้ข้อมูลมาว่า แถวนั้นจะมีห้างที่เปิดกลางคืนขายเสื้อผ้าเกาหลี ไอ้ผมก็อยากรู้อยากเห็นเป็นเดิมทุน จึงชักชวนน้องต่างสำนักไปสำรวจกัน ที่ผมว่านี้คือย่าน “ทงแดมุน” (Dongdaemun) ครับ ชื่อคุ้นๆ เหมือนร้านอาหารเกาหลี ซ.รามบุตรี ซึ่งแถวนี้เป็นแหล่งการค้าเก่าแก่มาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๔๘ ก่อนที่จะได้รับการเริ่มปรับปรุงเป็นศูนย์การค้าในช่วงพุทธทศวรรษที่ 2510 เป็นศูนย์กลางแห่งอุตสาหกรรมสิ่งทอทั้งขายปลีกและค้าส่ง จนกลายเป็นแหล่งการค้าขนาดใหญ่อีกแห่งของโซล
ช่วงที่มาถึงราวๆ สามทุ่ม ร้านค้าปกติก็เริ่มจะปิด จะมีก็แต่ห้าง ๓ ตึกที่อยู่บนถนนใหญ่ ข้างในก็เป็นร้านขายเสื้อผ้าย่อยๆ ขอให้นึกภาพของแพลตตินั่ม ประตูน้ำบ้านเรา มันใช่เลยล่ะ มีสินค้าทั้งที่พิมพ์ตรา เมด อิน โกเรีย และชาติอื่น มีหลายแนวมาก แต่ราคาจัดว่าแพงสำหรับผม เสื้อยืดธรรมดาตีเป็นเงินไทย ๓๐๐ บาท ขึ้น เพิ่มเงินอีกนิดซื้อของมียี่ห้อได้เลย หรืออย่างพวกของที่ระลึกก็มีขายด้วย เช่น ช้อน ตะเกียบเงินแบบเกาหลี ที่ติดตู้เย็น และอื่นๆ
และที่นี่ล่ะครับผมไปเจอดีเข้า!!
พ่อค้าเกาหลีก็คล้ายๆ กับบ้านเราล่ะครับ เขาจะทักคุณเมื่อเดินผ่านหน้าร้าน ไล่เดาสัญชาติเราไปเรื่อย เช่น มาเลเซี้ย ไตแล้น ถ้าเรายิ้มตอบก็จะชวนเราเข้าร้าน แต่ถ้าเดินหนีก็จะพูดเสียงดังๆ หน่อย (อันนี้เป็นลักษณะเฉพาะ เขาอาจจะไม่ได้โกรธเราก็ได้) แต่หน้าแกไม่มีรอยยิ้มทั้งนั้น ผมกำลังมองหากางเกงขาสั้นอยู่ เจอร้านนึงมีของที่อยากได้ เลยตรงเข้าไปถามราคา ชายหนุ่มวัยไม่น่าเกิน ๒๕ สักลายที่แขน แต่งกายเป็นแนวฮิปฮอปหน่อย ก็เริ่มเจรจาราคาเปิดมาราว ๑,๐๐๐ บาท โอ้ว... พ่อคุณ ผมส่ายหน้าพยายามเดินออก
เขาซึ่งอยู่ในคอกนำเครื่องคิดเลขออกมากดราคาลดลงไปเหลือราว ๗๐๐ บาท ผมก็ไม่เอา เพราะรู้สึกมันแพงไป พอเดินออกพี่แกดูท่าไม่พอใจก็โวยวาย แล้วปาเครื่องคิดเลขใส่กองกางเกงอย่างแรงก่อนที่มันจะกลิ้งตกลงมาบนพื้น ผมกับน้องอีก ๒ คนแม่งตกใจมาก นี่กูไปทำอะไรให้เขาโกรธเคืองขนาดนี้ แค่ไม่ซื้อกางเกงมึงเนี่ยนะ เลยรีบชิ่งลงบันไดออกจากชั้นนั้นอย่างเร็ว เป็นประสบการณ์ที่แสนจะประทับใจจริงๆ
วันถัดมาคณะทัวร์พาเราไปทางตอนใต้เพิ่มชมสำนักงานใหญ่เค-วอเตอร์ และฝายกังจอง กลับมาถึงที่พักก็ปาไป ๕ ทุ่มไม่ได้แว่บเลย บังเอิญพี่นักข่าวรุ่นใหญ่แกชวนไปนั่งร้านฝั่งตรงโรงแรม ผมด้วยความอยากรู้ก็เลยตามไปด้วย ร้านนี้ขายอาหารเกาหลีพวกกับแกล้มเหล้าครับ เป็นร้านแผงลอยอยู่ในซอยข้างถนน ในหนังเรื่องกวน มึน โฮ ก็จะมีฉากนึงที่พระเอกกินปลาหมึกสด นั่นล่ะครับ ใช่เลย เมนูก็พวกหมูปิ้ง เนื้อสัตว์ผัดกิมจิ ซุปกิมจิ อะไรประมาณนี้แต่วันนั้นไม่มีปลาหมึกยังไม่ตายขายนะ ชาวเกาหลีก็จะมานั่งเมากันอยู่ที่นี่เยอะมาก (เห็นบางคนเมาแล้วโบกแท็กซี่ไม่ไปมีโมโหพยายามไล่เตะรถด้วย)
อารมณ์แล้วนึกถึงร้านลาบน้ำตกข้างทางบ้านเรายังไง อย่างงั้น
วันสุดท้ายของการอยู่เกาหลีใต้ ผู้บริหารเค-วอเตอร์ ได้ขึ้นมากล่าวขอบคุณคณะสื่อมวลชนบนรถบัสอำลาการดูงาน ก่อนที่เราจะไปทัศนศึกษาต่อกันที่หอคอยบรรหาร เอ๊ยไม่ใช่ เอ็น โซลทาวเวอร์ ต่างหาก ซึ่งหอคอยโซล หรือ “นัมซานทาวเวอร์” (Namsan Tower) ถือเป็นอีก ๑ สถานที่ไฮไลท์ของเมือง ทัวร์ต่างๆ ก็มักจะพานักท่องเที่ยวมาชม โดยสร้างขึ้นเมื่อพ.ศ. ๒๕๐๔ เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชม พ.ศ.๒๕๒๓ มีความสูงกว่า ๒๓๖.๗ เมตร ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น เอ็น โซลทาวเวอร์ ซึ่งตัว N มาจากคำว่า New นั่นเอง ซึ่งยอดเสายังเป็นที่ส่งสัญญาณกระจายคลื่นความถี่วิทยุและโทรทัศน์หลายสถานีด้วย
ตัวหอคอยนัมซานยังมีสิ่งที่น่าสนใจอย่าง เคเบิล คาร์ ที่เชื่อมระหว่างด้านพื้นดินขึ้นมาบนเขา อันนี้ผมไม่ได้ขึ้น มีโซนขายของที่ระลึก ร้านอาหาร ด้านบนยอดขึ้นไปจุดชมวิวเห็นทิวทัศน์ทั่วทั้งโซล เบื้องหน้าเป็นเมืองทันสมัย มีฉากเป็นภูเขาโอบล้อม แต่ต้องเสียตังค์เข้าไปด้วย และที่เลื่องชื่อที่สุดคือจุดที่คู่รักจะมาล๊อคกุญแจกันริมรั้วเพื่อให้ครองรักกันยาวนานก่อนจะโยนลูกกุญแจทิ้งไป ผมเห็นหนุ่มสาวหลายคนนำกุญแจหลากรูปแบบมาล๊อกไว้ที่รั้วต่อๆ กันเต็มไปหมด ก็ดูสวยงามหลากสีสันดี
ก็ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นหลายๆ คู่ยังคงสวีทกันอยู่หรือเปล่าหนอ ....
แต่ที่ดูเหมือนจะไม่น่าสนใจสำหรับผมเลยก็คือ “พิพิธภัณฑ์เทดดี้ แบร์” ที่อยู่ภายในหอคอยนั่นล่ะ ตอนที่ไกด์บอกว่าเดี๋ยวเราจะต้องเข้านะ ในใจผมคิดโอ้แม่งคงมีแต่หมีแบ๊วๆ เต๊ะท่าให้คนถ่ายรูปแน่ๆ พอเขาพาเข้าไปกลับต้องตกใจ... มันไม่ใช่อย่างจินตนาการเลยครับ หมีหลากรูปแบบถูกเซ็ทตัวให้มีเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เกาหลี ตั้งแต่เริ่มสร้างเมือง ประดิษฐ์อักษร ประเพณีของราชวงศ์ จนถึงยุคเปลี่ยนแปลงสู่วัฒนธรรมยุคใหม่ ในธีมที่ชื่อว่า อดีต ปัจจุบัน และอนาคตของโซล เฮ้ย มันเจ๋งมาก เป็นการสอนแบบคร่าวๆ ให้เด็กๆ ที่มาดูได้เข้าใจความเป็นมาของชาติตัวเอง ซึ่ง แหม ทำไมบ้านเราไม่ทำบ้างวะ?
จริงๆ พิพิธภัณฑ์นี้ ในไทยก็มีนะครับ ใช้ชื่อว่า พิพิธภัณฑ์ตุ๊กตาหมีพัทยา เปิดตัวเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ผมยังไม่เคยไป แต่จากข้อมูลว่า เจ้าของเป็นชาวเกาหลีสร้างภายใต้คอนเซ็ปที่ว่า การเดินทางท่องเที่ยวตามล่าหาสมบัติกับเทดดี้แบร์ หวังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวใหม่อีกแห่งของสยาม ให้นักท่องเที่ยวได้มาถ่ายรูป แต่ธีมของพิพิธภัณฑ์นั้นไม่เหมือนกับที่โซลนะครับ เพราะมีเรื่องของสยามเพียงแค่โซนเดียว นอกนั้นเป็นจิปาถะ
เมื่อถึงเวลาอันสมควร คณะทัวร์ก็พาเราไปยังสถานที่สุดท้ายของทริป มาที่ “พิพิธภัณฑ์ศิลปะสามมิติ” (Trick eye) อันโด่งดังครับ ที่นี่จะจัดแสดงงานภาพแบบลวงตาให้เราเข้าไปร่วมสนุกกับภาพเสมือนว่าเราอยู่ในภาพหรืองานศิลปะนั้นๆ เลย ซึ่งที่นี่น่าจะเป็นผู้นำเทรนด์พิพิธภัณฑ์แบบนี้ในบ้านเราเลยล่ะ ซึ่งก็มีภาพจัดแสดงไว้อย่างหลากหลายให้ได้ร่วมสนุกกัน นอกจากนี้ยังมีโซนห้องเย็น เอ๊ยเมืองน้ำแข็งด้วย ภายในก็มีของเล่นมากมาย ให้ได้หนาวเย็นกัน ความรู้สึกเราแบบนี้ ... นี่มันเมืองหิมะ ในสวนสนุกดรีมเวิร์ลด์ชัดๆ
ซึ่งพิพิธภัณฑ์นี้อยู่ในย่าน ฮงแด (Hongdae) ใกล้กับมหาวิทยาลัยฮงอิ๊ก (Hongik) แหล่งแฟชั่นของวัยรุ่นอีกที่หนึ่ง แถวนี้นอกจากจะมีมิวเซียมแล้ว ยังมีร้านค้าเสื้อผ้าราคาถูก (ถูกของเขานะ) อีกด้วย ผมสำรวจไปพบกับร้าน “ฮัลโหล คิตตี้ คาเฟ่” (Hello Kitty cafe) ร้านอาหารสำหรับคนชอบคิตตี้อย่างผมอยู่ด้วย (โถ...ไม่ดูหน้าเลย) ทั้งตัวร้านตกแต่งด้วยสีชมพูอ่อน ภายในก็มีสินค้ามากมาย แต่ผมได้แค่ไปด้อมๆ มองๆ ไม่มีโอกาสได้ชิม เพราะเวลาเหลือน้อย แต่โชคก็เข้าข้างผม เมื่อตอนกลับมาที่สนามบินอินชอน ระหว่างรอขึ้นเครื่องบินกลับประเทศสยาม ก็ได้ไปเจอร้านแบบนี้อีกครั้ง คราวนี้จึงได้เก็บภาพถ่าย พร้อมซื้อนมเย็นปั่นมาชิมด้วยความปลื้มใจ
จริงๆ แล้วการไปกับทัวร์ก็ดีเหมือนกันนะ รถจะพาท่านไปส่งถึงที่หมายแบบสบายๆ มีไกด์ทั้งชาวไทย และชาวท้องถิ่นอธิบายไอ้โน่น ไอ้นี่ ไอ้นั่น รวมทั้งคำศัพท์สนุกๆ บางคำ เช่น ไกด์คนนี้จะเรียกตัวเองว่า อาจุมม่า ซึ่งแปลว่า ป้า หรือพูดคำขอบคุณอย่าง คัมซามิดะ ที่ผมชอบมาล้อว่า คลำซะเมียด่า อย่างไกด์ชาวไทยเราก็ได้คุยกันเรื่องประวัติศาสตร์เกาหลีหรือวิถีของคน รวมทั้งข้อมูลบางสถานที่ นั่นคือข้อดี
ที่ไม่ค่อยปลื้มสักเท่าไหร่ก็คือเรื่องของโปรแกรมที่เราต้องไปโดยที่ไม่ได้อยากเหมือนเวลาแบ็กแพคไปเที่ยว แต่ในกรณีนี้คือผมมาทำงานจึงบ่นอะไรไม่ได้อยู่แล้ว หรืออย่างจุดสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่อง เขาพาไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านซื้อของฝากนั่นล่ะครับ เข้าใจว่าทุกทัวร์ก็ต้องมาลงกันที่นี่เพื่อละลายเงินวอนที่ยังมีอยู่กัน บ้างก็ว่าราคาถูก และเมื่อเข้าไปก็ได้พบกับสินค้ามากมาย ที่ เอิ่ม...มันก็ดีอยู่หรอกทั้งลูกอมรสโสม สาหร่ายแผ่น นมกล้วย ช็อกโกแลต ไปกระทั่งหม้อ กระทะ มีครบ แถมยังแพ็คให้เสร็จเรียบร้อยเมื่อซื้อในราคาที่กำหนด นั่นคือข้อดี
แต่สันดานส่วนตัวเป็นคนไม่ชอบอะไรแบบนี้ และราคาบางสิ่งก็ไม่ใช่ว่าจะถูกกว่าร้านปลีกเท่าไหร่...นะ
เอาเข้าจริง ในคราแรก เกาหลีใต้ เป็นประเทศหนึ่งที่ผมไม่เคยคิดจะอยากมาเลย ไม่ได้ปลื้มใจอะไรกับวัฒนธรรม ผู้คน สถาปัตยกรรม หรืออะไรต่างๆ ที่มันออกผ่านสื่อสักเท่าไหร่ แต่พอเมื่อได้มาสัมผัสแล้ว เออ มันมีอะไรที่น่าค้นหาอีกมากมายแหะ ประวัติศาสตร์ของชนชาตินี้ที่ยาวนานนับพันปี ก็ย่อมมีโบราณสถานอีกหลายๆ ที่ที่น่าจะไปค้นหา รวมถึงธรรมชาติ ความเป็นอยู่ของผู้คน และซากแห่งสงคราม นั่นคือสิ่งที่คลายความรู้สึกที่ว่าเกาหลีมีแต่สถานที่ท่องเที่ยวตามซีรี่ยส์ ไปได้เยอะเลยล่ะ
ก็ไม่รู้ว่าจะได้ไปเยือนอีกหรือไม่ แต่ถ้ามีโอกาส อย่างแรกผมจะไม่พลาดไปนั่งรถไฟใต้ดินสัมผัสชีวิตเหล่ามนุษย์คนเมืองแน่นอน