ช่วงนี้ก็ใกล้จะถึงช่วงใกล้ปีใหม่กันอีกแล้ว ก็เป็นธรรมดาของช่วงเดือนธันวาคม เป็นเทศกาลแห่งความสุข นอกจากจะได้หยุดยาวๆในช่วงปีใหม่แล้ว ก่อนปีใหม่ มีวันหยุดหลายครั้ง เริ่มจากวันพ่อแห่งชาติ วันรัฐธรรมนูญ
มีวันหยุดพิเศษแบบนี้ ถ้าใครที่ไม่ชอบไปไหนหรือไม่อยากไปที่มีคนเยอะๆ ใช้โอกาสเวลาตอนนี้อ่านหนังสืออยู่ที่บ้านก็ไม่เลวนะครับ ไม่ว่าจะอ่านหนังสือที่ซื้อมาแล้ว อยากอ่านแต่ไม่ได้อ่านซักที หรือนิตยสารเล่มโปรดตามความสนใจ ก็เป็นทางเลือกที่เข้าท่า ไม่ต้องออกไปเจอกับความวุ่นวายอึดอัดทั้งรถติดจากการเดินทาง หรือแย่งกันกินแย่งกันหาที่พักตามแหล่งท่องเที่ยวในต่างจังหวัด
หวังว่าสถานการณ์การชุมนุมขับไล่ระบอบทักษิณและปฏิรูปการเมืองไทยของมหาประชาชนจะประสพชัยชนะก่อนถึงวันหยุดและวันขึ้นปีใหม่นะครับ
คนไทยอ่านหนังสือกันน้อยมากจนน่าตกใจ จากสถิติ คนอเมริกาอ่านหนังสือเฉลี่ยปีละ 11 เล่ม คนจีน อ่านหนังสือปีละ 6 เล่ม ส่วนคนไทย เฉลี่ยคนหนึ่งอ่านหนังสือปีละแค่ไม่กี่บรรทัด ฟังแล้วแล้วก็เหนื่อยใจ
ที่จริง การอ่านหนังสือเป็นอะไรที่น่าทำยามว่างมากๆ ยิ่งว่างยาวๆนะครับหนังสือสักเล่ม กับเพลงเพราะๆ มันเป็นอะไรที่สุขใจที่สุด
พูดถึงหนังสือนิตยสารในบ้านเราตามแผงหนังสือมีอยู่เยอะมาก มีตั้งแต่หนังสือไร้สาระ ที่เปิดเข้าไปเจอแต่โฆษณา เปิดเข้าไปเจอแต่แคตตาล็อกขายของ ซึ่งไม่ได้ช่วยให้เกิดปัญญาเลยแม้แต่น้อย บางเล่มมีเนื้อหาประเภทมอมเมาเป็นพิษเป็นภัยต่อผู้อ่านโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเยาวชนวัยรุ่น บางเล่มออกแนวบันเทิงไปวันๆ ไร้สาระเสียก็มาก
ในบรรดาหนังสือนิตยสารดีมั่งไม่ดีมั่ง มีสาระมั่งไร้สาระมั่ง ยังมีหนังสือมีสาระดีๆหลงปนอยู่ด้วย ออกแนวคล้ายแกะขาวในฝูงแกะดำบนแผง
นิตยสารอย่าง อะเดย์เป็นหนึ่งในนั้นครับสำหรับผม สำหรับคนอายุ 20 กว่าๆ อะเดย์น่าจะถือเป็นนิตยสารที่ดีและน่าอ่านเล่มหนึ่งบนแผงหนังสือ
อะเดย์ ( a day) เป็นนิตยสารเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปในสังคมไทยทั้งในอดีตและปัจจุบัน เป็นนิตยสารที่เป็นต้นแบบนิตยสารทางเลือกของวัยรุ่น ถึงขั้นวงการนิตยสารไทยยกให้นิตยสารอะเดย์เป็นดั่งนิตยสาร 'ขวัญใจเด็กแนว' นิตยสารอะเดย์ ผลิตโดย บริษัท เดย์ โพเอ็ทส์ จำกัด (Day Poets Co. Ltd.) ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยบุคคล 3 คน ได้แก่ วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์, นิติพัฒน์ สุขสวย และ ภาสกร ประมูลวงศ์ ด้วยความเชื่อของพวกเขาที่ว่า "ทำหนังสือเหมือนทำชีวิต”
จนปัจจุบันอะเดย์ ออกมาแล้วหลายร้อยฉบับ รวมทั้งฉบับพิเศษ และยังมีนิตยสารในเครือบริษัทเดียวกันอีกสองฉบับคือ นิตยสารสำหรับวัยรุ่นหญิงสาว Knock Knock! และนิตยสารบันเทิงเชิงสาระ Hamburger พร้อมกับได้เปิดสำนักพิมพ์ของตัวเองในนามสำนักพิมพ์อะบุ๊ค (a book)
หนังสืออย่างอะเดย์ทำให้หลายๆคนสู้และวิ่งไล่ตามความฝันของตัวเองอย่างไม่ลดละ และทำให้คนรุ่นผมและรุ่นหลังผมบางคนเห็นหนังสืออะเดย์เป็นเหมือนขุมทรัพย์ทางความคิดเลยทีเดียว ความคิดสร้างสรรค์ของคนเริ่มต้นทำอะเดย์แค่ 3 คน มีอิทธิพลต่อความคิดคนอ่านมากมาย
มาวันนี้อะเดย์กลายเป็นนิตยสารนอกกระแส ที่อยู่ในกระแสสำหรับคนรุ่นใหม่ เป็นพื้นที่เล็กๆบนแผงหนังสือกว้างๆ ที่ทำให้เรารู้ว่ายังมีอะไรน่าสนใจบนแผงหนังสือ และเป็นหนังสือที่ดีสำหรับกระตุ้นการอ่านของคนรุ่นใหม่ หรือคนที่อยากหานิตยสารดีๆสักเล่ม
ที่จริง ไม่ใช่แค่เพียงอะเดย์เท่านั้น ที่เป็นนิตยสารดีๆ สำหรับผม ยังมีนิตยสารดีๆอีกเล่มหนึ่งที่ทำออกมาน่าสนใจ ผมยอมรับเลยว่าซื้อเขาตั้งแต่เล่มแรก จนถึงทุกวันนี้ ถ้าจำไม่ผิดเล่มแรกหน้าปกจะเป็นนักคิด นักเขียน นักวิชาการขี่จักรยานสวนไปสวนมาบนปก และคนที่ดึงดูดให้ผมหยิบนิตยสารเล่มนี้ซื้อกลับบ้านนั้นคือ อาจารย์ไชยันต์ ไชยพร และอาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ชายสองคนนี้มีแรงดึงดูดทางความคิดสำหรับผม จนในที่สุดผมก็หยิบนิตยสารเล่มนี้กลับบ้าน
Way magazineเป็นชื่อหนังสือที่ว่านี้ พูดถึงเรื่องราวต่างๆทั้งในประเทศและต่างประเทศ เนื้อหาบางอย่างเป็นข่าวที่ต่างประเทศ แต่ไม่ได้เป็นข่าวหรือเป็นที่สนใจในบ้านเรามากนัก แต่ในนิตยสารเล่มนี้กลับมีให้เราอ่าน แถมมีข้อมูลชนิดเจาะลึกให้ติดตามอีกด้วย
ผมไม่แปลกใจในความแหวกแนวที่น่าสนใจเมื่อบรรณาธิการของนิตยสารฉบับนี้มีชื่อว่า อธิคม คุณาวุฒิ อดีตคนคุ้นเคยของอะเดย์ และอะเดย์วีคลี่มานั่งแท่นบรรณาธิการเอง
เวย์จะเป็นนิตยสารที่อาจจะดูตึงเครียดกว่าอะเดย์ แต่หากท่านใดสนใจข้อมูลแปลกๆที่น่าสนใจหรือพูดตรงๆว่าเรื่องที่น่าจะรู้ แต่กลับไม่ได้รู้จากการอ่านหนังสือพิมพ์หรือดูข่าวจากทีวีตามปรกติ นิตยสารเล่มนี้เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับท่านเลยละครับ
ผมหยิบนิตสารน้ำดีสองหัวมาแนะนำให้ท่านผู้อ่าน แต่ของแบบนนี้ มันก็แล้วแต่คนชอบด้วย เพราะบางคนอาจจะดูข่าวอ่านหนังสือพิมพ์จนเหนื่อยแล้วไม่อยากเครียดอีกแล้ว ก็อาจจะไม่อยากอ่าน แต่สำหรับคนที่หาความรู้อยู่ตลอดเวลาแล้วละก็ สองหัวนี้ผมขอยกนิ้วให้และขอแนะนำ
ล่าสุด อะเดย์ฉบับเดือน พ.ย.นี้น่าสนใจ หน้าปกเป็นรูปซองเอกสาร แล้วมีตราประทับว่า CORRUPTION สำหรับผมนานๆจะเห็นหนังสือแบบ a day เล่นประเด็นหนักๆแบบนี้
เนื้อหาหลักในเล่มเป็นเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นของรัฐบาลและข้าราชการทั้งทหาร ตำรวจพลเรือน เช่นโครงการที่ตอนนี้กลายเป็นอนุเสาวรีย์แห่งความโง่ก็คือตอม่อจำนวนมากที่ผมเคยเสนอเล่นๆ ให้นำไปเป็นคานสำหรับทำป้ายคัตเอาท์รูปภาพรัฐบาลทุกรัฐบาลที่มีการคอร์รัปชันพร้อมกับผลงานเด่นๆ ซึ่ง ตอม่อนี้เป็นค่าโง่จากการที่รัฐยกเลิกสัญญากับเอกชน คณะอนุญาโตตุลาการชี้ขาดว่ารัฐต้องจ่ายค่าโง่ 9,000 ล้านบาท ยังไม่รวมดอกเบี้ยอีก 7.5% และงบรื้อเสาตอม่อเหล่านี้อีก 200 ล้านบาทเลยทีเดียว
การคอร์รัปชั่นในทุกวงการ กรณีการจัดซื้อเครื่องตรวจระเบิดที่มีประสิทธิตรวจระเบิด ซึ่งนำมาใช้ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีการ สั่งซื้อ 14 ครั้ง รวม 627 เครื่อง คิดเป็นมูลค่าราว 570 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นค่าโง่ที่แพงมาก ยิ่งตอนนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าไอ้เครื่องตรวจระเบิดรุ่นนี้มันใช้การไม่ได้เลย เรียกว่าเครื่องลวงโลกเลยด้วยซ้ำ ยิ่งตอกย้ำค่าโง่ครั้งนี้เข้าไปอีก
การเก็บส่วยถือเป็นการคอร์รัปชันอย่างหนึ่งซึ่ง คุณๆเชื่อไหมครับว่าตำรวจไทยเก็บส่วยจากบ่อนการพนันอย่างเดียวก็มีมูลค่ามากถึง 19,000 – 27,000 ล้านบาท นี่ยังไม่นับพวกขูดรีดค่าปรับจราจรหรือส่วยอื่นๆ อีกนะครับเนี่ย ถึงว่าตำรวจบางคนยศไม่สูงมากถึงได้รวยกันนัก
รถหรูที่มีข่าวอื้อฉาว มีการเลี่ยงภาษี ข้อมูลตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2551 มีรถราว 10,000 คันที่เลี่ยงภาษี ทำให้รัฐเสียรายได้ราว 50,000 – 60,000 ล้านบาท
ล่าสุดกับโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ฉาวโฉ่ไปทั่วโลก มีข่าวการทุจริต คอรัปชันออกมามากมายเต็มไปหมด ตั้งแต่การโยกย้ายข้าวเปลือก การนำเข้าข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิ์ และอีกหลากหลายกลเม็ดและกลวิธีเพื่อคอรัปชัน นับตั้งแต่ มกราคมปี 2555 ถึง มิถุนายน 2556 ดีเอสไอ.ตรวจสอบพบการทุจริตในโครงการนี้ 174 คดี มูลค่าความเสียหายที่ตรวจสอบพบอีก 620.8 ล้านบาท นี่เป็นเพียงตัวเลขจิ๊บจ๊อย ความจริงคอรัปชั่นกันมโหฬารกว่านี้มาก
นี่เป็นเพียงข้อมูลบางส่วนจากหนังสือ a day แม้ข้อมูลจะไม่ครอบคลุมและไม่อัพเดทนัก แต่ก็เป็นพอเป็นฐานให้ผู้อ่านได้สนใจ นำไปค้นคว้าเพิ่มเติมหรือเจาะลึกมากขึ้น เอาเป็นว่าจุดประกายเปิดประเด็นสำหรับผู้อ่านวัยหนุ่มสาวให้สนใจปัญหาบ้านเมือง เห็นพิษภัยของการคอรัปชั่น ด้วยลูกเล่นแพรวพราวที่ล่อให้ตามอ่าน ก็ถือว่าไม่เลว
หวังว่าทุกท่านจะได้ใช้วันหยุดอย่างมีความสุข ด้วยการอ่านหนังสือกันนะครับ