xs
xsm
sm
md
lg

Macau 2 Day: บทสรุปแห่งการเดินทาง

เผยแพร่:   โดย: ดรงค์ ฤทธิปัญญา

ความเดิมตอนที่แล้วอ่าน
Macau 2 Day : : ย่ำค่ำแลโชว์คาสิโนสุดอลัง
Macau 2 Day : โชว์สเต็ปโปรตุกีสในดินแดนมรดกโลก

รุ่งเช้า ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ วันสุดท้าย (จริงๆ) ของการเดินทางทัวร์ต่างแดนของผม โปรแกรมที่เหลือวันนี้จะอยู่ใน “เกาะมาเก๊า” ล้วนๆ ตามเก็บสถานที่บริเวณใกล้ๆ โรงแรมซึ่งเป็นเขตโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนมรดกโลกกับองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๘ แต่ ผมก็ตื่นมาซะเช้าเกิน เลยออกไปเดินดูทัศนียภาพรอบๆ โรงแรมดีกว่า

ใกล้ๆ ที่พักของผมจะมีซอยนึง คนไทยเรียกกันว่า “ถนนแห่งความสุข หรือ Rua da Felicidade” ทั้งซอยจะมีอาคาร ๒ ชั้น สถาปัตยกรรมแบบจีน ประตูหน้าต่างหลายบ้านเป็นสีแดงสดติดกันไปหมด แต่ด้วยความที่มากันตั้่งแต่หัววัน ร้านค้าแถวนั้นก็ปิดสนิท เลยได้ถ่ายภาพซอยสวยๆ ปราศจากผู้คนแบบสบายใจ จากนั้นก็เดินดุ่มๆ ไปเรื่อยๆ ทะลุตามซอยต่างๆ บ้านแถวนี้สร้างไล่ระดับเขาขึ้นๆ ลงๆ ดูแปลกตาจากถิ่นที่ผมอาศัยในพื้นราบดี แต่ถามว่าความสะอาดเป็นอย่างไร ก็เขรอะไม่ต่างจากบ้านเรานัก ฮ่องกงจะแลดูทิ้งขยะมีระเบียบกว่า

อาคารส่วนใหญ่จะแลดูติดๆ กัน แบบตึกแถวบ้านเรา ระหว่างที่เดินเล่นก็ไปเจอร้านขายอาหารเช้าของคนที่นี่ครับ ร้านนี้อยู่ในซอกเล็กๆ ดูในภาพที่เขาโชว์ขายก๋วยเตี๋ยวเนื้อ แต่ตอนผมไปมันไม่มี ผมยืนจดๆ จ้องๆ อยู่ว่าคนที่นี่เขากินอะไรกัน (คล้ายๆ เด็กยืนร้านขนมแต่ไม่มีตังค์ซื้อ ฮ่าๆๆ) ดูวิธีการสั่ง การทำ จนมั่นใจแล้วก็ชี้เลยครับ เอาไอ้นี่ .... สิ่งที่ผมได้มาก็ไม่ทราบว่ามันชื่ออะไร แต่ลักษณะที่สามารถบรรยายได้ มันคือเส้นก๋วยจั๊บ ราดซอสซีอิ๊วดำ มัสตาด และซอสงา โรยด้วยงาขาว หน้าตาดูหน้ากิน พอชิมคำแรก มันหวานซอสงาปนเผ็ดร้อนแบบมัสตาด เส้นหนึบหนับ อร่อยแปลกๆ ดี (เพิ่งทราบภายหลังว่า ที่รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย ก็มีขาย เรียกว่า “Chee Cheong Fun”)
ย่านถนนแห่งความสุข และร้านขายอาหารเช้าของชาวมาเก๊า
ดูเวลาเริ่มสายก็จรลีกลับมาที่โรงแรมจุดสตาร์ท เช็คเอ้าท์ ขอฝากกระเป๋า แล้วไปทัวร์ต่อ คราวนี้จะเดินกันไปที่ “วัดอาม่า ( A-Ma Temple)” อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะ ระยะทางที่เดินมาก็ราวกิโลกว่าๆ ได้กระมัง ถือเป็นศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในมาเก๊า ก่อสร้างมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๐๓๑ เลยทีเดียว เพื่อเป็นสิริมงคลในการเดินเรือของชาวประมงท้องถิ่น ว่ากันว่าชื่อ "มาเก๊า" ก็เพี้ยนมาจากชื่อของศาลเจ้านี้นี่ล่ะ โดยพ่อค้าชาวโปรตุกีสที่ทำการค้าบริเวณชายฝั่ง นำชื่อของศาลเจ้ามาเรียกเป็นชื่อของดินแดนที่เขามาเยือน ซึ่งคนพื้นเมืองในสมัยนั้นเรียกที่นี่ว่า “ม่าก๊ก (Maa Gok)”

ภายในศาลเจ้ามีซุ้มประตูขนาดใหญ่หันหน้าออกไปทางทะเลเป็นสถาปัตยกรรมจีนที่สวยงาม ด้านในก็มีเทพเจ้าต่างๆ ให้ได้สักการะตามห้องต่างๆ ไล่ขึ้นไปบนเขา สลักลวดลายมังกร พร้อมธูปขดเหมือนวัดทั่วไปในดินแดนย่านนี้ บนฝาผนังก็มีจิตรกรรมแบบนูนสลักเป็นรูปสัตว์ในตำนาน ทางเดินมีอักขระจีนสลักบนก้อนหิน ผมก็อ่านไม่ออกหรอกว่าเขียนว่าอะไร บางก้อนถูกวาดรูปเรือลงไปด้วย

ศาลเจ้านี้ดูจะเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวกันนักจนดูแลแออัดไปหมด มีช๊อตระทึกใจด้วยครับ ในศาลเจ้ามีห้องน้ำอยู่ ด้านหลัง ติดๆ กันเป็นที่จุดประทัด ซึ่งตอนแรกผมไม่ทราบ ยืนฉี่อยู่ดีๆ ก็มีคนมาจุดประทัดตรงนั้น ดังปังๆๆๆ เล่นเอาตกใจนึกว่าใครกวนซะงั้น พอลงมาด้านล่าง มีคนนำรถสามล้อมาจอดให้ได้ถ่ายรูป สาวๆ บางคนก็ไปนั่งโพสต์ท่ากันสนุกเลย แถวนั้นยังมีไอศครีมรถเข็นมาจอดด้วย คนมุงกันเยอะแยะ มีรูปถ่ายคู่กับดารา (คาดว่านะ) ติดไว้บนรถ เป็นไอศครีมตักใส่โค่น แลดูน่ากิน แต่แพงระยับ โคนนิดเดียว ๒๐ บาท ผมอยากรู้เลยจำต้องซื้อ สีส้มมากนึกในใจมันต้องเป็นรสส้มแน่ๆ ... ผิดครับ มันคือรสมะม่วงสุก แทบกระอักเลยเพราะผมไม่ทานมะม่วงสุก แต่ต้องทนกินเพราะเสียดาย แต่รสชาติถึงเครื่องมาก กลิ่นมะม่วงเด่นชัด ถ้าคนชอบนี่คงรักเลย

แต่ผมอยากร้องไห้ .....
ศาลเจ้าอาม่า
จากบริเวณศาลเจ้า เราเดินตามเส้นทางอันซอกแซกมุ่งตรงสู่เขาบาร์รา (Barra Hill) ที่นั่นจะมีโบสถ์คริสต์ตั้งอยู่ มีชื่อว่า “โบสถ์พระแม่เพนญ่า (Chapel of Our Lady of Penha)” ใช้เวลาพอสมควรเนื่องจากถนนมันไต่เขาขึ้นไปเรื่อยๆ เล่นเอาหอบนิดๆ พอถึงหน้าประตูรั้วก็หายเหนื่อย แต่...ผมสังเกตอะไรบางอย่าง มีชายชรานั่งขายของที่ระลึกอยู่ปากทางด้วยโต๊ะพับเหล็กปูผ้าสีแดง ซึ่งแต่ละอย่างก็ดูไม่ค่อยเข้ากับศาสนาสักเท่าไหร่ เช่น รูปปั้นสัตว์โลหะ กำไลหยก ฯลฯ แปลกๆ ดีเหมือนกัน

ตามประวัติเขาว่าที่โบสถ์นี้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๑๖๕ โดยลูกเรือชาวโปรตุเกสที่รอดพ้นจากการถูกจับกุมของชาวดัตช์ผู้ตามล่าอาณานิคมในขณะนั้น โดยโบสถ์นี้ว่ากันว่าใช้เป็นที่ขอพรอธิษฐานของเหล่ากะลาสีเรือก่อนที่จะออกเดินเรือไปยังสถานที่ซึ่งมีความอันตรายมีการกล่าวว่าในช่วงเทศกาลแห่แม่พระฟาติมาของทุกปี จะมีการตั้งขบวนแห่องค์แม่พระไปยังโบสถ์ด้วย ตัวอาคารด้านทางเข้าค่อนข้างเรียบๆ มีรูปปั้นหญิงสาวอุ้มเด็กอยู่บนยอด ด้านหน้าจนเกือบถึงขอบรั้วมีรูปปั้นหญิงสาวยืนภาวนาอันโดดเด่นพร้อมจารึกภาษาโปรตุเกส ส่วนใต้ลานหน้าโบสถ์ถูกขุดเป็นห้องเล็กๆติดกรงล้อม ภายในมีรูปปั้นหญิงสาวยืนถือลูกประคำ

สิ่งที่น่าสนใจในบริเวณนี้อีกอย่างคือจุดชมวิวที่มองเห็นไปจนถึงสะพานข้ามเกาะโดยมีหอคอยมาเก๊าทาวเวอร์อันโดดเด่น แลดูสบายตานัก ส่วนด้านล่างก็ยังจะได้เห็นบ้านเรือนของคนในย่านที่ปลูกสร้างแออัดกันเต็มไปหมด

เดินลงมาจากโบสถ์เรื่อยๆ ตามป้าย เราจะพบกับ “จัตุรัสลีเลา (Lilau Square)” เป็นเหมือนจุดนัดพบมีต้นไม้ใหญ่อยู่ตรงกลาง และรายล้อมไปด้วยบ้านสไตล์ฝรั่งไม่กี่หลัง ทาสีเหลือง,เขียว,ชมพู ดูน่าถ่ายรูปนัก ซึ่งพื้นที่นี้เป็นแหล่งแรกๆ ที่ชาวโปรตุเกสมาพำนักปักฐานกัน มีการกล่าวอ้างว่า เดิมทีน้ำบาดาลของลีเลาเคยถูกนำไปใช้เป็นแหล่งน้ำพุธรรมชาติ ชาวโปรตุเกสมีประโยคยอดนิยมว่า “ผู้ที่ดื่มน้ำจากลีเลาจะไม่ลืมมาเก๊า” หมายความว่าคนในพื้นที่คิดถึงจัตุรัสลีเลาอยู่เสมอ
ภาพบนสุดและซ้ายกลางคือโบสถ์เพนญ่า ส่วนที่เหลือคือภาพจตุรัสลิเลา
ถัดไปไม่ไกลจากจัตุรัสก็จะพบกับตึกแถวบ้านทรงจีนหลังหนึ่ง ชื่อว่า “บ้านแมนดาริน (Mandarin's House) หรือ บ้านครอบครัว เฉิง กวนยิง (Zheng Guanying)” นักประพันธ์ชาวจีน ซึ่งตามประวัติเห็นว่าสร้างมาตั้งแต่รุ่นพ่อแต่มาเสร็จในรุ่นลูก พ.ศ.๒๔๑๒ มีลักษณะเป็นบ้านจีนร่วมสมัยระหว่างศิลปะแบบกวางตุ้ง ที่ประกอบไปด้วยเรือนหลายหลัง และมีลานหน้าบ้าน ผสานกับรายละเอียดแบบตะวันตก เช่น การใช้อิฐสีเทาประดับโค้งประตู หรือ หน้าต่างระแนงทำจากไม้ซุงประดับด้วยแผ่นกระดานสี่เหลี่ยมกรุมุกด้วยลวดลายแบบอินเดีย

ในสมัยก่อนถ้าขึ้นไปบนดาดฟ้าจะเห็นทิวทัศน์รอบบริเวณท่าเรือที่มีเรือเข้าออกอย่างคึกคัก ส่วนตัวอาคารประกอบด้วยห้องรวมกว่า ๖๐ ห้อง แต่ประมาณช่วง พ.ศ.๒๔๙๓ - ๒๕๐๓ ลูกหลานของตระกูลนี้ได้ย้ายออกไปพำนักอยู่ที่อื่น แล้วเปิดให้ผู้อื่นทำการเช่า และก็เปลี่ยนมือไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเมื่อพ.ศ.๒๕๔๔ รัฐบาลมาเก๊าได้เข้ามาครอบครอง ซึ่งในขณะนั้นตัวอาคารกว่าร้อยละ ๘๐ ได้รับความเสียหายจนทรุดโทรมลงอย่างมาก ต่อมาก็ได้มีการปฏิสังขรณ์ให้คงความดั่งเดิมมากที่สุด โดยเริ่มทำตั้งแต่ปี ๒๕๔๕ และใช้เวลากว่า ๘ ปีถึงจะสามารถบูรณะได้สำเร็จ

ทางเข้าบ้านจะมีพนักงานชาวจีนให้นักท่องเที่ยวได้ลงทะเบียนก่อนเข้าชม ผมก็แอบแง้มๆ ดูย้อนหลัง ไม่เห็นมีคนเขียนว่ามาจากไทยแหะ ตอนแรกนึกว่าจะเสียตังค์ แต่ปรากฏว่าเข้าฟรีครับ พอเข้ามาเห็นตรงกำแพงนี่ก็ยังดูทรุดโทรมอยู่ มีบางจุดที่ถูกทาสีให้สวยงาม ส่วนด้านในอาคารมีนิทรรศการย่อมๆ ให้ได้ศึกษาความเป็นมาของบ้าน ต่อกันด้วยห้องโถงโต๊ะเก้าอี้ต่างๆ ถูกประดับราวกับยังมีคนอยู่ มีอยู่ห้องหนึ่งจัดจำลองห้องนอน มีตู้และเตียงพร้อมเสมือนจริง (เอ๊ะ หรือของจริงวะ?) แลดูก็พลางนึกถึงตอนเดินทางไปชมเส้นทางวัฒนธรรมผิงซาน ที่ฮ่องกง เลยแหะ
บ้านแมนดาริน
เดินออกจากย่านนี้ไปไม่ไกลก็จะพบกับโบสถ์คริสต์อีกหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น “โบสถ์เซนต์ลอเรนซ์ (St. Lawrence's Church)” ที่สร้างขึ้นโดยนักบวชเยซูอิต ราวๆ พุทธศตวรรษที่ ๒๑ หนึ่งในสามของโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดในมาเก๊า ซึ่งได้รับการปรับปรุงโครงสร้างใน พ.ศ.๒๓๘๙ ตั้งอยู่ริมทะเลทางชายฝั่งตอนใต้ของมาเก๊า ในสมัยก่อนสามารถมองเห็นทะเลได้ มีตำนานเล่าว่า ครอบครัวของกะลาสีเคยใช้เป็นที่รวมตัวกันด้านหน้าบันไดโบสถ์เพื่อสวดมนต์ และเฝ้ารอการกลับมาของคนรัก จึงเรียกกันว่า เฟงชุนแทง (หอสายลมปลอบประโลม) ซึ่งในย่านนี้เคยเป็นที่อยู่ของครอบครัวที่มีฐานะ เห็นได้จากขนาดและสถาปัตยกรรมของอาคาร แบบนีโอคลาสสิคผสมบารอก

อีกแห่งหนึ่งคือ “โรงเรียนสอนศาสนาและโบสถ์เซนต์โจเซฟ (St. Joseph's Seminary and Church)” ก็อยู่ไม่ไกลจากกันมากนัก ที่นี่ก่อตั้งใน พ.ศ.๒๒๗๑ เคยเป็นฐานสำคัญของผู้สอนศาสนาในจีน ญี่ปุ่น และบริเวณใกล้เคียง มีหลักสูตรเทียบเท่ามหาวิทยาลัย และใน พ.ศ. ๒๓๔๓ พระราชินีโดนา มาเรียที่ 1 แห่งโปรตุเกส ก็ได้เสด็จมาประทานพระราชกระแสในหัวข้อ “House of the Mission Congregation”ด้วย

ซึ่งรอบๆ บริเวณนี้เดินไม่ไกลนักจะได้พบกับ “จัตุรัสเซนต์ออกัสติน (St. Augustine's Square)” ย่านโบราณอีกแห่งหนึ่ง มี “โบสถ์เซนต์ออกัสติน (St. Augustine's Church)” ตั้งอยู่ ซึ่งโบสถ์ดังกล่าวสร้างในปี พ.ศ.๒๑๓๔ โดยนักบุญออกัสติเนียนชาวสเปน และในปัจจุบันยังคงใช้เป็นสถานที่จัดงานขบวนแห่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดงานหนึ่งในเมืองที่ชื่อว่า ขบวนอีสเตอร์ที่มีผู้เข้าร่วมขบวนหลายพันคน และที่นี่ก็มีเรื่องเล่าด้วยว่า ในสมัยก่อน บาทหลวงเคยนำใบปาล์มมาวางบนหลังคาโบสถ์เพื่อกันฝน พอชาวบ้านมองจากไกลๆ ก็เห็นว่าใบปาล์มเหล่านี้เหมือนหนวดมังกรปลิวไปตามลม ชาวจีนจึงเรียกโบสถ์นี้ว่า หลงซงหมิว หรือ วัดมังกรหนวดยาว

ถัดไปอีกนิดตึกสีเขียวๆ คือ “โรงละครดอมเปโดรที่ห้า (Dom Pedro V Theatre)” ที่นี่น่าสนใจครับ ตามประวัติบอกว่า ถูกสร้างขึ้นใน พ.ศ.๒๔๐๓ เป็นโรงละครแบบตะวันตกแห่งแรกในจีนที่สามารถจุผู้ชมได้ ๓๐๐ คน ถือเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่สำคัญมากสำหรับชาวมาเก๊า และในปัจจุบันก็ยังคงเป็นสถานที่จัดแสดงงานและการเฉลิมฉลองต่างๆ ที่สำคัญอยู่ ผมเดินเข้าไปด้านในเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ลักษณะวงกลมมี ๒ ชั้น ที่นั่งเบาะไหมพรมสีแดง แต่มีไม่มาก น่าจะไม่เกิน ๑๐๐ ตัว ตัวเสาสลักลายแบบโรมัน แต่ภายในก็ไม่ได้ดูหรูหรามากนัก ตรงเวทีดูเรียบๆ ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่

เดินไปไม่ไกลจะพบกับรั้วกำแพงสีเหลืองออกส้ม ข้างในมีสวนเล็กๆ คั้นระหว่างรั้วกับตัวอาคารที่สีและลวดลายเดียวกัน ตรงนี้คือ “หอสมุดเซอร์โรเบิร์ตโฮตุง (Sir Robert Ho Tung Library)” แต่ก่อนนั้นเป็นบ้านพักอาศัยของโดนา แคโรไลนา คุณยา ซึ่งสร้างราวๆ พ.ศ.๒๔๓๔ ต่อมา เซอร์ โรเบิร์ต โฮ ตุง นักธุรกิจฮ่องกง ได้ขอซื้อต่อ และเมื่อเขาเสียชีวิต ในปี พ.ศ.๒๔๙๘ ในพินัยกรรมของเขาได้ระบุมอบอาคารหลังนี้ให้กับรัฐบาลมาเก๊าเพื่อให้ดัดแปลงเป็นหอสมุดสาธารณะในเวลาต่อมา ซึ่งผมก็ไม่ได้เขาไปด้านในหรอกครับ เดินดูแค่ตรงสวนก็รู้สึกว่ามันร่มรื่นดี บรรยากาศเหมาะแก่การพักผ่อน อ่านหนังสือตามใจของผู้อุทิศเคหะสถานแห่งนี้เป็นสาธารณะสมบัติจริงๆ
ภาพบนโบสถ์เซนต์ออกัสติน รูปกลางคือโรงละครดอมเปโดรที่ห้า และล่างสุดคือหอสมุดเซอร์โรเบิร์ต โฮ ตุง
จริงๆ เท่าที่เดินสำรวจ พื้นที่ถูกให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในเมืองตึกแถว คือบ้านเรือนแถวนี้รายล้อมไปด้วยตึกแถวติดๆ กันมากมายไปหมด ดูเหมือนจะแออัดนะ คล้ายๆ กับย่านชุมชนบ้านเราพอสมควร ผู้คนส่วนใหญ่เวลาจะไปไหนก็เดินเท้าไปขึ้นรถสาธารณะ หรือไม่ก็ใช้จักรยานยนต์ จักรยาน รถส่วนตัวไม่ค่อยมี คาดว่าคงจะแพง เอาล่ะดูเวลาเริ่มคล้อยบ่าย ควรหาอะไรรองท้องดีกว่า

แต่...ก่อนจะไปหาอะไรกิน ผมจำได้ว่า ยังไม่ได้ซื้อของฝากเลยแหะ ... แล้วอะไรคือของฝากมาเก๊าล่ะ

นอกจากทาร์ตไข่โปรตุกีสเจ้าดังแล้ว ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ “คุ๊กกี้อัลมอนด์” ครับ ร้านเจ้าดังๆ จะอยู่ในย่านจัตุรัสเซนาโด้ แถบๆ นั้น แต่ผมไปซื้อที่ร้านนี้ครับ “Pastelaria Chui Heong” อยู่ในละแวกเส้นทางกลับจากจตุรัสออกัสติน มายังถนนแห่งความสุข เป็นร้านตึกแถวเล็กๆ แต่มีคนรออยู่หน้าร้านพอสมควร เดินเข้าไปข้างในเห็นพนักงานกำลังง่วนกับการเอาคุ๊กกี้แพคใส่ถุงกันเลย วิธีทำคือเอาแป้งป่นผสมอัลมันด์บด อัดเข้ากรอบแล้วเอาไปอบในเตา

แต่เอาเข้าจริง ไอ้คุ๊กกี้อัลมอนด์เนี่ย ของที่นี่จะร่วนๆ กลิ่นไม่ค่อยรสนม ออกไปทางหวานน้ำตาลมากกว่า อาจไม่ถูกปากคนไทยเท่าไหร่ สำหรับผมคือได้รู้ว่า อ๋อ อร่อยของเขาคือแบบนี้นี่เอง

ได้เวลากินมื้อกลางวันแล้วครับ ผมเดินกลับเข้ามาในถนน Rua da Felicidade ที่เวลานี้ร้านต่างๆ เปิดขายของกันเต็มที่แล้ว ผมเลือกร้านบะหมี่ที่ชื่อ “Oja Sopa De Fita Cheung Kei” อยู่เกือบสุดซอย ถามว่าผมไปเอาร้านพวกนี้มาจากไหน ก็เสิร์ชจากเว็บโอเพ่นไรซ์ เนี่ยล่ะ แต่ของมาเก๊าจะหายากหน่อย ต้องใช้พลิกแพลงเอา พูดถึงร้านนี้ของดีคือ “บะหมี่โรยไข่กุ้ง” ไข่กุ้งจริงๆ ไม่ใช่ไข่กุ้งในซูชิที่ไม่ได้มาจากท้องกุ้งนะครับ ฮ่าๆๆ รสชาติมันก็จะเค็มๆ มันๆ แปลกๆ ดี “บะหมี่เนื้อตุ๋น” (ได้กินแล้วดีใจๆ) ก็อร่อย เนื้อนุ่มแค่ใช้ลิ้นดุนก็ยุ่ยแล้ว ตามมาด้วย “เกี๊ยวกุ้ง” เป็นตัวๆ เหมือนกินที่ฮ่องกงเลย และที่น่าสนใจอีกอย่างคือ “ลูกชิ้นปลาทอด” เนื้อปลาบดตีเข้าด้วยกันแล้วปั้นเป็นก้อนคลุกกับเส้นหมี่ทอดแล้วเอาไปทอดอีกที เหนียวหนึบหนับจริงๆ
ภาพใหญ่ คุ๊กกี้อัลมอนด์หลังอบเสร็จแล้ว ส่วนรูปข้างเล็กคือบะหมี่ไข่กุ้ง
อิ่มท้องเสร็จ ดูเวลายังมีเหลือแอบแว่บไปเดินเล่นที่จตุรัสเซนาโด้ ซื้อของฝาก อาทิ แม่เหล็กติดตู้เย็นรูปโบสถ์ เซนต์ปอล มีร้านแถวๆ นั้นขายอยู่ จนจวนถึงช่วงเย็นก็กลับไปเอากระเป๋าแล้วนั่งรถเมล์ไปยังสนามบินนานาชาติมาเก๊า ที่นี่เขามีรถเมล์ธรรมดาวิ่งเข้าไปถึงหน้าสนามบินด้วย ค่าโดยสารประมาณ ๒๐ บาท ได้ ระหว่างทางก็เจอแอร์สาวหมวยสวยสายการบินหนึ่ง เธอใช้บริการสาธารณะแบบผม แลดูไม่เคอะเขินอะไร

จริงๆ แล้วมีอีกหลายที่ที่ผมไม่ได้ไป ยังในส่วนของหมู่บ้านไทปา ,บริเวณกลางเมืองมาเก๊า ,โบราณสถานอีกหลายแห่ง ,หอคอยมาเก๊า ,ช่วงเขตแดนจูไฮ่ ที่เขาว่ายังมีอะไรให้น่าเที่ยว ถ้าใช้เวลาอยู่ต่ออีก ๑ วันคงจะครบ แต่ถ้าถามความประทับใจกับที่นี่ ผมรู้สึกเฉยๆ นะ ให้มาอีกก็มาได้แต่ถ้าเลือกได้จะไม่มา ผมอาจจะรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรให้น่าหลงใหล เมื่อเทียบกับฮ่องกง ที่ยังคงมีทัศนียภาพสวยงาม ทั้งตึกและป่าและวัฒนธรรมผสานกันได้ดี แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติก็ยังเยอะมาก

แต่สำหรับที่นี่มันเหมือนกับเดินเล่นในเมืองบ้านเรา มันเป็นความรู้สึกเหมือนเมืองจะเจริญแต่ก็ยังไม่ใช่ ทั้งๆ ที่ลักษณะโดยรวมก็ไม่ต่างจากฮ่องกงมากนัก ยิ่งถ้าเทียบกับไทยแล้ว ผมกลับรู้สึกว่าดินแดนของเรามีอะไรน่าเที่ยวกว่าที่นี่อีกเยอะเลยล่ะ (ถ้าโปรโมตดีๆ มีเส้นทางคมนาคมสาธารณะสะดวก)

หรืออาจเป็นไปได้ว่า ผมคงยังเข้าไม่ถึงความหลงใหลของมาเก๊านี้ ก็เป็นได้ ..... ก็อย่างว่าละครับ ความชอบของคนเรามันต่างกัน

การเดินทางครั้งนี้ สอนอะไรเราได้หลายอย่าง บางครั้งเราคิดว่าภาษาอังกฤษจำเป็นที่สุด แท้จริงอาจไม่ใช่ ในเมืองที่ต่างถิ่น ปฏิภาณและไหวพริบเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราดำเนินการได้ง่ายขึ้น (แต่ไม่ใช่ไม่รู้ภาษาเลยนี่ก็แย่นะ) ยิ่งถ้าคุณเป็นมนุษย์แบ็กแพคแผนการก็เป็นสิ่งสำคัญที่ควรมีรายละเอียดให้แน่นเอาไว้ก่อน แต่จะเป็นไปตามนั้นหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง

ผมเดินทางครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๒ ในชีวิตในการออกนอกประเทศ (ครั้งแรกคือ ลาว เมื่อปี ๒๕๕๐) ผมหวังเอาไว้ว่า จะพยายามเดินทางให้ได้ทุกปีๆ เพื่อสำรวจโลก เปิดสมอง ให้ได้รู้ว่า รอบๆ สิ่งที่เราอยู่ แท้จริงแล้วเป็นอย่างที่เรารับรู้ผ่านสื่อหรือไม่ และพยายามเข้าใจให้ได้ว่า ทำไมเขาถึงต้องเป็นเช่นนั้น

และผมตั้งใจว่า ทริปหน้าจะต้องเดินทาง “สำรวจอาเซียน” สัก ๑ ประเทศ เพื่อจะได้รู้ว่า เพื่อนบ้านที่บางคนดูถูกและคิดว่าชาติเรานี่มันยิ่งใหญ่เหนือกว่าทุกๆ ประเทศในสุวรรณภูมิ เขาเป็นยังไงกันบ้าง แล้วจะมาเล่าให้ทุกท่านได้อ่านกันอย่างแน่นอน.....
กำลังโหลดความคิดเห็น