xs
xsm
sm
md
lg

Macau 2 Day: ย่ำค่ำแลโชว์คาสิโนสุดอลัง

เผยแพร่:   โดย: ดรงค์ ฤทธิปัญญา

ความเดิมตอนที่แล้วอ่าน
Macau 2 Day : โชว์สเต็ปโปรตุกีสในดินแดนมรดกโลก

เรายังอยู่กันที่เขตบริหารพิเศษมาเก๊าครับ

หลังจากนั่งรถเมล์กลับมาจากเกาะโคโลอาน ทางตอนใต้ มุ่งหน้าสู่โรงแรมที่พัก พักผ่อนเอนกายสักนิดแล้วก็ออกสำรวจเมืองกันต่อ จุดมุ่งหมายของเราในคืนนี้คือบ่อนกาสิโนที่ชื่อว่า เวเนเซียน ครับ ที่นี่ค่อนข้างดังมากสำหรับชาวไทย ถือเป็น ๑ ในสถานที่ยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวบ้านเราไปชื่นชมและทดลองเสี่ยงโชคเล็กๆ น้อยๆ ... แต่ผมเล่นการพนันไม่เป็นนิ แล้วจะไปทำไม ...

ช่างเถอะ เขาว่าดีก็ลองไปดูก่อน

ตามแผนเดิมเราจะไปเที่ยวฟิชเชอร์แมนวาร์ฟ (Fisherman's Wharf) แล้วนั่งรถขึ้นไปริมชายแดนมาเก๊า-จีน เพื่อไปเดินเล่นสวนสาธารณะซุนยัตเซ็น ก่อนจะไปดูเขาแข่งหมากันที่สนามแข่งเกรย์ฮาว ... หมาจริงๆ ครับ ที่นี่เขาจะมีกิจกรรมให้หมาวิ่งแข่งกัน เปิดเหมือนสนามม้าแต่ตัวที่วิ่งอยู่เป็นหมา คาดว่าคงมีการพนันกันด้วย แต่เมื่อกลับมาถึงโรงแรมในเวลาเย็นจึงนั่งคิดกันใหม่ว่า ถ้าไปตามแผนเดิมเราคงได้ไปเวเนเซียนตอนดึกมากๆ แน่ๆ จึงต้องเปลี่ยนแผนใหม่

จุดเริ่มต้นของเราอยู่ที่แถวๆ คาสิโน ลิสบัว ตรงนี้จะเป็นท่ารถเมล์ให้ไปไหนต่อไหนได้อีกหลายจุด ตรงนี้มีผู้คนพลุกพล่านมาก มีรถสามล้อถีบแบบบ้านเราคอยให้บริการด้วย แต่เราก็อาศัยรถประจำทางไปถึงที่ “ฟิชเชอร์แมนวาร์ฟ” ซึ่งที่นี่ ตามไกด์ไลน์เขาว่า เป็นสวนสนุกแนววัฒนธรรมแห่งแรกในเมือง ขนาด ๑๑๑,๕๐๐ ตารางเมตร ตั้งอยู่ใจกลางท่าเรือด้านนอกมีร้านอาหารร้านค้า ที่พักอาศัย ห้องประชุม และการจัดนิทรรศการ ด้วยข้อความที่โฆษณาเยอะเสียขนาดนี้ เราจึงต้องไปดูกับตา

แล้วก็พบว่า ..... นี่มันเมืองร้างชัดๆ

ภายในที่เดินเข้าไปเป็นอาคารสร้างใหม่สไตล์ฝรั่งแต่แทบจะน้อยมากที่จะพบร้านค้าเปิดทำการส่วนใหญ่ปิด บ้างก็ปิดตายเลย จนผมสงสัยว่า นี่มันสถานที่ท่องเที่ยวจริงๆ เหรอวะ เอ๊ะ หรือเราจะไปตอนเขาปิดแล้ว เดินไปจนสุดทางจะเจอสถาปัตยกรรมจำลองทั้งโคลอสเซียม ของอิตาลี หรือพระราชวังแบบจีน อยู่ด้วย ก็สวยงามหรอก แต่ไม่ค่อยประทับใจสักเท่าไหร่ ยิ่งยามเย็นยิ่งวังเวงวิเวกวิเหวโหว
ด้านบนบรรยากาศย่านคาสิโน ภาพกลาง วิวมาเก๊ายามตะวันตกดิน ส่วนด้านล่างกลางและซ้าย คือฟิชเชอร์แมนวาร์ฟ
เดินออกมาจากที่ตั้ง เราจะมองเห็นรูปปั้น “เจ้าแม่กวนอิมสีทอง” ขนาดใหญ่ยืนตระหง่าเด่นอยู่กลางทะเล มีฉากหลังเป็นตึกสูงๆ พร้อมด้วยสะพานทอดยาวไปยังเกาะไทปา ระยะทางจากตรงนี้ไปก็ราว ๑ กิโลเมตร สำหรับผมถือว่าไม่ไกลมาก ก็เดินกันสิครับ พอถึงก็ตะวันตกดินพอดี เป็นบรรยากาศที่น่าถ่ายรูปมาก แม้ระหว่างทางจะดูเปลี่ยวนิดๆ ก็ตาม พูดถึงรูปปั้่นนี้ ใต้ฐานจะมีห้องอยู่ ผมไปถึงมันปิดซะแล้ว ซึ่งที่นี่ก็คือ “ศูนย์ส่งเสริมศาสนาเจ้าแม่กวนอิม (Kun Iam Ecumenical Centre)” สร้างเพื่ออุทิศให้กับเจ้าแม่กวนอิม คนที่นี่เปรียบเสมือนเทพเจ้าแห่งความเมตตา มีความสูง ๒๐ เมตร ทำด้วยสัมฤทธิ์พิเศษ และตรงฐานรูปโดมดอกบัวเป็นศูนย์ส่งเสริมศาสนา ภายในมีข้อมูลเกี่ยวกับพุทธศาสนา ลัทธิเต๋า และลัทธิขงจื้อ พร้อมขายของที่ระลึกด้วย

เราหารถประจำทางกลับมายังย่านคาสิโนอีกครั้ง คราวนี้มาชมการแสดงของบ่อนต่างๆ ครับ พูดถึงเรื่องการพนันที่นี่เขาเป็นอุตสาหกรรมแบบถูกกฏหมาย ตามข้อมูลบอกว่า “อุตสาหกรรมการพนันของมาเก๊า” ภายใต้การผูกขาดการออกใบอนุญาตโดยรัฐบาล เริ่มขึ้นราวๆ พ.ศ.๒๕๐๕ ผ่านทาง Stanley Ho's Sociedade de Turismo e Diversoes de Macau. ซึ่งการผูกขาดได้หมดลงเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๕ ทำให้เจ้าของบ่อนคาสิโนจากลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา หลายๆ รายเริ่มเข้ามาเปิดตลาดคาสิโน ด้วยการเปิด the Sands Macao ใน พ.ศ.๒๕๔๗ และ Wynn Macau ในพ.ศ.๒๕๔๙ ทำให้กิจการการพนันในมาเก๊ารุ่งเรืองมาก โดยหลังจากรัฐบาลมาเก๊ายุติระบบการผูกขาดดังกล่าว และการให้สัมปทาน ๖ บ่อนการพนันรายใหญ่ รวมทั้งการเกิดบ่อน the Sands Macao นี้ ถือเป็นการเริ่มยุคใหม่ของอุตสาหกรรมการพนันซึ่งมุ่งหวังจะสร้างมาเก๊าให้เป็นตลาดระดับโลกที่เหนือกว่า ลาสเวกัส

ใน พ.ศ.๒๕๕๐ ได้เกิดบ่อนการพนันที่ชื่อ Venetian Macau ซึ่งในเวลานั้นถือเป็นบ่อนการพนันที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ ๒ ของโลก โดยมีทั้งโรงแรม ,รีสอร์ท,ห้องจัดนิทรรศการ และศูนย์การค้าอยู่ภายในขณะที่ พ.ศ.๒๕๕๓ บ่อนการพนันต่างๆ ก็ได้เพิ่มการแสดงเพื่อมาดึงดูดนักเสี่ยงโชคและนักท่องเที่ยว ทั้งโชว์น้ำพุเต้นระบำ คอนเสิร์ต การแสดงสินค้า และงานศิลปะระดับนานาชาติ รวมๆ แล้วปัจจุบันมีแหล่งการพนันกว่า ๓๓ บ่อน

แน่นอนว่าการแสดงของบ่อนต่างๆ ก็ถือว่าเป็น “จุดขายให้นักท่องเที่ยว” ทั้งที่มาเพื่อเล่นและไม่ได้มาเล่นต่างตามเก็บถ่ายรูปที่ระลึก โดยจะแบ่งแสดงเป็นรอบๆ อย่าง “โชว์น้ำพุเต้นระบำ” หน้าโรงแรม Wynn ที่มีให้ชมทุกๆ ๑๕ นาที ถามว่าเป็นยังไงก็สวยดี น้ำพุเต้นประกอบเสียงเพลง และแสงไฟ แต่ไม่ตื่นตาตื่นใจเท่าไหร่

แต่ไอ้ทีเด็ดมันอยู่ในโรงแรมครับ ที่นี่จะมีการแสดง “มังกรทองคำเล่นดอกบัว” โชว์ทุกๆ ๓๐ นาที แค่เข้ามาในฮอลล์ก็อลังการมากแล้ว ภายในห้องโถงจะมีรั้วกั้นตรงกลาง มีโดมคล้ายแผนที่วางอยู่ ด้านบนเพดานเป็นรูปสัตว์ ๑๒ ราศี พอเริ่มการแสดงจะมีมังกรโผล่ออกมาจากตรงกลางพร้อมดอกบัว มันขยับไปมาได้ด้วย ส่วนเพดานก็เปิดออกเป็นกราฟฟิคต่างๆ พร้อมเพลงประกอบ โหย แสงสีของเขามันทำให้ผมตื่นเต้นมากเลย

ที่พูดมานี่ ฟรีครับ....

ว่าแล้วก็ลุยไปอีกที่เลย นั่งรถประจำทางจากย่านนั้นเพื่อข้ามไปเกาะไทปา จุดมุ่งหมายของเราคือบ่อน “เวเนเซียน มาเก๊า” จริงๆ ย่านนี้มีอีกบ่อนที่น่าสนใจคือ ที่โรงแรมกาแลคซี นั่นก็มีอาคารที่ตกแต่งอย่างหรูหราเหมาะแก่การถ่ายรูป แต่ด้วยเวลาที่ไม่มาก เราจึงเลือกนั่งรถไปลงเวเนเซียนที่เดียว ซึ่งบ่อนนี้เจ้าของคือ ดิ ลาสเวกัส แซนด์ ใช้งบประมาณกว่า ๒.๔ พันล้านดอลลาร์ในการก่อสร้างโรงแรมบนย่านโคไต โดยส่วนของโรงแรมนั้นสร้างเสร็จในปี ๒๕๕๐ ประกอบด้วยห้องสูท ๓,๐๐๐ ห้อง มีห้องประชุมขนาดใหญ่ มีศูนย์การค้า เครื่องเล่นการพนัน และห้องสำหรับจัดการแสดงและกีฬาซึ่งจุคนได้ถึง ๑๕,๐๐๐ ที่นั่ง

จำได้ว่าช่วงนั้นมีโฆษณามวยโชว์ของ โจว ซื่อหมิง นักชกชาวจีนเหรียญทองโอลิมปิกที่ถูกครหาปล้นชัยชนะจาก แก้ว พงษ์ประยูร นักชกของไทย จะขึ้นชกที่โรงแรมนี้ด้วย แหม เห็นแล้วมันแค้นใจนัก

มาถึงด้านหน้าโรงแรมก็เจอโชว์แรก แสดงฉายภาพประกอบเสียงบนผนังของตัวอาคาร เรื่องราวเกี่ยวกับตรุษจีน ก็ดูอลังการเช่นกัน ด้านหน้าถูกประดับให้เข้ากับเทศกาล มีพนักงานสาวแต่งชุดจีนประยุกต์เดินแจกของที่ระลึก เช่นเดียวกับพนักงานชายที่แต่งชุดข้าราชการจีนโบราณและมนุษย์ทองคำให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป และยังมีซุ้มให้เขียนคำอวยพรไปแขวนในต้นไม้ทองคำด้วย

พอเดินเข้ามาด้านในถึงกับอึ้งในความหรูหราของตัวอาคารพอสมควร ทั้งการตกแต่งที่ออกทางสถาปัตยกรรมและภาพวาดศิลปะยุโรป ผมหาทางเข้าศูนย์การค้า แต่ไม่เจอแหะ จนทราบว่ามันต้องเดินผ่าบ่อนไป เหลือบดูรายทางนี่มีทั้งตู้สล๊อตแมชชีน โต๊ะพนันแบบในหนังจีน หนังฝรั่ง ยาวเป็นแถบ ถ้าใครอดใจไม่ไหวคงมีได้เล่นกันสักตา แต่... ผมขอบายล่ะครับ

กว่าจะเจอโซนร้านค้าก็เดินกันมึนหัว แต่พอมาถึงแล้วก็ค่อนข้างหายเหนื่อย เขาจำลองอาคารสถาปัตยกรรมแบบเวเนเซีย ประเทศอิตาลี ยกมาไว้เลย แต่ละอาคารเปิดเป็นร้านขายของแบรนด์เนมและร้านอาหารเต็มไปหมด ตรงกลางทำเป็นคลองสายยาวๆ ให้นักท่องเที่ยวได้นั่งเรือกอนโดล่า เรือพื้นเมืองของชาวเวนิชเล่นในคลอง พร้อมฟังฝีพายร้องเพลงภาษาอิตาเลี่ยนขับกล่อมตลอดเส้นทาง ผมเห็นฝีพายบางคนหน้าหมวยๆ แต่กลับร้องได้ราวกับเป็นเจ้าของภาษา แต่ผมไม่ได้ลองนั่งนะครับ คาดว่าคงแพงน่าดู
ภาพบนบรรยากาศคาสิโนยามค่ำคืน และคาสิโนเวเนเซียน
พูดถึงบ่อนคาสิโนก็พลันนึกขึ้นได้ว่า บ้านเราเองเคยมีแนวคิดที่จะสร้าง “เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์” ในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร น่าจะคล้ายๆ กับบ่อนเวเนเซี่ยน ด้วยเหตุผลในการสร้างการท่องเที่ยวและเม็ดเงินที่จะหลั่งไหลเข้ามาภายในประเทศ ในตอนนั้นก็มีคนดาหน้าออกมาคัดค้าน ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ตอนนี้ผมก็ยังคงรู้สึกค้าน ถ้าบ้านเราจะมีบ้าง แต่คงไม่ใช่เหตุที่ว่าเพราะบ้านเราเป็นเมืองพุทธ ผิดศีลธรรม ที่เขายกมาปกป้องกันนักหนา

แต่ส่วนตัวมองต่างออกไปครับ อย่างการท่องเที่ยว เราเองมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในหลายจังหวัดอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเรายังไม่มีศักยภาพที่จะทำให้คนต่างถิ่นเข้าถึงสถานที่เหล่านั้นได้ง่ายขึ้น เช่น ระบบการนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวด้วยการใช้รถสาธารณะไปสู่สถานที่ต่างๆ หรือแม้กระทั่งการจัดการกรณีรถโดยสารเรียกเก็บค่าโดยสารเกินจริง อันนี้คร่าวๆ ซึ่งถ้าสามารถทำให้ดีได้ มันก็จะนำไปสู่การสร้างเม็ดเงินในพื้นที่ของมันเอง แม้จะไม่เยอะเท่าคาสิโนแต่มันก็ทั่วถึง

หรือข้ออ้างที่ว่า ปัจจุบันก็มีบ่อนลับๆ กันอยู่แล้ว ถ้าเปิดเสรีจะนำเม็ดเงินเข้าสู่รัฐบาลมากขึ้น แก้ปัญหาการพนันเถื่อนได้ แต่เอาเข้าจริงถามว่า “ถึงเปิดบ่อนรัฐแล้ว บ่อนลับๆ จะหายไปจริงหรือ” แน่นอนครับว่า ในระยะแรกๆ สักสามเดือนมันคงไม่มีหรอก แต่หลังจากนั้นล่ะ .... หึหึหึ

พอๆ ครับ เดี๋ยวจะซีเรียสกันไป กลับที่พักดีกว่า แต่เอ๊ะ เห็นว่ามีรถฟรีกลับไปที่พักด้วยนิ .... ใช่ครับ พวกโรงแรมเหล่านี้จะมีรถฟรีรับนักท่องเที่ยว ทั้งจากสนามบิน ท่าเรือ หรือในเมือง ซึ่งผมต้องกลับไปลงในเกาะมาเก๊า มันก็มีรถไปครับ แต่รอโคตรนานเกือบชั่วโมงกว่าจะมาคัน อย่างว่าล่ะเรามารอของฟรีนิ และก็เป็นโชคมากที่เขาไปส่งเราถึงย่านเซนาโด้สแควร์ ใกล้กับที่พักพอดี

ที่ “จตุรัสเซนาโด้” ตามปกติยามค่ำคืนมีการเปิดไฟต่างอาคารต่างๆ ดูแลสวยงามนัก แต่ช่วงนี้ยังอยู่ในควันหลงตรุษจีน จึงยังมีร่องรอยการตกแต่งเฉลิมฉลองเทศกาลอยู่ ทั้งตัวตุ๊กตาประดับไฟอย่างสวยงาม ไอ้เราก็คิดกันว่าที่ซากประตูโบสถ์เซนต์พอล จะต้องสวยแน่ๆ เลยดั๊นด้นเดินกันไปดู แต่พอไปถึงกลับพบว่า มืดสนิท ขนาดไฟส่องอาคารยังไม่เห็น ก็ไม่เป็นไร กลับโรงแรมดีกว่า

ระหว่างทางเราก็พยายามหาอะไรกิน แต่แถวนี้พอดึกไม่เหลือร้านเปิดรอรับลูกค้าอย่างพวกเราแหะ แต่โชคก็ยังเข้าข้าง ผมเจอร้านข้างทางมีคนยืนต่อคิวเยอะมาก มองดูเห็นว่าขาย “ลูกชิ้นต้ม” เอาวะ อย่างน้อยก็กินปะทังความหิวได้ ลักษณะเป็นร้านรถเข็น เหมือนรถขายลูกชิ้นทอดบ้านเรา มีลูกชิ้นหลายๆ อย่างอยู่ในตู้กระจกแช่น้ำแข็ง แต่บนตัวรถมีหม้อสี่เหลี่ยมที่มีน้ำเดือดพุดๆ ตลอดเวลา ด้านข้างมีเครื่องในเนื้อวัวต้มอยู่ กลิ่นนี่แรงมาก ผสมกับกลิ่นเครื่องยาจีน พร้อมคำถามที่อยู่ในใจว่า กูจะกินได้มั้ยวะ

ว่าด้วยลูกชิ้่นดีกว่า เครื่องในนี้ผมไม่กินอยู่แล้ว เขาก็จะมีไส้กรอก ลูกชิ้นปลา เต้าหู้ปลา นอกจากนั้นก็มี หนังหมู ปูอัด เต้าหู้ ปลาหมึกกรอบ ตีนห่าน วิธีสั่งก็ไปชี้ว่าจะเอาอะไร เขาก็จะนำไปต้มในน้ำซุปที่เดือดพล่าน พอได้ที่ก็ตักใส่โฟม (มันจะละลายมั้ย) ตามด้วยน้ำต้มเครื่องใน เอิ่ม... จะอร่อยเหรอวะ เอาจริงๆ ก็เผ็ดร้อนนิดหน่อย มีกลิ่นเครื่องยาจีนแรง แต่ไม่ยักกะได้กลิ่นเครื่องในเนื้อแหะ

แต่ที่น่าสนใจอยู่ตรงลูกชิ้นแปลกๆ สีขาวทรงเหมือนแห้ว อันนี้เด็ดมาก มันคือ “ลูกชิ้นสอดไส้ไข่กุ้ง” ที่ร้านสุกี้เอ็มเค บ้านเรามีขาย แต่ไม่อร่อยเท่า เพราะพอกัดปั๊ปไส้ข้างในมันจะเยิ้มมาพร้อมกับไข่กุ้ง ฮึ่ยยยย เล่าแล้วน้ำลายไหล
จัตุรัสเซนาโด้ยามค่ำคืน ภาพล่างร้านลูกชิ้นต้ม
อ่านต่อฉบับหน้า......
กำลังโหลดความคิดเห็น