ความเดิมตอนที่แล้วอ่าน
• Hong Kong on Foot : ยลเมืองเยือนย่านประวัติศาสตร์
• Hong Kong on Foot : ส่อง Ngong Ping - Tai O ที่ยอดฮิตคนไทย
• Hong Kong on Foot : ตามรอยมรดก Ping Shan # ๒
• Hong Kong on Foot : ตามรอยมรดก Ping Shan # ๑
• Hong Kong on Foot : พิชิต Dragon Back
• Hong Kong on Foot : ตะลุยเกาะ Lamma
๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ - หลังจากเดินเที่ยวชมโบราณสถานตามเส้นทางเดินในแผนที่ที่ผมได้ทำไว้ตั้งแต่เช้า เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนจวนเที่ยง ผมเดินไปเรื่อยๆ ยังจุดต่อไปนั่นคือเสาแขวน “ตะเกียงก๊าซในซอย ดูดเดลล์” (Gas lamp on Duddell st.) ... ในหนังสือเขาบอกว่าไอ้เจ้าเสาตะเกียงนี้มันเป็น ๔ ต้นสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่ในฮ่องกง ซึ่งสมัยก่อนมีการใช้กันมาก แต่พอมีไฟฟ้าทางการก็เปลี่ยนมาใช้แทนของเดิม จนเหลืออนุรักษ์ไว้เพียงแค่ที่ว่านี่ล่ะ
ซ.ดูดเดลล์ เป็นซอยเล็กๆ เชื่อมต่อระหว่าง ถ.ควีน'ส์ (Queen's rd.) กับ ถ.ไอซ์ เฮาส์ (Ice House st.) ซึ่งทางเชื่อมเป็นบันไดหินแกรนิตอยู่ท้ายซอย ขึ้นไปสู่ ถ.ไอซ์ เฮาส์ จากข้อมูลบอกว่า สร้างขึ้นระหว่างปี ๒๔๑๘ - ปี ๒๔๓๒ ส่วนที่มาของชื่อซอยก็เพื่อเป็นเกียรติแก่ ๒ พี่น้อง จอร์จ และ เฟรเดอริคก์ ดูดเดลล์ (George and Frederick Duddell) เจ้าของที่ดินในยุคเริ่มต้นอาณานิคม ที่อพยพมาจากมาเก๊า ปัจจุบันก็เป็นคล้ายๆ ย่านออฟฟิศ มีร้านกาแฟสตาร์บัคส์อยู่ด้านข้าง แอบแว่บเข้าไปราคาพอๆ กับบ้านเราเลยแหะ จะว่าไปเราก็ไม่ได้บ้ากันอยู่ ๒ พะหน่อเพราะตั้งแต่ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ก็เห็นมีชาวต่างชาติวนเวียนมาโพสต์ท่าแชะเสาโคมตะเกียงกันสนุกสนาน
ผมปล่อยคู่หูนั่งพักในร้านกาแฟสักระยะ แล้วก็เดินทางต่อ คราวนี้ขึ้นบันไดไปยัง ถ.ไอซ์ เฮาส์ เดินย้อนศรไปจนสุดถนนแล้วมองไปทางซ้ายก็จะเห็นอาคารๆ หนึ่งรูปร่างดูเหมือนสถาปัตยกรรมยุโรป มีไม้กางเขนด้วย ตึกนี้คือ “บิชอป'ส เฮาส์” (Bishop's House) เห็นว่า แต่ดั้งเดิมได้ถูกสร้างเพื่อเป็นโรงเรียนสำหรับนักเรียนชาวจีน ชื่อ วิทยาลัยเซนต์ พอล (St Paul's College) ก่อสร้างเมื่อปีพ.ศ. ๒๓๘๖ ในขณะที่ วินเซนต์ จอห์น สแตนตัน (Vincent John Stanton) ถูกแต่งตั้งให้เป็นอนุศาสนาจารย์แห่งอาณานิคม โดยเสร็จเมื่อปี ๒๓๙๑ และเมื่อเกิดสังฆมณฑลแห่งวิคตอเรียขึ้น คุณวินเซนต์ ก็ได้ส่งมอบวิทยาลัยนี้ให้แก่ ดร.จอร์จ สมิธ (George Smith)หัวหน้าบาทหลวงองค์ใหม่ ที่ถูกแต่งตั้งขึ้น นอกจากนี้สถาปัตยกรรมภายในได้ถูกบูรณะขึ้นใหม่อย่างสมบูรณ์และทันสมัย ในปี ๒๕๑๐ - ๒๕๑๑
และพอมองไปข้างหน้า ก็จะเห็นกับอาคารลายขวางแนวยาวสีออกส้มๆ สลับครีมๆ ดูคล้ายๆ นั่นก็คือ “ตึกฟาร์มโคนมเก่า” (Old dairy farm building) ประวัติเขาว่า ถูกสร้างขึ้นในปี ๒๔๓๕ ด้วยตัวอาคารอิฐแนวราบและงานปูนปั้น บนถนนโลว์เวอร์ อัลเบิร์ท (Lower Albert Rd.) ใช้เพื่อเป็นคลัง สินค้าโดยถูกเก็บรักษาด้วยความเย็น แต่เดิมโรงเก็บวัตถุมีเพียงแค่ครึ่งหนึ่งคือทางส่วนตอนใต้จากพื้นที่ปัจจุบัน ต่อมาคลังสินค้าได้ถูกปรับปรุงและขยายตัวเพิ่มในปี ๒๔๕๖ ,๒๔๖๐ และปี ๒๔๖๘ ได้ถูกเพิ่มในส่วนของร้านขายนม ห้องสำหรับรมควันเนื้อ ห้องแช่แข็ง และที่พักอาศัยของผู้จัดการทั่วไป ตัวอาคารได้วิวัฒนาการเป็นสำนัก ใหญ่ของบริษัทจนกระทั่งบริษัทได้ย้ายออกไปในปี ๒๕๑๓ จากนั้นสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศได้เข้ามาเป็นเจ้าของอาคารทางตอนเหนือเมื่อปี ๒๕๒๕ และทางด้านใต้สโมสรชาวฮ่องกงชายขอบ (The Hong Kong Fringe Club) ก็ได้เข้ามาใช้ในปี ๒๕๒๗ มันถูกปรับปรุงครั้งใหญ่หลายระดับนับตั้งแต่สโมสรดังกล่าวเข้ามา โดยใช้ศิลปะร่วมสมัยเพื่อสร้างความมีชีวิตชีวาให้แก่พื้นที่
เดินจนครบ ๙ จุดเส้นทางสำรวจอาคารประวัติศาสตร์ตามที่หมายเอาไว้ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาก็เดินทางต่อไปยัง “ตลาดตะวันตก” (Western Market) โดยเดินลงไปตาม ถ.ไอซ์ เฮาส์ ไปเรื่อยๆ จนถึงถนนเดส โวกซ์ กลาง (Des Voeux Road Central) เพื่อไปยังย่านสถานีรถไฟใต้ดิน Sheung Wan แต่วิธีการไปของผมนั้นคือ นั่งรถรางครับ! รถรางในฮ่องกงเป็นรถสาธารณะชนิดที่ถูกมากๆ เสียค่าโดยสารราวๆ ๒ เหรียญ หรือ ๘ บาท ได้ มี ๒ ชั้น ที่โชคดีคือ ตอนขึ้นมาคนอย่างน้อย เลยไปตระเวนถ่ายรูปเล่น เดินกันสนุกเลย เพราะพี่แกขับสไตล์ช้า หวานเย็นสุดๆ ภายในมีเบาะพลาสติกนั่งไม่กี่ที่ เน้นยืน ชั้นบนมีป้ายไฟบอกสถานีที่เรากำลังจะไปถึงเป็นภาษาจีนและอังกฤษ อันนี้บ้านเราน่าทำครับ
นั่งรถรางไม่นานก็ถึงที่หมายตลาดตะวันตก เป็นอาคารสีน้ำตาลประมาณ ๕ ชั้น เห็นว่าเป็นสถาปัตยกรรมแบบเอ็ดเวิร์ดของอังกฤษ ถูกสร้างในปี ๒๔๔๙ แต่เดิมมี ๒ หลัง ปัจจุบันได้เหลือเพียง ๑ อาคาร ที่มีขนาดเล็กกว่า ก่อนหน้านี้ใช้เป็นที่ตั้งของการท่าเรือ ก่อนจะย้ายไปยัง เขตเซ็นทรัล แล้วกลายมาเป็นอาคารนอร์ธบล๊อก ของตลาดตะวันตก จำหน่ายสินค้าประเภทอาหารจนกระทั่งปี ๒๕๓๑ ต่อมาได้ถูกขึ้นทะเบียนทาง ประวัติศาสตร์ ในปี ๒๕๓๓ และได้รับการบูรณะตัวอาคารเพื่อเปิดใช้งานในชื่อ เวสเทิร์น มาร์เก๊ต ในปี ๒๕๓๔ ผมเข้าไปเดินเล่นในตึกก็มีของขายรายย่อยนิดหน่อย ชั้นบนเป็นร้านอาหาร ข้างล่างมีร้านขายขนมปัง มียาคูลท์แบบลดน้ำตาลขายด้วย ก็เดินหยิบขนมปังมาชิมสัก ๒ - ๓ ชิ้น รองท้องก่อนเดินทางต่อ
ตามแผนเดิมเราจะไปย่านร้านขายอาหารแห้งแต่ปรากฏว่า เดินไปเรื่อยๆ มีแต่ร้านปิด ๆ ๆ ก็เลยเดินทะลุมายัง ถ.ฮอลลิวูด เพื่อไปสู่ศาลเจ้าหมันโหมวบนถนนนี้ ระหว่างทางก็ไปเจอสวนสาธารณะถนนฮอลลิวูดทางเข้าเป็นซุ้มประตูถาวรสถาปัตยกรรมจีน ภายในประดับตุ๊กตาเด็กชายฉลองตรุษจีนลอยกลางน้ำ และมีเก๋งจีน (ซุ้มม้านั่ง) อยู่พอสมควร แว่บไปได้เดี๋ยวเดียวก็เดินออกมาสู่ถนนเพื่อไปยังจุดหมาย
และแล้วเราก็เดินมาจนถึง “ศาลเจ้าหมันโหมว” ที่ผมว่าเนี่ยล่ะ คนเยอะแยะเลยแหะ คาดว่าคงมาไหว้ให้เป็นสิริมงคลในช่วงปีใหม่ ศาลเจ้านี้ถูกสร้างในปี ๒๓๙๐ ในสมัยจักรพรรดิ์เต้ากวง (Daoguang) แห่งราชวงศ์ชิงเพื่ออุทิศแด่เทพเจ้า Man Cheong เทพเจ้าแห่งพลเรือน และ เทพเจ้า Kwan Tai เทพเจ้าแห่งการต่อสู้ เป็นสถาปัตยกรรมแบบจีน ก็ศาลเจ้าแบบบ้านเรานั่นล่ะ เข้าไปด้านในห้องโถงขนาดใหญ่มีกระถางธูปอยู่ด้านหน้า ข้างๆ มีโคมไฟเรียงราย ๒ ข้าง ส่วนด้านบนมีแต่ธูปขดอันใหญ่ๆ พร้อมห้อยป้ายสีแดงเต็มไปหมดเลย รอบๆ ก็มีเทพเจ้าอยู่เรียงราย แต่จุดไฮไลท์ก็อยู่ตรงที่เทพเจ้า ๒ องค์ตามชื่อที่เอ่ยมาซึ่งอยู่ในสุดนั่นล่ะครับ
ถัดมาอีกห้องหนึ่งก็จะมีศาลเจ้าอยู่เช่นกัน ซึ่งผมก็ไม่ค่อยรู้อะไรมากนัก ได้แต่เดาไปว่า อ่อ องค์นี้เจ้าแม่กวนอิม องค์นี้เปาบุ้นจิ้น ตอนเดินออกมาจากห้องโถงที่หน้าประตูทางเข้ามาการตั้งบู๊ทให้เขียนข้อความบนริบบิ้นสีชมพูนำไปผูกไว้ที่ต้นดอกเหมย 2 ต้นขนาบข้างรูปปั้นเด็ก ๒ คนอยู่ด้วย ผมก็ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับวันวาเลนไทน์วันนี้ด้วยหรือไม่ แต่ถ้าใช่ก็คงจะเหมือนกับเป็นการขอคู่รักกระมัง (ซึ่งถ้าจริง ผมก็ถือว่าพลาดสุดๆ เบย)
เดินออกมาจากศาลเจ้าก็มุ่งตรงไปสู่สถานที่สุดท้ายของวันนี้ ซึ่งอยู่ในย่านนอร์ธ พ้อยท์ (Nort point) นั่นคือ “ตลาดในซอย Chun Yeung” แล้วมันประหลาดตรงไหนล่ะ? .... ถ้าพูดถึงในบ้านเรามีตลาดร่มหุบ ที่แม่กลอง สมุทรสงคราม แต่เชื่อหรือไม่ว่า ที่ฮ่องกงเขาก็มีแบบนี้เหมือนกันนะ ในหนังสือแนะนำท่องเที่ยวบอก (หลอก) ผมว่าเป็นตลาดที่มีรถรางวิ่งผ่ากลางเลย โอ้บร๊ะเจ้า มันเป็นสิ่งที่ทำให้ผมอยากไปดูให้เห็นกับตาจริงๆ เลยต้องถ่อสังขารจาก ถ.ฮอลลิวูด ไปยังย่านดังกล่าว ซึ่งอยู่ไกลจากกันพอสมควร และด้วยความเท่ ผมจึงต้องหารถรางให้มันวิ่งผ่าตลาดไป
แต่ ... ก็ไม่ใช่ว่ารถรางทุกสายมันจะผ่าตลาดไปเสียหมดนะ เพราะรถรางเองก็มีหลายสายบ้างก็สุดสายที่ย่านแฮปปี้วัลเลย์ (Happy Valley) หรือไปไกลๆ อย่าง Shau Kei Wan มันจะมีสีป้ายบอก ให้สังเกตุดู อย่างตอนนี้เราต้องขึ้นป้ายสีเขียว มันจะไปสุดสายที่นอร์ธพอยท์ ก็คือลงที่ตลาดนี้พอดี ระหว่างทางก็ได้ชมเมืองไปเรื่อย แต่ด้วยความที่เราขึ้นเสียตอนเย็น เลยต้องเจอกับประชากรที่ขึ้นโดยสารมาด้วยกันจำนวนมาก แล้วขอโทษรถพี่แกก็วิ่งเป็นเต่าคลาน ยืนตลอดทางนานกว่ารถเมล์บ้านเราอีก T-T คุ้มเลยงานนี้ได้สัมผัสวิถีชาวเมืองเต็มๆ
รถรางค่อยๆ เลี้ยวเข้าซอย Chun Yeung ผมก็มองด้วยใจระทึก มันจะเป็นยังไงหนอ จะเป็นยังไงหนอ ค่อยๆ เคลื่อนผ่านร้านค้าและแผงลอยที่วางข้างทางอย่างช้าๆ สิ่งที่ขายส่วนใหญ่เป็นอาหารสดจำพวก ผลไม้ เนื้อสด มีเสื้อผ้าขายตามแผง นึกๆ แล้วดูเหมือนจะตื่นเต้น แต่อีกใจ ก็เฉยๆ จะว่าเหมือนตลาดร่มหุบบ้านเราก็คงไม่ใช่ เพราะของบ้านเราขายกันบนรางรถไฟ เวลารถไฟมาก็เก็บของกันจ้าละหวั่นราวกับเล่นเกมโชว์ มันเป็นอารมณ์แค่เหมือนนั่งรถ ๒ ชั้นผ่านตลาด ก็แปลกดีเท่านั้น
ผมหาอะไรกินมื้อเย็นในย่านนี้แล้วก็เดินทางกลับที่พัก แต่โปรแกรมเย็นนี้ยังว่างอยู่นิ จึงตัดสินใจแว่บไปเดินเที่ยวย่าน “มงก๊ก” (Mongkok) อันโด่งดังดีกว่า ย่านนี้คนไทยน่าจะเป็นที่รู้จักดีเพราะมีแหล่งช้อปปิ้งมากมายอย่างถ้าจะซื้อรองเท้ากีฬา หรือรองเท้าผ้าใบยี่ห้อดังๆ ก็ต้องไปที่ซอย Fa Yuen ซึ่งจะมีรองเท้าให้เลือกเยอะมาก ราคาก็ถูกกว่าบ้านเราพอสมควร หรือถ้าจะไปเที่ยวสถานที่อันโด่งดังอีกแห่งของฮ่องกงคือ “เลดี้มาร์เก็ต” ก็ให้เดินไปที่ซอย Tung Choi ซอยกลาง จะมีร้านค้าแผงลอยให้เดินดูของ ผมสังเกตุดูก็ไม่ได้ต่างอะไรกับแหล่งช้อปปิ้งบ้านๆ เช่น สะพานพุทธเท่าไหร่ ตั้งแต่เสื้อผ้า ยันของที่ระลึก มีหมด ของก็ไม่ได้ดีเด่กว่าบ้านเราเท่าใดนัก แต่ถ้าซื้อก็ระวังแม่ค้าแกหน่อย บางร้านก็ตื้อเกิ๊น
จุดที่ถือว่าเด่นที่สุดของย่านกลับอยู่ที่ ซอย Sai Yeung Choi ที่อยู่ติดกับถนนนาธาน ครับ ซอยนี้มีร้านขายสินค้าอิเลคโทรอนิคส์ เครื่องสำอาง และเสื้อผ้ายี่ห้อที่คุ้นเคยในบ้านเราเยอะมากๆ แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือ เขาเปิดให้มีการแสดงเปิดหมวกในพื้นที่ด้วย และผู้ที่แสดงงานศิลปะก็ค่อนข้างหลากหลาย บางคนโชว์กายกรรม บ้างก็เขียนเรื่องราวบนผ้าใบ บ้างก็เอาลูกโป่งมามัดเป็นตุ๊กตาแบบที่เราเคย แต่ที่ดูจะเยอะที่สุดคือดนตรีเปิดหมวกตั้งแต่คนพิการทางสายตา เด็กวัยรุ่น ไปจนถึงรุ่นเดอะสูงวัย ต่างโชว์ดวลเพลงกันอย่างสนุกสนาน ถ้าเป็นเพลงเก่าๆ ในยุคหนังจีนเฟื่องฟูในไทยก็จะคุ้นหูอยู่ แต่ส่วนใหญ่ไม่คุ้นเลย .....
วันนี้วันวาเลนไทน์ครับ เขาว่าเป็นวันแห่งความรักของศาสนาคริสต์ คนที่นี่เขาก็สวีตกันเยอะ หนุ่มสาวหลายคู่ต่างจูงมือ มาเดินเที่ยวกันอย่างมีความสุข คนโสดอย่างผมก็ได้แต่มองแบบเซ็งๆ ไม่ได้มีแบบเขา แต่.... อยู่ดีๆ ผมก็เจอเด็กสาวกลุ่มนึงถือป้ายฟรีฮัก หมายถึงให้กอดฟรี การเล่นฟรีฮักเนี่ยในเมืองไทยก็มีครับ เป็นเหมือนกับการให้ความรักความอบอุ่นซึ่งมิตรภาพแก่กันและกัน ไม่ได้มีความหมายในด้านชู้สาวนะครับ แต่ไม่คิดว่าจะได้เจอที่ฮ่องกงด้วย พวกเธอก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ ผมก็ขอเข้าไปถ่ายรูปเธอ เธอก็ยินยอมด้วยความเต็มใจ และพอถ่ายรูปเสร็จหลังจากนั้นก็ .......
ไม่มีอะไรครับ ต่างคนต่างแยกย้าย ไม่มีอะไรจริงจริ๊งงงงงงงงง
• Hong Kong on Foot : ยลเมืองเยือนย่านประวัติศาสตร์
• Hong Kong on Foot : ส่อง Ngong Ping - Tai O ที่ยอดฮิตคนไทย
• Hong Kong on Foot : ตามรอยมรดก Ping Shan # ๒
• Hong Kong on Foot : ตามรอยมรดก Ping Shan # ๑
• Hong Kong on Foot : พิชิต Dragon Back
• Hong Kong on Foot : ตะลุยเกาะ Lamma
๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ - หลังจากเดินเที่ยวชมโบราณสถานตามเส้นทางเดินในแผนที่ที่ผมได้ทำไว้ตั้งแต่เช้า เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนจวนเที่ยง ผมเดินไปเรื่อยๆ ยังจุดต่อไปนั่นคือเสาแขวน “ตะเกียงก๊าซในซอย ดูดเดลล์” (Gas lamp on Duddell st.) ... ในหนังสือเขาบอกว่าไอ้เจ้าเสาตะเกียงนี้มันเป็น ๔ ต้นสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่ในฮ่องกง ซึ่งสมัยก่อนมีการใช้กันมาก แต่พอมีไฟฟ้าทางการก็เปลี่ยนมาใช้แทนของเดิม จนเหลืออนุรักษ์ไว้เพียงแค่ที่ว่านี่ล่ะ
ซ.ดูดเดลล์ เป็นซอยเล็กๆ เชื่อมต่อระหว่าง ถ.ควีน'ส์ (Queen's rd.) กับ ถ.ไอซ์ เฮาส์ (Ice House st.) ซึ่งทางเชื่อมเป็นบันไดหินแกรนิตอยู่ท้ายซอย ขึ้นไปสู่ ถ.ไอซ์ เฮาส์ จากข้อมูลบอกว่า สร้างขึ้นระหว่างปี ๒๔๑๘ - ปี ๒๔๓๒ ส่วนที่มาของชื่อซอยก็เพื่อเป็นเกียรติแก่ ๒ พี่น้อง จอร์จ และ เฟรเดอริคก์ ดูดเดลล์ (George and Frederick Duddell) เจ้าของที่ดินในยุคเริ่มต้นอาณานิคม ที่อพยพมาจากมาเก๊า ปัจจุบันก็เป็นคล้ายๆ ย่านออฟฟิศ มีร้านกาแฟสตาร์บัคส์อยู่ด้านข้าง แอบแว่บเข้าไปราคาพอๆ กับบ้านเราเลยแหะ จะว่าไปเราก็ไม่ได้บ้ากันอยู่ ๒ พะหน่อเพราะตั้งแต่ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ก็เห็นมีชาวต่างชาติวนเวียนมาโพสต์ท่าแชะเสาโคมตะเกียงกันสนุกสนาน
ผมปล่อยคู่หูนั่งพักในร้านกาแฟสักระยะ แล้วก็เดินทางต่อ คราวนี้ขึ้นบันไดไปยัง ถ.ไอซ์ เฮาส์ เดินย้อนศรไปจนสุดถนนแล้วมองไปทางซ้ายก็จะเห็นอาคารๆ หนึ่งรูปร่างดูเหมือนสถาปัตยกรรมยุโรป มีไม้กางเขนด้วย ตึกนี้คือ “บิชอป'ส เฮาส์” (Bishop's House) เห็นว่า แต่ดั้งเดิมได้ถูกสร้างเพื่อเป็นโรงเรียนสำหรับนักเรียนชาวจีน ชื่อ วิทยาลัยเซนต์ พอล (St Paul's College) ก่อสร้างเมื่อปีพ.ศ. ๒๓๘๖ ในขณะที่ วินเซนต์ จอห์น สแตนตัน (Vincent John Stanton) ถูกแต่งตั้งให้เป็นอนุศาสนาจารย์แห่งอาณานิคม โดยเสร็จเมื่อปี ๒๓๙๑ และเมื่อเกิดสังฆมณฑลแห่งวิคตอเรียขึ้น คุณวินเซนต์ ก็ได้ส่งมอบวิทยาลัยนี้ให้แก่ ดร.จอร์จ สมิธ (George Smith)หัวหน้าบาทหลวงองค์ใหม่ ที่ถูกแต่งตั้งขึ้น นอกจากนี้สถาปัตยกรรมภายในได้ถูกบูรณะขึ้นใหม่อย่างสมบูรณ์และทันสมัย ในปี ๒๕๑๐ - ๒๕๑๑
และพอมองไปข้างหน้า ก็จะเห็นกับอาคารลายขวางแนวยาวสีออกส้มๆ สลับครีมๆ ดูคล้ายๆ นั่นก็คือ “ตึกฟาร์มโคนมเก่า” (Old dairy farm building) ประวัติเขาว่า ถูกสร้างขึ้นในปี ๒๔๓๕ ด้วยตัวอาคารอิฐแนวราบและงานปูนปั้น บนถนนโลว์เวอร์ อัลเบิร์ท (Lower Albert Rd.) ใช้เพื่อเป็นคลัง สินค้าโดยถูกเก็บรักษาด้วยความเย็น แต่เดิมโรงเก็บวัตถุมีเพียงแค่ครึ่งหนึ่งคือทางส่วนตอนใต้จากพื้นที่ปัจจุบัน ต่อมาคลังสินค้าได้ถูกปรับปรุงและขยายตัวเพิ่มในปี ๒๔๕๖ ,๒๔๖๐ และปี ๒๔๖๘ ได้ถูกเพิ่มในส่วนของร้านขายนม ห้องสำหรับรมควันเนื้อ ห้องแช่แข็ง และที่พักอาศัยของผู้จัดการทั่วไป ตัวอาคารได้วิวัฒนาการเป็นสำนัก ใหญ่ของบริษัทจนกระทั่งบริษัทได้ย้ายออกไปในปี ๒๕๑๓ จากนั้นสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศได้เข้ามาเป็นเจ้าของอาคารทางตอนเหนือเมื่อปี ๒๕๒๕ และทางด้านใต้สโมสรชาวฮ่องกงชายขอบ (The Hong Kong Fringe Club) ก็ได้เข้ามาใช้ในปี ๒๕๒๗ มันถูกปรับปรุงครั้งใหญ่หลายระดับนับตั้งแต่สโมสรดังกล่าวเข้ามา โดยใช้ศิลปะร่วมสมัยเพื่อสร้างความมีชีวิตชีวาให้แก่พื้นที่
เดินจนครบ ๙ จุดเส้นทางสำรวจอาคารประวัติศาสตร์ตามที่หมายเอาไว้ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาก็เดินทางต่อไปยัง “ตลาดตะวันตก” (Western Market) โดยเดินลงไปตาม ถ.ไอซ์ เฮาส์ ไปเรื่อยๆ จนถึงถนนเดส โวกซ์ กลาง (Des Voeux Road Central) เพื่อไปยังย่านสถานีรถไฟใต้ดิน Sheung Wan แต่วิธีการไปของผมนั้นคือ นั่งรถรางครับ! รถรางในฮ่องกงเป็นรถสาธารณะชนิดที่ถูกมากๆ เสียค่าโดยสารราวๆ ๒ เหรียญ หรือ ๘ บาท ได้ มี ๒ ชั้น ที่โชคดีคือ ตอนขึ้นมาคนอย่างน้อย เลยไปตระเวนถ่ายรูปเล่น เดินกันสนุกเลย เพราะพี่แกขับสไตล์ช้า หวานเย็นสุดๆ ภายในมีเบาะพลาสติกนั่งไม่กี่ที่ เน้นยืน ชั้นบนมีป้ายไฟบอกสถานีที่เรากำลังจะไปถึงเป็นภาษาจีนและอังกฤษ อันนี้บ้านเราน่าทำครับ
นั่งรถรางไม่นานก็ถึงที่หมายตลาดตะวันตก เป็นอาคารสีน้ำตาลประมาณ ๕ ชั้น เห็นว่าเป็นสถาปัตยกรรมแบบเอ็ดเวิร์ดของอังกฤษ ถูกสร้างในปี ๒๔๔๙ แต่เดิมมี ๒ หลัง ปัจจุบันได้เหลือเพียง ๑ อาคาร ที่มีขนาดเล็กกว่า ก่อนหน้านี้ใช้เป็นที่ตั้งของการท่าเรือ ก่อนจะย้ายไปยัง เขตเซ็นทรัล แล้วกลายมาเป็นอาคารนอร์ธบล๊อก ของตลาดตะวันตก จำหน่ายสินค้าประเภทอาหารจนกระทั่งปี ๒๕๓๑ ต่อมาได้ถูกขึ้นทะเบียนทาง ประวัติศาสตร์ ในปี ๒๕๓๓ และได้รับการบูรณะตัวอาคารเพื่อเปิดใช้งานในชื่อ เวสเทิร์น มาร์เก๊ต ในปี ๒๕๓๔ ผมเข้าไปเดินเล่นในตึกก็มีของขายรายย่อยนิดหน่อย ชั้นบนเป็นร้านอาหาร ข้างล่างมีร้านขายขนมปัง มียาคูลท์แบบลดน้ำตาลขายด้วย ก็เดินหยิบขนมปังมาชิมสัก ๒ - ๓ ชิ้น รองท้องก่อนเดินทางต่อ
ตามแผนเดิมเราจะไปย่านร้านขายอาหารแห้งแต่ปรากฏว่า เดินไปเรื่อยๆ มีแต่ร้านปิด ๆ ๆ ก็เลยเดินทะลุมายัง ถ.ฮอลลิวูด เพื่อไปสู่ศาลเจ้าหมันโหมวบนถนนนี้ ระหว่างทางก็ไปเจอสวนสาธารณะถนนฮอลลิวูดทางเข้าเป็นซุ้มประตูถาวรสถาปัตยกรรมจีน ภายในประดับตุ๊กตาเด็กชายฉลองตรุษจีนลอยกลางน้ำ และมีเก๋งจีน (ซุ้มม้านั่ง) อยู่พอสมควร แว่บไปได้เดี๋ยวเดียวก็เดินออกมาสู่ถนนเพื่อไปยังจุดหมาย
และแล้วเราก็เดินมาจนถึง “ศาลเจ้าหมันโหมว” ที่ผมว่าเนี่ยล่ะ คนเยอะแยะเลยแหะ คาดว่าคงมาไหว้ให้เป็นสิริมงคลในช่วงปีใหม่ ศาลเจ้านี้ถูกสร้างในปี ๒๓๙๐ ในสมัยจักรพรรดิ์เต้ากวง (Daoguang) แห่งราชวงศ์ชิงเพื่ออุทิศแด่เทพเจ้า Man Cheong เทพเจ้าแห่งพลเรือน และ เทพเจ้า Kwan Tai เทพเจ้าแห่งการต่อสู้ เป็นสถาปัตยกรรมแบบจีน ก็ศาลเจ้าแบบบ้านเรานั่นล่ะ เข้าไปด้านในห้องโถงขนาดใหญ่มีกระถางธูปอยู่ด้านหน้า ข้างๆ มีโคมไฟเรียงราย ๒ ข้าง ส่วนด้านบนมีแต่ธูปขดอันใหญ่ๆ พร้อมห้อยป้ายสีแดงเต็มไปหมดเลย รอบๆ ก็มีเทพเจ้าอยู่เรียงราย แต่จุดไฮไลท์ก็อยู่ตรงที่เทพเจ้า ๒ องค์ตามชื่อที่เอ่ยมาซึ่งอยู่ในสุดนั่นล่ะครับ
ถัดมาอีกห้องหนึ่งก็จะมีศาลเจ้าอยู่เช่นกัน ซึ่งผมก็ไม่ค่อยรู้อะไรมากนัก ได้แต่เดาไปว่า อ่อ องค์นี้เจ้าแม่กวนอิม องค์นี้เปาบุ้นจิ้น ตอนเดินออกมาจากห้องโถงที่หน้าประตูทางเข้ามาการตั้งบู๊ทให้เขียนข้อความบนริบบิ้นสีชมพูนำไปผูกไว้ที่ต้นดอกเหมย 2 ต้นขนาบข้างรูปปั้นเด็ก ๒ คนอยู่ด้วย ผมก็ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับวันวาเลนไทน์วันนี้ด้วยหรือไม่ แต่ถ้าใช่ก็คงจะเหมือนกับเป็นการขอคู่รักกระมัง (ซึ่งถ้าจริง ผมก็ถือว่าพลาดสุดๆ เบย)
เดินออกมาจากศาลเจ้าก็มุ่งตรงไปสู่สถานที่สุดท้ายของวันนี้ ซึ่งอยู่ในย่านนอร์ธ พ้อยท์ (Nort point) นั่นคือ “ตลาดในซอย Chun Yeung” แล้วมันประหลาดตรงไหนล่ะ? .... ถ้าพูดถึงในบ้านเรามีตลาดร่มหุบ ที่แม่กลอง สมุทรสงคราม แต่เชื่อหรือไม่ว่า ที่ฮ่องกงเขาก็มีแบบนี้เหมือนกันนะ ในหนังสือแนะนำท่องเที่ยวบอก (หลอก) ผมว่าเป็นตลาดที่มีรถรางวิ่งผ่ากลางเลย โอ้บร๊ะเจ้า มันเป็นสิ่งที่ทำให้ผมอยากไปดูให้เห็นกับตาจริงๆ เลยต้องถ่อสังขารจาก ถ.ฮอลลิวูด ไปยังย่านดังกล่าว ซึ่งอยู่ไกลจากกันพอสมควร และด้วยความเท่ ผมจึงต้องหารถรางให้มันวิ่งผ่าตลาดไป
แต่ ... ก็ไม่ใช่ว่ารถรางทุกสายมันจะผ่าตลาดไปเสียหมดนะ เพราะรถรางเองก็มีหลายสายบ้างก็สุดสายที่ย่านแฮปปี้วัลเลย์ (Happy Valley) หรือไปไกลๆ อย่าง Shau Kei Wan มันจะมีสีป้ายบอก ให้สังเกตุดู อย่างตอนนี้เราต้องขึ้นป้ายสีเขียว มันจะไปสุดสายที่นอร์ธพอยท์ ก็คือลงที่ตลาดนี้พอดี ระหว่างทางก็ได้ชมเมืองไปเรื่อย แต่ด้วยความที่เราขึ้นเสียตอนเย็น เลยต้องเจอกับประชากรที่ขึ้นโดยสารมาด้วยกันจำนวนมาก แล้วขอโทษรถพี่แกก็วิ่งเป็นเต่าคลาน ยืนตลอดทางนานกว่ารถเมล์บ้านเราอีก T-T คุ้มเลยงานนี้ได้สัมผัสวิถีชาวเมืองเต็มๆ
รถรางค่อยๆ เลี้ยวเข้าซอย Chun Yeung ผมก็มองด้วยใจระทึก มันจะเป็นยังไงหนอ จะเป็นยังไงหนอ ค่อยๆ เคลื่อนผ่านร้านค้าและแผงลอยที่วางข้างทางอย่างช้าๆ สิ่งที่ขายส่วนใหญ่เป็นอาหารสดจำพวก ผลไม้ เนื้อสด มีเสื้อผ้าขายตามแผง นึกๆ แล้วดูเหมือนจะตื่นเต้น แต่อีกใจ ก็เฉยๆ จะว่าเหมือนตลาดร่มหุบบ้านเราก็คงไม่ใช่ เพราะของบ้านเราขายกันบนรางรถไฟ เวลารถไฟมาก็เก็บของกันจ้าละหวั่นราวกับเล่นเกมโชว์ มันเป็นอารมณ์แค่เหมือนนั่งรถ ๒ ชั้นผ่านตลาด ก็แปลกดีเท่านั้น
ผมหาอะไรกินมื้อเย็นในย่านนี้แล้วก็เดินทางกลับที่พัก แต่โปรแกรมเย็นนี้ยังว่างอยู่นิ จึงตัดสินใจแว่บไปเดินเที่ยวย่าน “มงก๊ก” (Mongkok) อันโด่งดังดีกว่า ย่านนี้คนไทยน่าจะเป็นที่รู้จักดีเพราะมีแหล่งช้อปปิ้งมากมายอย่างถ้าจะซื้อรองเท้ากีฬา หรือรองเท้าผ้าใบยี่ห้อดังๆ ก็ต้องไปที่ซอย Fa Yuen ซึ่งจะมีรองเท้าให้เลือกเยอะมาก ราคาก็ถูกกว่าบ้านเราพอสมควร หรือถ้าจะไปเที่ยวสถานที่อันโด่งดังอีกแห่งของฮ่องกงคือ “เลดี้มาร์เก็ต” ก็ให้เดินไปที่ซอย Tung Choi ซอยกลาง จะมีร้านค้าแผงลอยให้เดินดูของ ผมสังเกตุดูก็ไม่ได้ต่างอะไรกับแหล่งช้อปปิ้งบ้านๆ เช่น สะพานพุทธเท่าไหร่ ตั้งแต่เสื้อผ้า ยันของที่ระลึก มีหมด ของก็ไม่ได้ดีเด่กว่าบ้านเราเท่าใดนัก แต่ถ้าซื้อก็ระวังแม่ค้าแกหน่อย บางร้านก็ตื้อเกิ๊น
จุดที่ถือว่าเด่นที่สุดของย่านกลับอยู่ที่ ซอย Sai Yeung Choi ที่อยู่ติดกับถนนนาธาน ครับ ซอยนี้มีร้านขายสินค้าอิเลคโทรอนิคส์ เครื่องสำอาง และเสื้อผ้ายี่ห้อที่คุ้นเคยในบ้านเราเยอะมากๆ แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือ เขาเปิดให้มีการแสดงเปิดหมวกในพื้นที่ด้วย และผู้ที่แสดงงานศิลปะก็ค่อนข้างหลากหลาย บางคนโชว์กายกรรม บ้างก็เขียนเรื่องราวบนผ้าใบ บ้างก็เอาลูกโป่งมามัดเป็นตุ๊กตาแบบที่เราเคย แต่ที่ดูจะเยอะที่สุดคือดนตรีเปิดหมวกตั้งแต่คนพิการทางสายตา เด็กวัยรุ่น ไปจนถึงรุ่นเดอะสูงวัย ต่างโชว์ดวลเพลงกันอย่างสนุกสนาน ถ้าเป็นเพลงเก่าๆ ในยุคหนังจีนเฟื่องฟูในไทยก็จะคุ้นหูอยู่ แต่ส่วนใหญ่ไม่คุ้นเลย .....
วันนี้วันวาเลนไทน์ครับ เขาว่าเป็นวันแห่งความรักของศาสนาคริสต์ คนที่นี่เขาก็สวีตกันเยอะ หนุ่มสาวหลายคู่ต่างจูงมือ มาเดินเที่ยวกันอย่างมีความสุข คนโสดอย่างผมก็ได้แต่มองแบบเซ็งๆ ไม่ได้มีแบบเขา แต่.... อยู่ดีๆ ผมก็เจอเด็กสาวกลุ่มนึงถือป้ายฟรีฮัก หมายถึงให้กอดฟรี การเล่นฟรีฮักเนี่ยในเมืองไทยก็มีครับ เป็นเหมือนกับการให้ความรักความอบอุ่นซึ่งมิตรภาพแก่กันและกัน ไม่ได้มีความหมายในด้านชู้สาวนะครับ แต่ไม่คิดว่าจะได้เจอที่ฮ่องกงด้วย พวกเธอก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ ผมก็ขอเข้าไปถ่ายรูปเธอ เธอก็ยินยอมด้วยความเต็มใจ และพอถ่ายรูปเสร็จหลังจากนั้นก็ .......
ไม่มีอะไรครับ ต่างคนต่างแยกย้าย ไม่มีอะไรจริงจริ๊งงงงงงงงง