การสวมหมวกป้ายสีคู่ต่อสู้ผลักเพื่อเพิ่มความชอบธรรมให้กับฝ่ายตนเองไว้ก่อนเป็นวิธีการต่อสู้ดั้งเดิมที่ใช้ได้ผลมาถึงบัดนี้สังเกตดูนักวิชาการซ้ายเก่าก็ใช้ สื่อมวลชนซ้ายเก่าเอียงแดงกะเท่เร่ก็ใช้ โฆษกนักการเมืองก็เอามาใช้เช่นจู่ๆ ครั้งหนึ่งนายตู่อ้างการข่าวจากไหนไม่รู้โมเมว่าอีกฝ่ายจะรัฐประหารโดยมีแผนจับตัวนายกยิ่งลักษณ์ขอให้พี่น้องออกมารวมตัวกัน หรือไม่ก็สื่อบางคนเรียกพวกรัฐบาลและเสื้อแดงเป็นฝ่ายประชาธิปไตยส่วนอีกฝ่ายหนึ่งเรียกซะไม่เหลืออะไรดีว่าศักดินาจารีต-ราชาชาตินิยมล้าหลัง ประเภทฟังแล้วต้องเป็นเผด็จการไดโนเสาร์เพิ่งโผล่มาจากรูอะไรสักอย่าง
วิธีการแบบนี้หนึ่งคือทำให้ตัวเองได้เปรียบผลักฝ่ายตรงข้ามให้ตกหลุมไว้ก่อนส่วนจะแก้ตัวยังไงก็เรื่องของเมิง
จนล่าสุดนักการเมือง-แกนนำแดง-โฆษกเพื่อไทยก็เริ่มหันมาใช้วิธีการสวมหมวกป้ายฝ่ายตรงข้ามไว้ก่อนอีกครั้งโดยการเหมาหน้ากากขาวที่กำลังโตเอาๆ เป็นหน้ากากเรียกหารัฐประหาร..นั่น ! เอาเข้าไป !!! แต่ก็นั่นเองการป้ายสีจะได้ผลแค่ไหนยังไงต้องอาศัยองค์ประกอบอื่นด้วยทั้งสภาพแวดล้อมและความน่าเชื่อถือของคนพูด ลำพังลมปากโฆษกอนุสรณ์หรือเสด็จพี่พร้อมพงศ์น่ะไม่มีราคาจูงใจให้คนเชื่อหรอก-คนเสื้อแดงบางคนเขายังไม่เชื่อเลยประสาอะไรกับคนนอกพรรค
การทำลายความชอบธรรมของฝ่ายตรงข้ามมีมากมายหลายวิธีไม่จำเป็นต้องอาศัยลมปากก็ได้เช่นเริ่มมีความพยายามสร้างภาพให้หน้ากากขาวเป็นม็อบกระหายเลือดอันธพาลเกะกะระราน วิธีการแบบนี้ได้ผลแน่หากมีตัวอย่างประกอบด้วยซึ่งก็ไม่แน่นะการนัดหมายของหน้ากากขาวคราวหน้าถูกสกัดดาวรุ่งเช่นส่งหน้ากากขาวปลอมเข้าไปก่อเหตุไม่เข้าท่า ไล่ตีทำร้ายคนหรือทุบป้อมตำรวจสัญญาณไฟต่างๆ ก็เป็นไปได้เช่นกัน
แดงอยากให้ขาวถ่อย เพราะแดงก็รู้ว่าถ่อยมีผลลบ แต่แดงเองก็ถ่อยและไม่รู้จะจัดการยังไงกับถ่อยพวกตัวเอง
เพราะความถ่อยมันทำลายความชอบธรรมของขบวนการที่แอบอิงประชาธิปไตย ดังจะเห็นว่าล่าสุดแกนนำท้องถิ่นเสื้อแดงที่เชียงใหม่ต่างพยายามแก้ตัวกันจ้าละหวั่นว่าเหตุระยำไม่เข้าท่าซึ่งเกิดที่ลำพูน-เชียงใหม่ 2 สัปดาห์ซ้อนน่ะแดงพวกตัวน่ะไม่เกี่ยว เป็นเรื่องของแดงเทียมบ้าง ต่างด้าวบ้าง หรือไม่ก็อ้างหน้าตาเฉยว่าไม่ได้ทำอะไรรุนแรงเลย หน้ากากขาวต่างหากที่จงใจยั่วยุให้เกิดเรื่องขึ้นมา...เออว่ะ ตีเขาแล้วโบ้ย หน้าตาเฉยกันได้ถึงขนาดนั้น!
ในขณะที่โฆษกรัฐต่างพากันปฏิเสธว่าเสื้อแดงไม่ทำรุนแรง เป็นแดงเทียมและยังเลี่ยงความรับผิดชอบด้วยการอ้างว่าหน้าที่ห้ามปรามประชาชนสองสีไม่ให้ปะทะกันเป็นเรื่องของตำรวจแต่ลืมไปว่าพรรคของตัวเองน่ะเป็นรัฐบาลกำกับควบคุมการทำหน้าที่ของตำรวจอยู่ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้
เมื่อตำรวจไม่ทำหน้าที่ จะมีใครที่ไหนรัฐบาลนั่นแหละที่ต้องรับผิดชอบก่อนใครอื่น !
เหตุการณ์ถ่อยเถื่อนที่เกิดขึ้นที่ลำพูน-เชียงใหม่น่ะคือการหลิ่วตาของรัฐบาลให้ม็อบเสื้อแดงกระทำการรุนแรงกับฝ่ายตรงข้ามอย่างน่าเกลียดสถานที่จัดงานของประชาธิปัตย์ก็เลือกร้านอาหารของนายขยัน วิพรหมชัยอดีตส.ส.เป็นที่ส่วนตัวและก็ไม่ใช่หมู่บ้านตำบลเดียวกับเสื้อแดงที่ตายอย่างที่มีแดงบางกลุ่มอ้างว่าประชาธิปัตย์ไปยั่วยุด้วยซ้ำไป
บอกตรงๆ ว่าผมทุเรศกับการหาเหตุหาเรื่องด้วยวิธีแบบนี้อย่างยิ่งนึกอะไรไม่ออกก็อ้างว่าเขามายั่วยุเจ้าถิ่น เสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยคงลืมไปแล้วว่าสมัยรัฐบาลชิงแก่พรรคพลังประชาชนกำลังเริ่มก่อตั้งขยับเคลื่อนไหวทางการเมืองอีกครั้งหนึ่งก็ใช้สถานที่ลานบริษัทยาสูบของอนุสรณ์ วงศ์วรรณจัดงานปราศรัยทั้งๆ ที่ยุคนั้นเป็นยุคคมช.เขาก็ยังเปิดให้จัดงานกันตามสะดวกเพราะถือว่าจัดขึ้นในที่ส่วนตัวและเป็นงานการเมืองแบบเปิด ส.ส.ลำพูนสงวน พงษ์มณีคงจำอะไรไม่ได้แล้วล่ะสิเหตุถ่อยเถื่อนที่เกิดอย่าปฏิเสธนะว่าไม่รู้ ไม่เห็น ปากหนึ่งอ้างประชาธิปไตยจ๋าน่ารังเกียจจริงๆ
มาถึงเหตุดีเจรักเชียงใหม่ 51 ระดมคนไล่ตีหน้ากากขาวหยิบมือเดียวนี่ก็เช่นกันตำรวจรู้ล่วงหน้าแล้วว่าจะมีเหตุรุนแรงเพราะดีเจคลื่นนี้ปลุกคนมาตั้งแต่เที่ยงมีการเตรียมประทัดเตรียมการกระทืบหลุดออกมาจากโทรศัพท์ร่วมรายการมากมายแต่ตำรวจก็ทำเหมือนหน้ากากขาว-เสื้อแดงจะมาช็อปปิ้งหรือออกกำลังกายแถวนั้นตามปกติ ไม่เพียงเท่านั้นมีดีเจคนหนึ่งอ้างว่ามีเจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกระซิบบอกข้อมูลการเตรียมการของหน้ากากขาวมาให้ระบุจำนวนคนแผนการนัดหมายต่างๆให้กับเสื้อแดงซึ่งหากเจ้าหน้าที่ของรัฐทำแบบนี้ก็ชัดเจนว่าสนับสนุนให้ประชาชนยกพวกไปไล่ทำร้ายประชาชนอีกฝ่าย
รัฐบาลจะมาอ้างไม่ได้ว่าเป็นเรื่องประชาชนหรือเรื่องของตำรวจเพราะรู้ๆกันอยู่ว่าตำรวจทั้งภาค 5 น่ะเป็นสีแดงลองรัฐบาลยกหูโทรศัพท์กริ๊งเดียวถึงผบช.ภ.5 ห้ามไม่ให้ทำร้ายกันต่างคนต่างอยู่แยกกันนะมีหรือตำรวจจะไม่เด้งรับจัดการให้ตามสั่ง แต่นี่กลายเป็นตำรวจหนุนให้อีกฝ่ายไปตีอีกฝ่ายกลายๆ จะให้สรุปเป็นอย่างอื่นไม่ได้ว่ารัฐหลิ่วตาให้เกิดความรุนแรง
นอกจากเชียงใหม่ที่เชียงรายเมื่อวันอาทิตย์ก็เช่นกันคนเสื้อแดงรวบรวมคนสัก 200 ไปดักอยู่ที่ห้าแยกพ่อขุนดักรอหน้ากากขาวแต่อีกฝ่ายไม่ออกมามิฉะนั้นก็จะซ้ำรอยเชียงใหม่อีก
การที่รัฐหลิ่วตาให้เกิดความรุนแรงแบบนี้เพราะมีความจำเป็นต้อง “วอร์มอัพ” มวลชนโดยเฉพาะกลุ่มที่เปิดปุ๊บติดปั๊บเหล่านี้เตรียมการเอาไว้สำหรับงานใหญ่เดือนสิงหาคมมันก็เลยเกิดสภาพอิหลักอิเหลื่อ
ทางหนึ่งก็ประสาผู้มีอำนาจอยู่ในมือทั่วไปอยากให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยไม่มีเหตุปะทะหรือเหตุที่บ่มอุณหภูมิขัดแย้งเพื่อจะได้อยู่ในอำนาจนานๆต่อไป แต่อีกทางหนึ่งก็จำเป็นต้องเลี้ยงอันธพาลเอาไว้เพื่อรักษาอำนาจตน
ความอิหลักอิเหลื่อไม่รู้จะเอายังไงแน่ดังกล่าวของรัฐบาลนี่แหละที่จะนำไปสู่ความรุนแรงที่หนักขึ้นๆจนที่สุดจะเรียกหารัฐประหารที่เป็นผีนอนอยู่ในหลุมให้ผุดขึ้นจากหลุมขึ้นมาจริงๆ
เพราะเมื่อคนไม่มีทางออก จะแสดงออกอย่างสงบไม่ได้ก็ต้องลงไปใต้ดินกลายเป็นสภาพแสดงออกหรือก่อเหตุแบบจรยุทธ์ เช่นขีดเขียนข้อความปฏิเสธอำนาจรัฐตามกำแพง ตามแยก ตามสะพานลอยเหมือนยุค 14 ตุลาที่นักศึกษาต้องแอบไปปิดโปสเตอร์ตอนกลางคืน หรือหนักกว่านั้นในพื้นที่ซึ่งคับอกคับใจมากๆ อาจจะปะทุเหมือนกับภาคใต้ลอบเผาโรงเรียน เผาป้อมยามตำรวจก็เป็นไปได้
อย่าได้ห้ามหรือปิดกั้นเลยครับ ! หน้ากากขาวตอนนี้น่ะเขายังแค่เริ่มรวมตัวยังแค่นัดหมายสัปดาห์ละหน ยังเดินกันเป็นแถวเป็นระเบียบ แต่ถ้าหากมีการพยายามทำลายขบวนที่เรียบร้อยดังกล่าวลงเพียงคิดว่าตัดไฟแต่ต้นลมผลลัพธ์ที่ได้อาจจะไม่ใช่หน้ากากขาวที่เรียบร้อยเป็นระเบียบแสดงออกแค่ความไม่พอใจรัฐอย่างสันติเหมือนเดิม เพราะการห้ามหรือทำลายเท่ากับส่งเสริมสภาพการต่อต้านแบบต่างคนต่างทำ คนเมื่อคับแค้นน่ะแสดงออกมาไม่เรียบร้อยหรอก
การห้าม หรือการใช้อันธพาลไปตีเขา หรือแฝงตัวไปทำลายเขานั้นน่ะคือการเร่งปฏิกริยาให้เกิดสภาวะอนาธิปไตยขึ้นในบ้านเมืองมากขึ้นเท่านั้น ที่กรุงเทพน่ะไม่เท่าไหร่เพราะแดงน้อยกว่าแต่หัวเมืองใหญ่ไม่ใช่แค่เหนือแล้วนะแฟชั่นการห้ามอีกฝ่ายแสดงออกลามไปขอนแก่น ภาคอีสานแล้ว
ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นไม่อยากจินตนาการต่อเลยว่ามันง่ายมากที่จะพัฒนากลายเป็นสงครามกลางเมืองระหว่างประชาชนเป็นหย่อมๆ กระจายไปทั่ว
สภาพแบบนี้แหละคือเชื้อไฟชั้นดีของการรัฐประหาร ซึ่งบอกตามตรงนะทหารลากปืนออกมาโอกาสแค่ 50-50 เพราะประชาชนไม่กลัวทหารเหมือนแต่ก่อนแล้ว อีกทั้งนักการเมืองก็มีตำรวจเป็นกองกำลังติดอาวุธของตัวเองทหารแตงโมก็มีอยู่ ดีไม่ดีทหารออกมาเป็นข้ออ้างชั้นดีของการทำรัฐประหารซ้อนล้างผิดตนเอง...ก็เละสิครับประเทศไทยเพราะเมื่อถึงตอนนั้นไม่ว่าฝ่ายใดชนะ ถึงแม้วก็เหอะ ! ชนะล้างผิดตนเองได้ก็จริงแต่ก็ล้างบนซากปรักพังของประเทศ
ผมเชื่อว่ากุนซือคนคุมเกมของเพื่อไทยและทักษิณคงไม่อยากเลือกเส้นทางนี้หรอก แต่นั่นเองด้วยอาการอิหลักอิเหลื่อจนถึงบัดนี้ก็ไม่รู้จัดการยังไงกับมวลชนฮาร์ดคอร์ที่เหมือนเสือร้ายต้องคอยป้อนเหยื่อสดให้เพื่อให้รักษาสภาพดุร้ายเอาไว้แต่ก็ต้องระวังไม่ให้หลุดออกมาก่อนเวลาอันควร
การห่วงหน้าพะวงหลังวอร์มอัพมวลชนฮาร์ดคอร์ทำให้รัฐบาลจำต้องหลิ่วตาให้กับอันธพาลเสื้อแดงต่อไปโดยสุ่มเสี่ยงกับสภาวะเกิดความรุนแรงระหว่างประชาชน-เกิดสภาพอนาธิปไตยมากขึ้นเรื่อยๆ
ความรุนแรงจะนำมาซึ่งความรุนแรงมากขึ้นยิ่งกว่า..เรื่อยๆ...มากขึ้นๆ
เมื่อถึงเวลานั้นอย่าได้โทษหน้ากากขาวเลย เพราะเสื้อแดงต่างหากที่กวักมือล่อ เอ๊ย เรียกทหาร...หาใช่ใครที่ไหนหรอก !
วิธีการแบบนี้หนึ่งคือทำให้ตัวเองได้เปรียบผลักฝ่ายตรงข้ามให้ตกหลุมไว้ก่อนส่วนจะแก้ตัวยังไงก็เรื่องของเมิง
จนล่าสุดนักการเมือง-แกนนำแดง-โฆษกเพื่อไทยก็เริ่มหันมาใช้วิธีการสวมหมวกป้ายฝ่ายตรงข้ามไว้ก่อนอีกครั้งโดยการเหมาหน้ากากขาวที่กำลังโตเอาๆ เป็นหน้ากากเรียกหารัฐประหาร..นั่น ! เอาเข้าไป !!! แต่ก็นั่นเองการป้ายสีจะได้ผลแค่ไหนยังไงต้องอาศัยองค์ประกอบอื่นด้วยทั้งสภาพแวดล้อมและความน่าเชื่อถือของคนพูด ลำพังลมปากโฆษกอนุสรณ์หรือเสด็จพี่พร้อมพงศ์น่ะไม่มีราคาจูงใจให้คนเชื่อหรอก-คนเสื้อแดงบางคนเขายังไม่เชื่อเลยประสาอะไรกับคนนอกพรรค
การทำลายความชอบธรรมของฝ่ายตรงข้ามมีมากมายหลายวิธีไม่จำเป็นต้องอาศัยลมปากก็ได้เช่นเริ่มมีความพยายามสร้างภาพให้หน้ากากขาวเป็นม็อบกระหายเลือดอันธพาลเกะกะระราน วิธีการแบบนี้ได้ผลแน่หากมีตัวอย่างประกอบด้วยซึ่งก็ไม่แน่นะการนัดหมายของหน้ากากขาวคราวหน้าถูกสกัดดาวรุ่งเช่นส่งหน้ากากขาวปลอมเข้าไปก่อเหตุไม่เข้าท่า ไล่ตีทำร้ายคนหรือทุบป้อมตำรวจสัญญาณไฟต่างๆ ก็เป็นไปได้เช่นกัน
แดงอยากให้ขาวถ่อย เพราะแดงก็รู้ว่าถ่อยมีผลลบ แต่แดงเองก็ถ่อยและไม่รู้จะจัดการยังไงกับถ่อยพวกตัวเอง
เพราะความถ่อยมันทำลายความชอบธรรมของขบวนการที่แอบอิงประชาธิปไตย ดังจะเห็นว่าล่าสุดแกนนำท้องถิ่นเสื้อแดงที่เชียงใหม่ต่างพยายามแก้ตัวกันจ้าละหวั่นว่าเหตุระยำไม่เข้าท่าซึ่งเกิดที่ลำพูน-เชียงใหม่ 2 สัปดาห์ซ้อนน่ะแดงพวกตัวน่ะไม่เกี่ยว เป็นเรื่องของแดงเทียมบ้าง ต่างด้าวบ้าง หรือไม่ก็อ้างหน้าตาเฉยว่าไม่ได้ทำอะไรรุนแรงเลย หน้ากากขาวต่างหากที่จงใจยั่วยุให้เกิดเรื่องขึ้นมา...เออว่ะ ตีเขาแล้วโบ้ย หน้าตาเฉยกันได้ถึงขนาดนั้น!
ในขณะที่โฆษกรัฐต่างพากันปฏิเสธว่าเสื้อแดงไม่ทำรุนแรง เป็นแดงเทียมและยังเลี่ยงความรับผิดชอบด้วยการอ้างว่าหน้าที่ห้ามปรามประชาชนสองสีไม่ให้ปะทะกันเป็นเรื่องของตำรวจแต่ลืมไปว่าพรรคของตัวเองน่ะเป็นรัฐบาลกำกับควบคุมการทำหน้าที่ของตำรวจอยู่ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้
เมื่อตำรวจไม่ทำหน้าที่ จะมีใครที่ไหนรัฐบาลนั่นแหละที่ต้องรับผิดชอบก่อนใครอื่น !
เหตุการณ์ถ่อยเถื่อนที่เกิดขึ้นที่ลำพูน-เชียงใหม่น่ะคือการหลิ่วตาของรัฐบาลให้ม็อบเสื้อแดงกระทำการรุนแรงกับฝ่ายตรงข้ามอย่างน่าเกลียดสถานที่จัดงานของประชาธิปัตย์ก็เลือกร้านอาหารของนายขยัน วิพรหมชัยอดีตส.ส.เป็นที่ส่วนตัวและก็ไม่ใช่หมู่บ้านตำบลเดียวกับเสื้อแดงที่ตายอย่างที่มีแดงบางกลุ่มอ้างว่าประชาธิปัตย์ไปยั่วยุด้วยซ้ำไป
บอกตรงๆ ว่าผมทุเรศกับการหาเหตุหาเรื่องด้วยวิธีแบบนี้อย่างยิ่งนึกอะไรไม่ออกก็อ้างว่าเขามายั่วยุเจ้าถิ่น เสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยคงลืมไปแล้วว่าสมัยรัฐบาลชิงแก่พรรคพลังประชาชนกำลังเริ่มก่อตั้งขยับเคลื่อนไหวทางการเมืองอีกครั้งหนึ่งก็ใช้สถานที่ลานบริษัทยาสูบของอนุสรณ์ วงศ์วรรณจัดงานปราศรัยทั้งๆ ที่ยุคนั้นเป็นยุคคมช.เขาก็ยังเปิดให้จัดงานกันตามสะดวกเพราะถือว่าจัดขึ้นในที่ส่วนตัวและเป็นงานการเมืองแบบเปิด ส.ส.ลำพูนสงวน พงษ์มณีคงจำอะไรไม่ได้แล้วล่ะสิเหตุถ่อยเถื่อนที่เกิดอย่าปฏิเสธนะว่าไม่รู้ ไม่เห็น ปากหนึ่งอ้างประชาธิปไตยจ๋าน่ารังเกียจจริงๆ
มาถึงเหตุดีเจรักเชียงใหม่ 51 ระดมคนไล่ตีหน้ากากขาวหยิบมือเดียวนี่ก็เช่นกันตำรวจรู้ล่วงหน้าแล้วว่าจะมีเหตุรุนแรงเพราะดีเจคลื่นนี้ปลุกคนมาตั้งแต่เที่ยงมีการเตรียมประทัดเตรียมการกระทืบหลุดออกมาจากโทรศัพท์ร่วมรายการมากมายแต่ตำรวจก็ทำเหมือนหน้ากากขาว-เสื้อแดงจะมาช็อปปิ้งหรือออกกำลังกายแถวนั้นตามปกติ ไม่เพียงเท่านั้นมีดีเจคนหนึ่งอ้างว่ามีเจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกระซิบบอกข้อมูลการเตรียมการของหน้ากากขาวมาให้ระบุจำนวนคนแผนการนัดหมายต่างๆให้กับเสื้อแดงซึ่งหากเจ้าหน้าที่ของรัฐทำแบบนี้ก็ชัดเจนว่าสนับสนุนให้ประชาชนยกพวกไปไล่ทำร้ายประชาชนอีกฝ่าย
รัฐบาลจะมาอ้างไม่ได้ว่าเป็นเรื่องประชาชนหรือเรื่องของตำรวจเพราะรู้ๆกันอยู่ว่าตำรวจทั้งภาค 5 น่ะเป็นสีแดงลองรัฐบาลยกหูโทรศัพท์กริ๊งเดียวถึงผบช.ภ.5 ห้ามไม่ให้ทำร้ายกันต่างคนต่างอยู่แยกกันนะมีหรือตำรวจจะไม่เด้งรับจัดการให้ตามสั่ง แต่นี่กลายเป็นตำรวจหนุนให้อีกฝ่ายไปตีอีกฝ่ายกลายๆ จะให้สรุปเป็นอย่างอื่นไม่ได้ว่ารัฐหลิ่วตาให้เกิดความรุนแรง
นอกจากเชียงใหม่ที่เชียงรายเมื่อวันอาทิตย์ก็เช่นกันคนเสื้อแดงรวบรวมคนสัก 200 ไปดักอยู่ที่ห้าแยกพ่อขุนดักรอหน้ากากขาวแต่อีกฝ่ายไม่ออกมามิฉะนั้นก็จะซ้ำรอยเชียงใหม่อีก
การที่รัฐหลิ่วตาให้เกิดความรุนแรงแบบนี้เพราะมีความจำเป็นต้อง “วอร์มอัพ” มวลชนโดยเฉพาะกลุ่มที่เปิดปุ๊บติดปั๊บเหล่านี้เตรียมการเอาไว้สำหรับงานใหญ่เดือนสิงหาคมมันก็เลยเกิดสภาพอิหลักอิเหลื่อ
ทางหนึ่งก็ประสาผู้มีอำนาจอยู่ในมือทั่วไปอยากให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยไม่มีเหตุปะทะหรือเหตุที่บ่มอุณหภูมิขัดแย้งเพื่อจะได้อยู่ในอำนาจนานๆต่อไป แต่อีกทางหนึ่งก็จำเป็นต้องเลี้ยงอันธพาลเอาไว้เพื่อรักษาอำนาจตน
ความอิหลักอิเหลื่อไม่รู้จะเอายังไงแน่ดังกล่าวของรัฐบาลนี่แหละที่จะนำไปสู่ความรุนแรงที่หนักขึ้นๆจนที่สุดจะเรียกหารัฐประหารที่เป็นผีนอนอยู่ในหลุมให้ผุดขึ้นจากหลุมขึ้นมาจริงๆ
เพราะเมื่อคนไม่มีทางออก จะแสดงออกอย่างสงบไม่ได้ก็ต้องลงไปใต้ดินกลายเป็นสภาพแสดงออกหรือก่อเหตุแบบจรยุทธ์ เช่นขีดเขียนข้อความปฏิเสธอำนาจรัฐตามกำแพง ตามแยก ตามสะพานลอยเหมือนยุค 14 ตุลาที่นักศึกษาต้องแอบไปปิดโปสเตอร์ตอนกลางคืน หรือหนักกว่านั้นในพื้นที่ซึ่งคับอกคับใจมากๆ อาจจะปะทุเหมือนกับภาคใต้ลอบเผาโรงเรียน เผาป้อมยามตำรวจก็เป็นไปได้
อย่าได้ห้ามหรือปิดกั้นเลยครับ ! หน้ากากขาวตอนนี้น่ะเขายังแค่เริ่มรวมตัวยังแค่นัดหมายสัปดาห์ละหน ยังเดินกันเป็นแถวเป็นระเบียบ แต่ถ้าหากมีการพยายามทำลายขบวนที่เรียบร้อยดังกล่าวลงเพียงคิดว่าตัดไฟแต่ต้นลมผลลัพธ์ที่ได้อาจจะไม่ใช่หน้ากากขาวที่เรียบร้อยเป็นระเบียบแสดงออกแค่ความไม่พอใจรัฐอย่างสันติเหมือนเดิม เพราะการห้ามหรือทำลายเท่ากับส่งเสริมสภาพการต่อต้านแบบต่างคนต่างทำ คนเมื่อคับแค้นน่ะแสดงออกมาไม่เรียบร้อยหรอก
การห้าม หรือการใช้อันธพาลไปตีเขา หรือแฝงตัวไปทำลายเขานั้นน่ะคือการเร่งปฏิกริยาให้เกิดสภาวะอนาธิปไตยขึ้นในบ้านเมืองมากขึ้นเท่านั้น ที่กรุงเทพน่ะไม่เท่าไหร่เพราะแดงน้อยกว่าแต่หัวเมืองใหญ่ไม่ใช่แค่เหนือแล้วนะแฟชั่นการห้ามอีกฝ่ายแสดงออกลามไปขอนแก่น ภาคอีสานแล้ว
ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นไม่อยากจินตนาการต่อเลยว่ามันง่ายมากที่จะพัฒนากลายเป็นสงครามกลางเมืองระหว่างประชาชนเป็นหย่อมๆ กระจายไปทั่ว
สภาพแบบนี้แหละคือเชื้อไฟชั้นดีของการรัฐประหาร ซึ่งบอกตามตรงนะทหารลากปืนออกมาโอกาสแค่ 50-50 เพราะประชาชนไม่กลัวทหารเหมือนแต่ก่อนแล้ว อีกทั้งนักการเมืองก็มีตำรวจเป็นกองกำลังติดอาวุธของตัวเองทหารแตงโมก็มีอยู่ ดีไม่ดีทหารออกมาเป็นข้ออ้างชั้นดีของการทำรัฐประหารซ้อนล้างผิดตนเอง...ก็เละสิครับประเทศไทยเพราะเมื่อถึงตอนนั้นไม่ว่าฝ่ายใดชนะ ถึงแม้วก็เหอะ ! ชนะล้างผิดตนเองได้ก็จริงแต่ก็ล้างบนซากปรักพังของประเทศ
ผมเชื่อว่ากุนซือคนคุมเกมของเพื่อไทยและทักษิณคงไม่อยากเลือกเส้นทางนี้หรอก แต่นั่นเองด้วยอาการอิหลักอิเหลื่อจนถึงบัดนี้ก็ไม่รู้จัดการยังไงกับมวลชนฮาร์ดคอร์ที่เหมือนเสือร้ายต้องคอยป้อนเหยื่อสดให้เพื่อให้รักษาสภาพดุร้ายเอาไว้แต่ก็ต้องระวังไม่ให้หลุดออกมาก่อนเวลาอันควร
การห่วงหน้าพะวงหลังวอร์มอัพมวลชนฮาร์ดคอร์ทำให้รัฐบาลจำต้องหลิ่วตาให้กับอันธพาลเสื้อแดงต่อไปโดยสุ่มเสี่ยงกับสภาวะเกิดความรุนแรงระหว่างประชาชน-เกิดสภาพอนาธิปไตยมากขึ้นเรื่อยๆ
ความรุนแรงจะนำมาซึ่งความรุนแรงมากขึ้นยิ่งกว่า..เรื่อยๆ...มากขึ้นๆ
เมื่อถึงเวลานั้นอย่าได้โทษหน้ากากขาวเลย เพราะเสื้อแดงต่างหากที่กวักมือล่อ เอ๊ย เรียกทหาร...หาใช่ใครที่ไหนหรอก !